ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 224 สองปีนี้ข้าอ่อนโยนเกินไปใช่หรือไม่?

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอรองเสาหินเอาไว้ สายตาเพ่งมองมังกรทมิฬพิฆาตที่อยู่ขอบฟ้าไกลออกไป และทุกคนที่รวมตัวกรูกันมาทางตน

ชายหนุ่มสังเกตการณ์ไปพลาง พร้อมทั้งส่งปราณจิตราอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันคร่าวๆ ให้กับอาหู่และเฟิงอวิ๋นเซิง

‘คนที่สามารถขับเคลื่อนมังกรทมิฬพิฆาตได้ อย่างต่ำที่สุดมีพลังฝึกปรือระดับมหาปรมาจารย์’ สีหน้าท่าทางของอาหู่บัดนี้เคร่งขรึมจริงจัง ไม่เห็นความกลิ้งกลอกดื้อดึงเช่นก่อนหน้านี้ ‘อีกฝ่ายไม่ลงมือโดยตรง คิดๆ ดูแล้วเป็นเพราะพะว้าพะวังเรื่องที่มีมหาปรมาจารย์กว่างเฉิงที่อยู่ที่นี่ ขณะเดียวกันก็เป็นการก่อเกิดผลตรึงควบคุมด้วยเช่นกัน’

มือเฟิงอวิ๋นเซิงจับอยู่บนด้ามดาบสีดำ ‘อาศัยพลังภัยธรรมชาติของมังกรทมิฬพิฆาตทั้งสิ้น มหาปรมาจารย์ผู้นั้นไม่เข้าใกล้ จึงไม่อาจควบคุมได้ถ้วนถี่เช่นกัน ฉะนั้นเลยไม่ได้ยึดกุมจนบรรลุเป้าหมายของตนได้เต็มที่’

‘สามารถใช้มังกรทมิฬพิฆาตฝังพวกเราได้แน่นอนว่าเป็นการดีที่สุด ถ้าหากไม่อาจ ก็สามารถใช้ประโยชน์สร้างสถานการณ์ยุ่งเหยิง ทำให้พวกเราจัดการไม่หวาดไม่ไหว’

เฟิงอวิ๋นเซิงมองยังเยี่ยนจ้าวเกอ ‘เวลานี้ หากมีคนอาศัยความชุลมุนลงมือ โอกาสประสบผลสำเร็จก็จะเพิ่มสูง…’

เยี่ยนจ้าวเกอแววตาหยั่งลึก เพียงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่กล่าวมากไปกว่านี้

ฉับพลันนั้น สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอทอดมองไป เห็นเหลียนอิ๋ง บุตรคนน้องตระกูลเหลียนผู้นั้นอยู่ด้านหลังจวินลั่ว สีหน้าท่าทางแปลกประหลาดอยู่บ้าง ก่อนจะชักกระบี่สั้นสีดำเล่มหนึ่งออกมาฉับพลัน

ชายหนุ่มย่นคิ้ว เพราะทีแรกนึกว่าเขาต้องคิดร้ายต่อจวินลั่ว จึงกำลังเตรียมจะไปขัดขวาง กลับเห็นเป้าหมายของกระบี่สั้นสีดำเป็นตัวของเหลียนอิ๋งเอง

กระบี่สั้นสีดำแทงเข้าไปในแขนของเหลียนอิ๋งเอง ส่งเสียงดัง ‘ฟึบ’ เบาๆ ออกมาทันใด

มีพลังวิญญาณอันแปลกประหลาดปรวนแปร กำจายออกจากกระบี่สั้นสีดำและปากแผลบนแขนของเหลียนอิ๋ง

เยี่ยนจ้าวเกอแววตาหยุดชะงัก ‘คล้ายเป็นการกลายพันธุ์ของพิธีสังเวยโลหิตประเภทหนึ่ง ภายในเส้นเลือดของเขา ถูกคนซ่อนอาคมบางชนิดเอาไว้ก่อนเกิดเรื่อง?’

