“ความหมายของท่านหญิงคือ…” เจิงจีชะงักลมหายใจไปชั่วขณะ
ฉู่สวินหยางก็ไม่มองเขา เพียงเผยยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร “ฮั่วกังยึดครองที่นี่มาหลายปี อำนาจของเขา…ก็ค่อยๆ สูญสลายไปตามกาลเวลา”
เจิงจีชั่งน้ำหนักคิดในใจชั่วครู่ ยังคงใช้สายตาที่คลุมเครืออย่างหนึ่ง มองไปยังนางอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
ฉู่สวินหยางแย้มยิ้ม “ท่านวางใจเถิด ที่นี่ไกลเกินกว่าที่ฮ่องเต้จะทำอะไรได้ ไม่อาจเป็นปัญหาในอนาคตได้หรอก!”
“ขอรับ!” คำพูดของฉู่สวินหยางแต่ไหนแต่ไรพูดคำไหนคำนั้นมาโดยตลอด ดังนั้นเจิงจีจึงไม่คิดมากความก็กล่าวรับไป
ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ทัพทหารก็จัดขบวนเข้าด้วยกันอย่างเรียบร้อย
ฉู่สวินหยางเปลี่ยนสวมชุดเกราะของฉู่ฉีเฟิงภายในกระโจม ม้วนเส้นผมยาวดำขลับขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปเรียกทหารที่หน้าขบวนทัพ
เรื่องที่ฉู่ฉีเฟิงออกจากค่าย นอกจากคนของวังบูรพาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีกเลย เวลานี้ท้องฟ้าขมุกขมัวยังไม่ทันที่จะสว่างดี ฉู่สวินหยางเดินไปยังด้านหน้าผู้คน ก่อนจะออกคำสั่งเคลื่อนกำลังไปยังทัพหนานฮวา โดยมีท่านเก่อคอยอยู่ช่วยเหลือ
ขบวนทัพนับแสนคน เสียงเคลื่อนกำลังพลนั้นดังก้องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
แม้ว่าท่านเก่อจะมาเพราะคำสั่งของนาง แต่ก็เห็นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไรก็ล้วนแต่เป็นกังวล สองจิตสองใจก่อนจะกล่าวกับเจิงจีที่มีท่าทีจริงจังเช่นกัน “เป็นเช่นนี้จะไม่มีปัญหาจริงๆใ ช่หรือไม่? ท่านชายก็ไม่อยู่ในกองทัพ หากว่า…”
เจิงจีเงยหน้ามองดูฉู่สวินหยางที่ควบม้าอยู่ด้านหน้าสุด ก่อนจะค่อยทอดถอนหายใจเบาๆ “ในเมื่อท่านหญิงกล่าวว่ามีความมั่นใจ เช่นนั้นแค่ทำตามคำสั่งไปก็พอแล้ว!”
เขาไม่ได้เห็นดีกับเรื่องที่ฉู่สวินหยางเคลื่อนไหวอย่างใหญ่โตขนาดนี้ แต่เขาเข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดเจนมากกว่าท่านเก่อ…
เพราะว่าเกิดเรื่องกับเหยียนหลิงจวิน เจ้านายตัวน้อยของเขาท่านนี้จึงถูกยั่วโทสะอย่างถึงที่สุด
เวลานี้ อย่าว่าแต่เขาเลย เกรงว่าแม้แต่ฉู่อี้อันมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่อาจจะสามารถขวางนางได้
ยังดีที่ฉู่สวินหยางนั้นละเอียดรอบคอบ ทั้งยังหลักแหลมและถ้วนถี่ เดิมทีไม่อาจทำเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมอยู่แล้ว
ท่านเก่อเมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงแต่ปล่อยไป ทิ้งเรื่องนี้ไว้ไม่ยกมาพูดชั่วคราว
ฉู่สวินหยางนำกองกำลังมุ่งสู่ที่ตั้งมั่นของค่ายทหารหนานฮวา เมื่อเดินทางมาจนห่างจากค่ายศัตรูสองลี้ ฉู่สวินหยางก็ยกมือเป็นสัญลักษณ์ให้หยุดเดินชั่วคราว เบนสายตามองไปยังเจิงจี “ส่งสายลับไปเฝ้าดูสถานการณ์ด้านหน้าสักหน่อย หากอีกฝ่ายมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ อันใดก็ให้กลับมารายงานข้า”
