ตอนที่ 733

Elixir Supplier

733 ทุกคนมีแผนการของตัวเอง

 

หวังเย้าเดินตามนักพรตทั้งสองออกไปด้านนอก ในมือของเขามีเจดีย์กักขังวิญญาณ ซึ่งค่อนข้างหนัก

 

นักพรตที่เหลือซึ่งรอพวกเขาอยู่ด้านนอกก็เริ่มมีท่าทีวิตกกังวล

 

“นี่ อาจารย์กับอาจารย์อาอยู่ข้างในนั้นนานแล้วนะ หวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรนะ” หนึ่งในนักพรตพูดขึ้นมา

 

“พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก อาจารย์กับอาจารย์อาเป็นนักพรตที่เก่งกาจ รอพวกเขาอยู่ที่นี่ก็พอ” นักพรตอีกคนพูด

 

จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังออกมาจากด้านในสุสาน แล้วพวกเขาก็เริ่มเป็นกังวงขึ้นมาอีกครั้ง

 

“อาจารย์! อาจารย์อา!” หนึ่งในเหล่านักพรตเต๋าส่งเสียงเรียกออกไป

 

ทันทีที่เห็นนักพรตชราทั้งสองเดินออกมา พวกเขาก็เลิกกังวล

 

“ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราจัดการวิญญาณร้ายไปได้แล้วล่ะ” นักพรตจางพูด

 

“วิเศษไปเลย” ลูกศิษย์ของเขาพูด

 

“อาจารย์ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกนะ เป็นสุภาพบุรุษท่านนี้ต่างหากที่เป็นคนฆ่าวิญญาณร้ายนั่น” นักพรตจางพูดพร้อมกับชี้ไปที่หวังเย้าด้วยรอยยิ้ม

 

“ไม่หรอกครับท่าน ผมแค่ช่วยเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด

 

“เธอทำมากกว่าแค่ช่วยซะอีก” นักพรตจางพูด “เราต่างหากที่เป็นได้แค่ลูกมือ ยังไงก็เถอะ เราออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่านะ”

 

ทุกคนต่างพากันเดินออกไปจากกระท่อม

 

“มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่” หวังเย้าชะงักไป

 

เขาสะบัดมือครั้งหนึ่ง วูซ! ลมพัดผ่านมาทางพวกเขาวูบหนึ่ง

 

“เขาเรียกลมได้อย่างนั้นเหรอเนี่ย!” เหล่านักพรตเต๋าต่างอยู่ในอาการตกตะลึง

 

“เธอสามารถใช้เวทได้ด้วย!” นักพรตจางตกตะลึง

 

“นี่ไม่ใช้เวทหรอกครับ” หวังเย้าพูด “ลมน่ะมีอยู่แล้ว ส่วนผมก็แค่กระตุ้นมันเท่านั้น”

 

เขาสื่อสารกับสิ่งที่อยู่รอบกายเขาด้วยพลังฉี และใช้พลังฉีเร่งการไหลเวียนของอากาศที่อยู่โดยรอบ

 

“ถ้ามันไม่ใช่เวท แล้วเวทคือแบบไหนกันล่ะ?” นักพรตเต๋าคนหนึ่งพูดพึมพำกับตัวเอง

 

เมื่อเห็นกลุ่มของนักพรตจางเดินกลับมาที่ตีนเขา เหล่าคนที่รออยู่ด้านล่างก็รีบเดินเข้าไปหาพวกเขา

 

“จัดการเรียบร้อยแล้วเหรอครับ?” หนึ่งในพวกเขาถาม

 

“อืม เรียบร้อยแล้ว” นักพรตจางพูด

 

“เยี่ยมไปเลย” เขาพูด

 

นักพรตจางไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสุสานให้พวกเขาฟัง เขาเพียงแต่บอกว่า วิญญาณร้ายที่อยู่ด้านในถูกจัดการเรียบร้อยแล้วเท่านั้น และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่หวังเย้าทำลงไปเมื่ออยู่ภายในนั้น ซึ่งเป็นไปตามคำขอของตัวหวังเย้าเอง

 

“อืม ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว คงได้เวลาที่ผมต้องกลับซักที” หวังเย้าพูด

 

