“ผู้อาวุโสชางนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น…”

นาหยิงเริ่มอธิบายให้ผู้อาวุโสชางฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะมาถึง

“เจ้า…เจ้าโง่!”

ผู้อาวุโสชางถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น

เธอคิดว่าเหลียนหรงจะมีสายตาที่เฉียบแหลมและเฉลียดฉลาดพอสำหรับการตัดสินผู้มีฐานะหรือภูมิหลังสูงส่งจากความหยิ่งยโสของเธอ

“เจ้าไม่สามารถไปโทษคนอื่นได้นอกจากตัวเจ้าเอง เพราะเจ้าหยิ่งผยองและไม่รู้จักมองผู้อื่นให้ดี ไม่รู้ว่าอะไรคือดินอะไรคือภูเขาไท่ซาน โง่จริงๆ!”

ผู้อาวุโสชางส่ายหัว

“ได้โปรดผู้อาวุโสชาง ท่านจะฆ่าข้าไม่ได้นะ ข้าเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายฟีนิกส์เพลิงฟ้า!”

เหลียนหรงเริ่มขอชีวิตของเธอ เธอไม่อยากถูกฆ่าที่นี่

“ข้าไม่ใช่คนที่จะตัดสินว่าวันนี้เจ้าจะอยู่หรือตาย! เจ้าขอผิดคนแล้ว!”

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสชาง เหลียนหรงก็รีบวิ่งเข้าไปหาหยวนและคุกเข่าลงต่อหน้าของเขา เธอขอร้องเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก

“ได้โปรดนายน้อย! ผู้ต่ำต้อยผู้นี้เป็นคนมีตาหามีแววไม่ มองไม่เห็นภูเขาไท่ซานที่อยู่ตรงหน้า! ข้าขออภัยด้วย”

“…”

หยวนถึงกับพูดไม่ออกกับเหตุการณ์ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหญิงสาวขอร้องให้เข้าช่วยชีวิตเธอ

“หนุ่มน้อย แม้ว่าเธอจะทำผิดจริง แต่ข้าก็อยากจะขอให้เจ้าให้อภัยนางด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเธอเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายฟีนิกส์เพลิงฟ้าถ้าคุณฆ่าเธอพวกเขาก็จะ…”

จู่ๆหยวนก็ยกมือขึ้นและหยุดคำพูดของผู้อาวุโสชางลง

“เดี๋ยวก่อนข้าไม่เคยพูดอะไรที่เกี่ยวกับการฆ่านางมาก่อนเลย พวกท่านเป็นคนพูดเองทั้งหมด อย่าโยนคำพูดเหล่านั้นมาให้ข้าสิ ข้าไม่ได้ต้องการที่จะฆ่านาง”

“ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว เหลียนหลง! นายน้อยท่านนี้ตัดสินใจที่จะไว้ชีวิตของเจ้า!”

“ขอบพระคุณมากนายน้อย ขอบพระคุณมาก!”

เหลียนหรงร้องไห้ออกมา

“…”

หยวนอดไม่ได้ที่จะพบว่าการกระทำของคนเหล่านี้ช่างแปลกประหลาดและเกินจำเป็นจริงๆ ทำไมเธอถึงต้องถูกฆ่าเพียงเพราะเธอล้อเลียนเขา? ถ้าเขาจะฆ่าใครก็ตามที่ทำให้เขาขุ่นเคือง ใครจะรู้ว่าจะมีคนตายกี่คน

‘ฉันหวังว่าเรื่องนี้จะไม่กลายเป็นเรื่องที่เหล่า NPC เอาไปพูดกันนะ’

หยวนขอร้องในใจให้มันไม่เป็นไปอย่างที่เขาพูด

“อืมม…ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว…ท่านเต็มใจที่จะขายกริซระดับสวรรค์ของท่านที่โรงประมูลของพวกเราหรือไม่ ข้าสัญญาว่าท่านจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของท่านแน่ ข้าจะให้ท่าน 80…ไม่! ข้าจะให้ท่าน 90% ของเงินจากการประมูลทั้งหมด พวกเราจะรับไปเพียงแค่ 10% เท่านั้น! โดยปกติแล้วพวกเราจะให้ท่านเพียง 75% พวกเรา 25 % แต่เนื่องจากวันนี้พวกเราสร้างปัญหาให้กับท่านดังนั้นข้าจึงเต็มใจที่จะให้ 90/10!”