“ขอรับ!” เจิงจีรับคำสั่ง
ฉู่สวินหยางจึงหันมากล่าวตรวจสอบกับท่านเก่ออีกครั้ง “ที่ให้ท่านส่งคนไปประจำที่สองจุดนั่นล้วนจัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”
“ขอรับ สั่งการตามที่ท่านหญิงกำชับมา แบ่งคนไปประจำการที่นั่นแล้วขอรับ” ท่านเก่อกล่าว
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกศีรษะเล็กน้อย คล้อยหลังก็ไม่พูดอันใดอีก
ใบหน้าของนางเคร่งขรึม เผยท่าทีเยือกเย็น จ้องมองไปยังด้านหน้าอย่างเรียบนิ่ง
ผืนฟ้าค่อยๆ แยกห่างออกจากกัน ท้องฟ้าดูมืดสลัวเป็นอย่างมาก แผ่บรรยากาศขมุกขมัวอยู่เลือนราง
ที่ไกลๆ นั้นมีกระโจมของคนหนานฮวาตั้งเรียงรายเบียดเสียดกัน มองเข้าไปแล้วเป็นภาพที่ดูแออัดยัดเยียด บางแห่งก็ยังปรากฏแสงจากกองไฟที่ยังไม่มอดดับ ประกายแสงวูบวาบอยู่เล็กน้อย
ด้านหลังนั้นมีทัพทหารนับแสนคอยตั้งมั่นอยู่ ทว่าในใจกลับปรากฏความกังขาอยู่บ้าง…
ในเมื่อจัดทัพออกมาอย่างใหญ่โตเช่นนี้ กลับหยุดทัพไว้ที่นี่นับเป็นเรื่องอันใดกัน?
ฉู่สวินหยางก็มิใช่ว่าจะไม่รู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาคิดอย่างไร ทว่านางกลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
ผ่านไปไม่นาน สายลับที่ถูกส่งตัวออกไปก็กลับมารายงานอย่างเร่งรีบ
“เป็นอย่างไร?” ท่านเก่อรีบควบม้าเข้าไปสอบถามด้านหน้า
“ทัพหนานฮวามีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ขอรับ!” สายลับคนนั้นรายงาน ในน้ำเสียงแฝงด้วยความฮึกเหิม “คล้ายกับได้ยินเสียงตะโกนว่ามีมือสังหารโจมตีค่าย แม้นจะไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด แต่ที่เท่าได้ฟังมานั้น…ต้องมีผู้นำทัพคนสำคัญตายอย่างแน่นอนขอรับ”
ท่านเก่อฟังจบ ก็ประกายสายตาวาบ หันศีรษะไปมองยังฉู่สวินหยางในทันที
ฉู่สวินหยางไม่กล่าวอันใด เพียงแต่ทอดสายตามองไปทางค่ายทหารหนานฮวาอย่างเรียบนิ่ง ก่อนจะสะบัดดาบที่อยู่ในมือ “ไป!”
ทัพใหญ่เคลื่อนกำลังพล เดินหน้าเข้าไปใกล้อีก
ฉู่สวินหยางควบม้าอยู่ทางด้านหน้าสุด จวบจนใกล้ประชิดกับค่ายหนานฮวาอีกครึ่งลี้ ก็ออกคำสั่งให้หยุดทัพอีกครา
เวลานี้ภายในค่ายทหารหนานฮวาต่างก็ดูวุ่นวายโกลาหลไปหมด ทั้งคนและม้าต่างก็กระจัดกระจาย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นทหารวิ่งวุ่นไปทั่วทิศทาง พากันตะโกนโหวกเหวก ทั้งมีเสียงสาปแช่งล่องลอยมาอย่างไม่ขาดหู
การเคลื่อนไหวทางด้านนอกค่ายนี้ แท้จริงก็มีผู้คนได้เข้าไปรายงานตั้งนานแล้ว ทว่าด้านนั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะจัดทัพทหารออกมาตั้งรับกับศัตรูแม้แต่น้อย
เจิงจีสังเกตด้วยความเงียบอยู่ชั่วครู่ จึงค่อยคิดอะไรบางอย่างออก หันไปกล่าวถามยืนยันกับฉู่สวินหยาง “เป็นท่านชายที่ลอบส่งคนเข้าไปสังหารรองแม่ทัพพวกนั้นหรือขอรับ?”