โลหิตสดหยดลงจากแขนเหลียนอิ๋ง หล่นร่วงไปบนพื้นทรายเบื้องล่าง หลอมเหลวทรายและย้อมมันเป็นสีขาวโพลนดุจหิมะผืนหนึ่งในชั่วพริบตา

เงาแสงในอากาศลอยล่อง เกาะผนึกกลายเป็นอักขระยันต์มโหฬารที่ปรากฏวับวาบอันหนึ่ง ก่อนจะประทับลงบนพื้น

สีขาวราวกับหิมะลุกลามไปยังทะเลทรายรอบๆ อย่างฉับไว โดยมีจุดที่เหลียนอิ๋งหยัดยืนอยู่เป็นศูนย์กลาง

ฉับพลันนั้น ใต้ฝ่าเท้าทุกคนเกิดความรู้สึกสั่นกระเพื่อมรุนแรงส่งทอดมา ประหนึ่งแผ่นดินไหวอย่างไรอย่างนั้น ทะเลทรายสีขาวเปลี่ยนเป็นอันตรายขึ้นมาทันทีทันใด

ทะเลทรายใต้เท้า คล้ายกับเปลี่ยนเป็นทรายดูดทั้งหมดในตอนนี้ ครั้นผู้คนย่ำเหยียบไปด้านบน ก็จมลงไปในบัดดล!

ทุกคนต่างตะลึงงัน “…นี่คือ มังกรขาวพิฆาต?”

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเป็นจอมยุทธ์ นอกเหนือจากจวินลั่ว เหลียนอิ๋ง และเหลียนเฉิงทั้งสามคนแล้ว ล้วนเป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ทั้งสิ้น

สังเกตเห็นความผิดปกติอยากจะปลดปล่อยพลังกระโดดขึ้น ทว่ากลับสิ้นหนทางถลันออกจากการฝังกลบของทรายดูดสีขาว

ใต้เท้าเพียงแค่ออกแรงน้อยนิด ไม่เพียงไม่อาจถอนเท้าออกจากทรายดูดได้ กลับจะจมลงลึกกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป

ไม่ว่าจะเป็นกลวิธีอันแข็งแกร่งหรืออ่อนโยน ล้วนปรากฏผลลัพธ์เดียว ครั้นวางแผนขับเคลื่อนส่งปราณจิตรา กระนั้นเมื่อปราณจิตราสัมผัสถูกทรายดูดสีขาว ก็ถูกกำจัดจนไร้รูปร่างทันควัน!

กลางท้องฟ้าเหนือศีรษะ ลมพายุสีดำผลาญทำลาย ส่วนทะเลทรายเวิ้งว้างเปล่าเปลี่ยวใต้ฝ่าเท้า กลับเปลี่ยนเป็นบ่อทรายดูดอีก ใคร่ฝังคนทั้งเป็น

หลังจากเท้าและขาจมเข้าไปในทรายดูด ทุกคนต่างไม่กล้าขยับเขยื้อนซี้ซั้ว เพราะยิ่งกระเสือกกระสนเท่าใด ก็ยิ่งจมลงเร็วเท่านั้น

ขณะเดียวกับที่หมดทางเคลื่อนไหว ยิ่งทำได้เพียงเบิกตาโพลงมองดูพายุสีดำอันน่าพรั่นใจจู่โจมมาทางตน

จวินลั่วกรีดร้องด้วยความตกใจ ใต้เท้าว่างเปล่า ร่างจมลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเรือนกายก็ราวกับจมลงไปในพื้นทรายสีขาวครึ่งหนึ่ง

เหลียนเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เป็นเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

กระนั้นกลับเห็นเหลียนอิ๋งยังคงยืนมั่นอยู่บนพื้นทรายสีขาว เดินเหินเช่นปกติ กลับจะดูเหมือนแปลกประหลาดเป็นพิเศษเสียด้วยซ้ำไป

โลหิตสดไหลลงจากปากแผลแขนเหลียนอิ๋งไม่หยุด สีหน้าของเขาเองก็ยิ่งซีดเซียวลง จนแทบไม่เห็นเลือดฝาดซักนิด ทั่วร่างยิ่งปรากฏให้เห็นว่าอ่อนแออย่างถึงที่สุด