ผู้อาวุโสชางรีบกล่าวแล้วยื่นข้อเสนอให้กับหยวนและเสี่ยวฮัวทันที

ในความเป็นจริงแล้วผู้อาวุโสชางไม่ได้สนใจรายได้ที่จะได้จากการประมูล กริซน้ำค้างแข็งจากสวรรค์ สิ่งที่สำคัญสำหรับเธอคือชื่อเสียงที่จะมาจากการขายมัน

ครั้งสุดท้ายที่มีการขายอาวุธระดับสวรรค์ที่โรงประมูลฟีนิกส์เพลิงฟ้าคือเมื่อ 100 ปีก่อน และมันมิเพียงคุณภาพต่ำเท่านั้น! แต่ตอนนี้ตรงหน้าของเธอคืออาวุธระดับสวรรค์คุณภาพสูงสุด นี่จะเป็นอาวุธชิ้นแรกในประวัติศาสตร์นับพันปีของโรงประมูลแห่งนี้!

เมื่อโลกได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ โรงประมูลฟีนิกส์เพลิงฟ้า จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากแน่นอน และนั้นจะทำให้พวกเขาได้รับความสนใจและแขกที่มีคุณภาพมากขึ้นในอนาคต!

“ท่านกำลังถามคนผิดแล้ว ข้าไม่ได้เป็นเจ้าของอาวุธชิ้นนั้น เธอต่างหาก”

หยวนชี้ไปที่เสี่ยวฮัวซึ่งถือกริซไว้ในมือเฉยๆราวกับว่ามันเป็นแค่เพียงอาวุธธรรมดาเท่านั้น

“อืม…ข้ายินดีที่จะขาย แต่ภายใต้เงื่อนไขเดียวเท่านั้น”

เสี่ยวฮัวกล่าว

“ท่านจะต้องขายแกนมอนเตอร์พวกนี้ที่โรงประมูลของพวกท่านด้วย”

“ได้ข้ายอมรับเงื่อนไขนั้น!”

ผู้อาวุชางยอมรับทันทีโดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้เลย

แม้ว่าโรงประมูลฟีนิกส์เพลิงฟ้าจะเสียหน้าไปเล็กน้อยหรืออาจจะมีการหัวเราะเยาะเกิดขึ้น จากการขายแกนมอนเตอร์ระดับวิญญานฝึกหัด แต่อาวุธระดับสวรรค์ชิ้นนี้ก็จะสร้างชื่อเสียงคืนให้กับโรงประมูลฟีนิกส์เพลิงฟ้าได้อีกมากมาย!

“เสี่ยวฮัว…”

หยวนยิ้มอย่างอบอุ่นหลังจากที่ตระหนักได้ถึงความตั้งใจของเธอ ถ้าคิดแค่ว่าเธอตั้งใจเอาของล้ำค่าเช่นนี้ออกมาขายเพื่อเขา แค่นี้ก็ทำให้เขาซาบซึ้งใจและขอบคุณเธออย่างมากแล้ว

“เจ้าแน่ใจใช่ไหมเสี่ยวฮัวนั่นเป็นของล้ำค่าใช่ไหม เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นเพื่อให้ข้าขายแกนมอนเตอร์ได้ที่นี่ก็ได้ ข้าสามารถนำมันไปขายที่อื่นได้”

หยวนพูดกับเสี่ยวฮัว

เมื่อผู้อาวุโสชางได้ยินคำพูดของหยวน เธอก็รู้สึกอยากจะทุบตีเขาและปิดของเขาไปทันที

“มันเป็นเพียงแค่อาวุธระดับสวรรค์เท่านั้นเอง เสี่ยวฮัวยังมีอีกมากมาย พี่หยวนไม่ต้องกังวลหรอก เพราะเสี่ยวฮัวก็ไม่ได้ใช้มีดสั้น ดังนั้นจะเก็บมันไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”

เสี่ยวฮัวตอบหยวนไปแบบนั้น ทำให้หยวนตกตะลึงเป็นอย่างมาก

‘เธอมีของหายากมากมายขนาดนี้ แต่ทำไมเธอถึงไม่มีเงินเลย มันเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?’