เขาจัดการกับผีดิบตัวนั้นไปแล้ว และนักพรตที่ป่วยอาการก็คงที่ดีแล้วด้วย หวังเย้ายังได้ให้สูตรยาเอาไว้ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ นักพรตคนนั้นเพียงต้องทำตามคำแนะนำของเขาและกินยาอย่างต่อเนื่องก็จะหายดีได้

 

“ถ้าเขามีอาการผิดปกติ ก็ให้พาเขามาหาผมที่หมู่บ้านนะครับ” หวังเย้าทิ้งที่อยู่คลินิกของเขาไว้กับนักพรตจาง

 

“ขอบคุณ” นักพรตจางพูดอย่างจริงใจ “ถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วย ก็บอกฉันได้นะ”

 

“ครับ” หวังเย้าพูด

 

ก่อนที่เขาจะไป นักพรตเต๋าได้นำกระดิ่งขนาดเล็กมอบให้กับเขา ซึ่งมันเป็นแบบเดียวกับที่แขวนอยู่ตรงเอวของนักพรตแต่ละคน

 

“กระดิ่งอันนี้ถือเป็นตัวแทนของพวกเรา” นักพรตจางพูด “ได้โปรดรับมันไว้ด้วย ถ้าเธอมาด้วยตัวเองไม่ได้ เธอก็ให้คนอื่นมาหาพวกเราพร้อมกับกระดิ่งอันนี้แทน”

 

“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด “แล้วเจดีย์อันนี้ทำมาจากทองคำแท้เหรอครับ?”

 

“ใช่” นักพรตจางพูด “เธออยากได้ไหม?”

 

“ไม่อยากได้หรอกครับ มันควรจะเป็นของเขตนี้มากกว่า” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้มและโบกมือปฏิเสธ

 

“ถ้าเธอต้องการ เธอก็เก็บมันเอาไว้ได้นะ” นักพรตจางพูด “เจดีย์อันนี้ถือว่าอยู่ในความดูแลของทางเรา”

 

“จริงเหรอครับ? ทำไมล่ะ?” หวังเย้าถาม

 

“มันไม่มั่นคงน่ะสิ” นักพรตจางพูด “มันอันตรายเกินไปที่จะส่งมอบมันให้กับทางเขต แล้วทางหน่วยงานรัฐก็เห็นด้วยกับคำแนะนำของฉัน”

 

“เป็นแบบนี้นี่เอง” หวังเย้าเพิ่งได้รู้ว่า นักพรตจางเป็นมากกว่านักพรตที่เก่งกาจ แต่เขายังได้รับความเคารพอย่างสูงจากทางการอีกด้วย

 

“ผมคงต้องไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“อืม ลาก่อน” นักพรตจางพูด

 

เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางขับรถไปส่งหวังเย้าที่สนามบิน

 

“ขอบคุณที่มานะครับ” เมี่ยวซานติงพูด

 

เขายังคงคิดว่า ตัวเองต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของคนเหล่านั้น ต้องขอบคุณหวังเย้าที่จัดการกับวิญญาณร้ายและรักษานักพรตคนนั้นเอาไว้ได้ เขาบอกได้เลยว่า นักพรตจางก็รู้สึกชื่นชมในสิ่งที่หวังเย้าทำลงไปเช่นเดียวกัน

 

“ยินดีครับ ถ้ามีเวลาก็แวะมาเยี่ยมผมที่หมู่บ้านบ้างนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ได้เลยครับ” เมี่ยวซานติงพูด

 

หวังเย้าขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปยังเมืองเต๋า

 

นักพรตจางกลับไปที่เขาหลงหู่พร้อมกับศิษย์น้อง, ลูกศิษย์, และเจดีย์กักขังวิญญาณ

 

“มันจะดีเหรอที่เราเอามาด้วยน่ะ?” ศิษย์น้องของเขาถาม

 

“อืม ไม่ต้องกังวลไปหรอก” นักพรตจางพูด “ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าอาจารย์ของชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากที่คนหนุ่มแบบเขาสามารถประสบความสำเร็จมาจนถึงขั้นนี้ได้ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นแบบนี้”

 

“ฮาฮา ฉันว่าคงเป็นเพราะพรสวรรค์ของเขามากกว่านะ” ศิษย์น้องของเขาพูด “แล้วเราจะเอาเจดีย์อันนี้ไปทำอะไรเหรอ?”