ทว่ากำลังวังชาเขากลับคึกคักเป็นพิเศษ บนดวงหน้าเจือด้วยรอยยิ้มวิปริตอีกทั้งยังฮึกเหิม เขามองดูจวินลั่วอย่างเหม่อลอย “ลั่วลั่ว ไม่ต้องกลัว จะไม่เกิดเรื่องหรอก”

เหลียนอิ๋งเดินไปทางจวินลั่วลั่วทีละก้าวๆ เดินไปพลาง เอื้อนเอ่ยเสียงเบาไปพลาง “ขอแค่กอดข้าให้แน่น ก็ไม่ต้องกลัวจะจมสู่ทะเลทราย ข้าสามารถพาเจ้าเคลื่อนไหวใต้พื้นดินได้คล่องแคล่ว”

“ทำเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงมังกรทมิฬพิฆาตบนพื้นดินแล้ว”

เขายิ้มค้าง พลางอ้าแขนทั้งสองรับ คล้ายกับต้องการโอบกอดจวินลั่ว “เจ้าดูสิ ลั่วลั่ว ข้าเองก็ไม่แย่ ใช่หรือไม่? เยี่ยนจ้าวเกอช่วยชีวิตเจ้าได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน”

บนแขนเหลียนอิ๋ง กระบี่สั้นสีดำนั่นยังคงเสียบลงไปในบาดแผลลึก โลหิตสดหยดร่วงลงมาตลอดเวลา

ได้ฟังคำกล่าวของเขาแล้ว ถึงแม้ว่าตัวจะตกอยู่ในอันตราย แต่ทุกคนก็เหม่อลอยไปเล็กน้อยเช่นกัน สายตาของบางคนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอโดยอัตโนมัติ

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเหลียนอิ๋ง “อาคมโลหิตใจหนึ่งเดียว นี่ไม่ใข่สิ่งที่อยู่ในขอบเขตของวิถีวรยุทธ์เพียงเท่านั้น แต่เอนเอียงไปทางศาสตร์วิชาพิสดารเสียมากกว่า ทั้งยังเผาไหม้โลหิตและปราณบริสุทธิ์ของเจ้าเป็นค่าตอบแทน ประหนึ่งการสังเวยก็ไม่ปาน”

“แม้จะจุดชนวนมังกรขาวพิฆาตแล้ว หากแต่ใช้เลือดลมของเจ้าอยู่ ก็อยู่ต่อไปได้ไม่นานนักแล้ว”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย “หยิบยืมการประสานกันของอาคมโลหิตกับภัยธรรมชาติ เจ้าเดินอยู่ในมังกรขาวพิฆาตอย่างคล่องแคล่วในช่วงเวลาอันสั้นได้เป็นแน่ ผู้ที่สัมผัสเจ้า ก็ถูกเจ้านำพาให้รอดพ้นได้เช่นเดียวกัน ไม่ต้องกังวลอันตรายจากทรายดูด”

“ถึงกระนั้น นั่นจะดึงเอาคนผู้นั้นเข้าสู่ในอาคมโลหิตใจหนึ่งเดียว สังเวยปราณบริสุทธิ์และโลหิตให้อาคมไปพร้อมกัน ไม่นานนักเลือดลมจะถูกถอนจนหมด ชีวิตดับสิ้น และสืบเท้าตามฝุ่นฟุ้งหลังฝีเท้าเจ้าไป”

“เจ้าอยากให้ลั่วลั่วตายไปพร้อมเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

ครั้นได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอพูดแล้ว จวินลั่วก็เบิกตาโพลง มองเหลียนอิ๋งอย่างเหลือเชื่อ

เหลียนเฉิงที่เติบใหญ่มาพร้อมกับเหลียนอิ๋งตั้งแต่แบเบาะ ยิ่งอ้าปากตาค้างยิ่งกว่า รู้สึกเพียงว่าพี่น้องร่วมตระกูลคนนี้กลายเป็นคนแปลกหน้า ทำให้คนรู้สึกน่าหวาดผวาในทันที

เหลียนอิ๋งสัมผัสถึงประกายตาของจวินลั่ว สีหน้าบนดวงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ในชั่วพริบตานั้นเองมีแววทำใจไม่ลงและฉงนสนเท่ห์