หยวนสงสัยว่าเธอไปได้สิ่งของพวกนี้มาจากที่ไหน

ไม่กี่อึดใจต่อมาเสี่ยวฮัวก็ส่งกริซน้ำค้างแข็งแห่งสวรรค์ และแกนมอนเตอร์ระดับวิญญานฝึกหัดทั้งสี่จากหยวนให้กับผู้อาวุโสชาง

“ถ้าท่านกล้าขโมยไปละก็ ข้าจะทำลายที่นี่ทิ้งซะ”

เสี่ยวฮัวเตือนผู้อาวุโสชางอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเดินตามนาหยิงซึ่งตอนนี้ได้รับมอบหมายให้กลายเป็นคนรับใช้ของพวกเขา และกำลังพาพวกเขาไปยังห้องวีไอพีห้องหนึ่ง

หลังจากพวกเขาเดินจากไป ผู้อาวุโสชางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“แม้ว่านางจะเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่ท่าทีและการพูดของนางก็เกินปกติเกือบจะเหมือนกับผู้ที่อยู่ในระดับสูง และเป็นอมตะ! ไม่ต้องพูดถึงการที่นางกล้าหยิบอาวุธระดับสวรรค์คุณภาพเยี่ยมออกมาในที่โล่งแบบนี้เลย นั่นแสดงให้เห็นว่านางมั่นใจมากแค่ไหน! ถ้าเป็นแบบนั้นแม้แต่คนงี่เง่าก็ยังไม่กล้าขโมยไปจากนาง…”

ผู้อาวุโสชางรู้สึกหนาวสั่นทันทีเมื่อคิดถึงเสี่ยวฮัว

ขณะที่ผู้อาวุโสชางเริ่มที่จะเดินจากไป เธอก็สังเกตุเห็นว่าเหลียนหรงยังคงนั่งอยู่ที่พื้นด้วยใบหน้าที่งุนงง

“ใช่โอกาสนี้เปลี่ยนทัศนคติของเจ้าที่เย่อหยิ่งและจองหองเกินไป แม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ในของนิกายฟีนิกส์เพลิงฟ้าที่ทรงพลัง แต่ก็มีผู้คนอีกมากมายที่เจ้าไม่ควรที่จะไปหาเรื่องพวกเขา”

“รับทราบ ผู้อาวุโส…”

เหลียนหรงพยักหน้า

“ยังไงก็รีบกลับไปทำงานเถอะ ข้าไม่ได้จ่ายเงินให้พวกเจ้ามายืนเฉยๆและซึมเศร้าทั้งวันนะ”

ผู้อาวุโสชางพูดก่อนที่จะหายเข้าไปในโรงประมูล

ในขณะเดียวกันหยวนและเสี่ยวฮัวก็เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องวีไอพีซึ่งยังมีบุคคลอื่นอีกหลายๆคน

“เด็กยังงั้นหรอ?”

ผู้คนที่นั่งอยู่ในห้องวีไอพีหันมาสนใจหยวนและเสี่ยวฮัว เพราะสงสัยในตัวตนของพวกเขาทั้งสองคน

“เด็กพวกนี้เป็นใครข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”

“ข้าไม่รู้จักพวกเขาเหมือนกัน”

“คนแปลกหน้าพวกนี้เข้ามาในห้องวีไอพีได้อย่างไร พวกเขาต้องมีภูมิหลังที่พวกเราไม่รู้แน่ๆ”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะคุยโม้ แต่ข้ารู้จักทุกคนในห้องวีไอพีนี้ดี และข้ารู้จักภูมิหลังของทุกคน แต่ข้าไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อนเลย”

ดูเหมือนว่าไม่มีใครในห้องวีไอพีที่จะรู้จักหรือเคยเห็นหยวนมาก่อน แต่ก็เป็นเรื่องปกติเพราะหยวนไม่ได้มีภูมิหลังใดๆ เพราะเขาเพิ่งจะเข้ามาในโลกใบนี้

“หยวน! ข้าไม่ได้หวังว่าจะได้พบกับเจ้าเร็วๆนี้ แต่นี่มัน…”

ทันใดนั้นหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขา

“เจ้าคือ…ซวนหวู่ฮั่น?”