ฉางซือหมิงถูกสังหาร ข่าวเพิ่งจะส่งกลับไปรายงานยังราชสำนักหนานฮวา ดังนั้นจึงยังไม่ทันได้แต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่มาที่นี่
องค์รัชทายาทแคว้นหนานฮวานับว่าเฉลียวฉลาดนัก ได้รับคำเตือนก็พาคนหลบหนีตามสถานการณ์ไปอย่างรวดเร็ว เพื่อออกให้ห่างจากที่แห่งนี้ ทางด้านนั้น จึงมีเพียงองค์ชายหกเท่านั้นที่ประจำในตำแหน่งสูงสุด
เดิมทีแล้ว หากมีเขาคอยจัดการอยู่ที่นี่ก็ยังนับว่าพอไปได้ ทว่าเขากลับถูกเหยียนหลิงจวินลักพาตัวไปเสียแล้ว
รองแม่ทัพที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่คน แท้จริงก็ประวิงเวลาไว้ได้เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น…
“ในเมื่อท่านพี่ไปแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับไปมือเปล่า” ฉู่สวินหยางกล่าวพลางกระตุกริมฝีปากขึ้น ท่าทีเยือกเย็นนั้นยังแฝงมาด้วยความองอาจ “ในเมื่อไม่สามารถจับตัวองค์ชายหกไว้ได้ เช่นนั้นเขาย่อมต้องฉวยโอกาสทำเรื่องอะไรสักอย่างแน่นอน!”
ในขณะทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ค่ายทหารที่อยู่ตรงข้าม พลันปรากฏเสียงจลาจลขึ้นมาอย่างดังก้อง แม้จะไม่สามารถล่วงรู้สถานการณ์ภายในได้ แต่ดูท่าแล้วน่าจะเกิดความโกลาหลเป็นอย่างมาก
ฉู่สวินหยางฟื้นคืนท่าทีอย่างรวดเร็ว ออกคำสั่งโดยพลัน “บุก!”
แตรเป่าสัญญาณดังขึ้น ท่ามกลางเสียงร้องแหลมของทหารในค่าย ทัพบุกประชิดเข้ารอบด้าน มุ่งตรงไปยังค่ายทหารหนานฮวา
เวลานี้ค่ายของพวกเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย แม้ว่าจำนวนคนของทั้งสองฝ่ายจะใกล้เคียงกัน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีแม้แต่คนที่สามารถออกมายืนบัญชาได้แม้แต่คนเดียว…
คล้ายกับเม็ดทรายที่แตกกระจัดกระจาย ไร้กำลังที่จะปกป้องอย่างสิ้นเชิง ไม่ทันได้จัดกระบวนทัพดีก็ถูกทัพซีเยว่ที่บุกเข้ามา กรีธาทัพสังหารคนอย่างเกลื่อนกลาด
ที่นี่แท้จริงแล้วเป็นที่ตั้งมั่นของค่ายทหารอีกฝ่าย เดิมทีหากพูดถึงเรื่องเคลื่อนทัพ การบุกเข้ามาค่ายศัตรูโดยตรงเช่นนี้แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ว่าครั้งนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด
ในความเป็นจริง…
กลับเป็นเรื่องที่น่าขำขันของชาวหนานฮวาเสียแล้ว
กองกำลังทหารนับแสนถูกตีแตกพ่ายจนยับเยิน ชาวซีเยว่นั้นเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ ยิ่งบุกฝ่าเข้าไปเท่าไรความฮึกเหิมก็มีมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดก็เป็นดังอย่างที่ฉู่สวินหยางคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นจริงๆ ภายใต้การห้าวหาญไม่หวั่นเกรง ทหารหนานฮวาพวกนั้น ด้านหนึ่งก็ล่าถอยไปทางแคว้นหนานฮวา อีกด้านหนึ่งก็ซ่อนตัวในเนินเขารกชัฏใกล้ๆ เพื่อหลบภัย
ท่านเก่อเห็นสถานการณ์รบเป็นเช่นนี้ ก็เผยหน้าแดงก่ำอย่างฮึกเหิม ออกคำสั่งบัญชาการเสียงดังอย่างได้ทีขี่แพะไล่
ฉู่สวินหยางกลับไม่ได้สนใจเรื่องการรบของที่นี่มากนัก…
การพ่ายแพ้หรือชัยชนะของสงครามฉากนี้ ตั้งแต่เริ่มนางก็ไม่ได้ใจจดใจจ่อแม้แต่น้อย
ฉวยโอกาสยามที่ทั้งสองฝ่ายกำลังฟาดฟันอย่างคึกคักเร่าร้อน นางถือหอกยาว พาตัวองครักษ์คนสนิทไม่กี่คน บุกเข้าไปท่ามกลางทหารหนานฮวา สังหารเพื่อเปิดทางจนหลงเหลือรอยเลือดเป็นทางยาว เดินผ่านค่ายทหาร อ้อมไปยังที่ตั้งมั่นของทหารหนานฮวาทางด้านหลัง
————————