ทว่าไม่นานนัก เขาก็หัวร่อหยันเหยียดเหอะๆ ขึ้นมา “มีชีวิตไม่อาจอยู่ร่วมกัน สิ้นชีพฝังศพอยู่ร่วมกันได้ ก็นับว่าไม่เสียเปล่าแล้วเช่นกัน”

เขาจดจ้องเยี่ยนจ้าวเกอ “ดีเสียกว่าเบิกตาค้างดูลั่วลั่วนับวันยิ่งใกล้ชิดชายอื่น”

“เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้าคือบุตรสวรรค์โปรดปราน เจ้ายืนอยู่เหนือมวลชน เจ้าจวนจะกลายเป็นตำนานยุคสมัยหนึ่ง เทียบกับเจ้าที่ยืนอยู่เหนือเมฆ มีผู้คนที่มีชีวิตอยู่เหมือนละอองฝุ่น เหมือนโคลนตมเช่นข้าสักเพียงใด? แต่เช่นนั้นแล้วอย่างไรอีก ก็เป็นเพราะเจ้ายืนอยู่เหนือเมฆ ก็เลยเหยียบย่ำพวกเราได้ตามอำเภอใจ ก็เลยสามารถแย่งไปได้แม้กระทั่งแสงสว่างสุดท้ายในชีวิตข้าอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่มีทาง! แม้ข้าจะอ่อนแอ แต่ก็ต้องลองดู ข้าจะลากเจ้าลงมาจากเหนือเมฆ ดูสิว่าบนร่างเจ้าเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยน้ำโคลน จนตรอกแล้วจะมีสภาพเป็นไร ดูสิว่าเจ้ายังสามารถยืนอยู่เหนือมวลชนเช่นนี้ต่อไปได้หรือไม่!”

เด็กหนุ่มผู้ผอมแห้งอ่อนแอ แผดเสียงก้องอย่างฮึกเหิม

ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ทรายดูดสีขาวบนพื้นดินผลาญทำลาย พายุสีดำบนท้องฟ้าส่งเสียงคำราม

นอกจากมังกรขาวพิฆาตที่พลันปรากฏใต้ฝ่าเท้าฝูงชนแล้ว มังกรทมิฬพิฆาตกลางท้องฟ้าอันก่อตัวมาจากพายุนิมิตทมิฬ มืดฟ้ามัวดิน ได้มาถึงยังเบื้องหน้าทุดคนเรียบร้อยแล้ว ลมพายุดุเดือดน่าหวาดหวั่น พุ่งตกลงใส่ศีรษะของทุกคน!

สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอไม่ยินดียินร้าย เพียงรองถือเสาหิน ยืนอยู่กับที่ไม่เขยื้อนเช่นกัน ทว่าขณะเดียวกันในดวงตาข้างขวาพลันมีแสงสายฟ้าสีม่วงทอประกายวามวาบ!

ฉับพลันนั้น เยี่ยนจ้าวเกอพลิกมือซ้ายขึ้น เตาเครื่องหอมเล็กปรากฏขึ้นในมือเตาหนึ่ง จากนั้นเขาก็โยนมันให้กับอาหู่อย่างง่ายดาย “จัดการมังกรขาวพิฆาต แล้วก็พาพวกลั่วลั่วออกมา”

ขณะอาหู่ตอบรับ สายตาจ้องเหลียนอิ๋งเขม็งอย่างไม่เป็นมิตร

“ถึงแม้แท้จริงแล้วข้าจะไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าเจ้าอาฆาตชิงชังอะไรบ้างกันแน่” สายตาเยี่ยนจ้าวเกอเพ่งมองพายุนิมิตทมิฬ แต่ไรไม่ได้ไปมองเหลียนอิ๋ง “เพียงแต่เป็นเพราะสองปีนี้ข้าอ่อนโยนเกินไปใช่หรือไม่ จนถึงขนาดที่บัดนี้ผู้ใดล้วนแล้วแต่อยากลองเหยียบย่ำข้าไต่ขึ้นสูง เพื่อพิสูจน์ตนเองกันแล้ว”

—————————-