หยวนก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเธอที่นี่ เพราะพวกเขาเพิ่งจะพบกันเมื่อไม่นานมานี้

“ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะมาที่นี่เราก็มาที่นี่ด้วยกันก็ได้!”

ซวนหวู่ฮั่นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย

“ฮ่าๆ…ข้าไม่ได้วางแผนที่จะมาที่นี่ในตอนแรก มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”

“บังเอิญยังงั้นหรอ ช่างเป็นการบังเอิญที่ไม่คาดคิดจริงๆ มาสิมานั่งกับพวกข้า”

หยวนพยักหน้าและเดินตามซวนหวู่ฮั่นไปที่โต๊ะของเธอซึ่งมีชายชราจากก่อนหน้านี้และชายหนุ่มรูปหล่ออีกสองคนนั่งอยู่

“ท่านหญิงพูดถูก…การที่จะเข้ามาในห้องวีไอพีนี้ จะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแน่นอน”

ชายชรารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นหยวนอยู่ในห้องวีไอพี

“พวกเขาเป็นใคร?”

ชายหนุ่มคนหนึ่งถามหลังจากที่เห็นซวนอู่ฮั่นกลับมาพร้อมกับคนแปลกหน้า

“เพื่อนของข้าที่เพิ่งรู้จักกันหนะ”

เธอกล่าว

“อืม…”

ชายหนุ่มที่หล่อเหลาทั้งสองมองหยวนด้วยสายตาที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง

“เจ้ามาจากตระกูลใด ข้าชื่อ ดู๋ไบ๋ จากตระกูลดู๋”

ชายหนุ่มรูปหล่อทางซ้ายกล่าว

“ข้าชื่อ ดู๋ไฮ่ น้องชายฝาแฝดของเขา”

คนทางขวาพูดต่อ

“เอ่อ…ข้าไม่ได้มาจากตระกูลไหน”

หยวนตอบอย่างสบายๆขณะที่นั่งลงข้างๆซวนหวู่ฮั่น

“อะไรนะ?”

พวกเขาทั้งหมดมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องเป็นศิษย์ของนิกายที่ทรงพลังสักที่ เจ้าสังกัดนิกายใด?”

“ข้าก็ไม่ได้เป็นศิษย์ของนิกายใดๆด้วย ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกพลังที่ฝึกด้วยตัวเอง”

หยวนพูดออกมาเฉยๆเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“…”

เมื่อหยวนพูดคำเหล่านี้ออกมา ทั้งห้องก็เงียบลงเนื่องจากทุกคนในห้องต่างก็ให้ความสนใจในการค้นหาตัวตนของเขา

“ผะ…ผู้ฝึกพลังที่ไม่ได้สักกัดนิกายไหนอย่างนั้นหรอ ฮ่าๆๆ…ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำจริงๆ…”

ไม่กี่อึดใจต่อมาทั้งห้องก็มีเสียงหัวเราะดังไปทั่ว

“ไม่มีทางที่ผู้ฝึกพลังธรรมดาๆ จะมีสิทธิ์เข้ามาในห้อง VIP นี้!”

“ฮ่าๆ! เขาคงต้องการปิดบังภูมิหลังของเขาไว้จริงๆ!”

“นี่มันทำให้ข้าตกใจกว่าเดิมอีกนะเนี่ย!”

“…”

เรื่องนี้มันทำให้หยวนพูดอะไรไม่ออกเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนพวกนี้ถึงหัวเราะเยาะเขา หรือทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อคำพูดของเขา แต่ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะไม่เชื่อ หยวนก็ได้แต่ปล่อยพวกเขาไป และหยวนก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะเชื่อหรือไม่

“อย่าไปสนใจพวกเขาเลยหยวน”

ซวนหวู่ฮั่นพูดกับเขา

และเมื่อเธอพูดประโยคนั้นจบลงไฟในห้องก็หรี่ลงทันที

“ในที่สุดการประมูลก็เริ่มขึ้นแล้ว”

ซวนหวู่ฮั่นพูดออกมาในขณะที่เธอชี้นิ้วไปที่เวทีขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่างห้องวีไอพีของพวกเขา