 

“มันมีประโยชน์มากเลยล่ะ มันจะช่วยในการฝึกฝนของพวกเรา” นักพรตจางพูด

 

การที่มันถูกครอบครองโดยวิญญาณร้าย ทำให้ตัวเจดีย์ไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา แต่ตอนนี้ ตัวเจดีย์ได้ถูกพลังฉีที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ของหวังเย้าชะล้างพลังของวิญญาณร้ายออกไปจนหมดแล้ว บางทีหวังเย้าอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่า พลังฉีบริสุทธิ์บางส่วนของเขาได้ตกค้างอยู่ภายในเจดีย์ทองอันนี้ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่นักพรตจางยืนยันที่จะนำมันกลับไปที่เขาหลงหู่กับเขาด้วย

 

พลังฉีของหวังเย้าเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับผู้ฝึกฝนทางเต๋าทุกคน

 

“ด้วยความช่วยเหลือจากเจดีย์อันนี้ จะช่วยให้เราก้าวกระโดดไปได้ไกลเลยล่ะ” นักพรตจางพูด

 

ความสามารถของหวังเย้าก็ก้าวกระโดดเช่นเดียวกัน ผู้ฝึกฝนทางเต๋านั้นไม่ได้สนใจเรื่องเงินทอง แต่ที่พวกเขาสนใจก็คือ สิ่งที่จะสามารถช่วยให้พวกเขาสามารถพัฒนาในด้านการฝึกตนไปได้ไกลมากกว่า

 

“ฉันเข้าใจแล้ว ดีที่ศิษย์พี่คิดเรื่องนี้ได้” ศิษย์น้องของเขาพูด

 

เครื่องบินร่อนลงจอดที่สนามบินเมืองเต๋าตอนหนึ่งทุ่มกว่า หลังออกมาจากสนามบินแล้ว หวังเย้าก็เข้าไปเช็คอินพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง

 

“ฉันน่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย” เขาพูดพึมพำกับตัวเอง

 

มันยังไม่ดึกมากนัก หวังเย้าจึงเดินออกมาจากโรงแรม ช่วงหน้าร้อนในเมืองเต๋านั้นร้อนมาก แม้ว่าเมืองแห่งนี้จะอยู่ติดทะเลก็ตามที โชคดีที่ยังพอมีลมพัดจากทะเลทำให้คลายความร้อนไปได้บ้าง

 

ในเวลาแบบนี้ จะร้านอาหารข้างทางและร้านปิ้งย่างเปิดอยู่ใกล้ๆกับถนนหลายสาย หวังเย้าเดินอออกมาจากโรงแรมตอนเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว ที่ด้านนอกจึงมีคนนั่งกินตามร้านอาหารเป็นจำนวนมาก เมืองเต๋าเป็นเมืองติดทะเล ดังนั้น ร้านอาหารข้างทางส่วนใหญ่จึงขายอาหารทะเลเป็นหลัก

 

เขายังไม่ได้ทานอาหารเย็น ดังนั้น เขาจึงเลือกร้านที่ดูสะอาดร้านหนึ่งและเข้าไปสั่งอาหารกิน

 

“ดื่ม!” กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เปลือยท่อนบนกำลังนั่งดื่มอยู่ข้างโต๊ะของหวังเย้า

 

“ตอนนี้ งานของแกเป็นยังไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถาม

 

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันตกงานแล้ว ตอนนี้ได้แต่อยู่บ้านเลี้ยงลูกแทน” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูด

 

“ทำไมล่ะ? ฉันว่างานที่แกทำอยู่มันก็ดีนี่นา” ชายวัยกลางคนพูด

 

“ฉันตกงานน่ะสิ” ชายหนุ่มพูด

 

“อะไรนะ? ที่บริษัทนั่นน่ะเหรอ?” ชายวัยกลางคนถามด้วยความแปลกใจ

 

“อย่าไปพูดถึงมันเลย” ชายหนุ่มพูด “ตัวบริษัทน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่พวกเขาดันเปลี่ยนผู้จัดการใหม่น่ะสิ แล้วได้หัวหน้าคนใหม่ก็ตั้งกฎของบริษัทขึ้นมาใหม่ด้วย”

 

“ฉันคิดว่า ซุนเจิ้งหรงบริหารงานเก่งซะอีก” ชายวัยกลางคนพูด

 

“ใช่ แต่ฉันได้ยินมาว่า หัวหน้าคนใหม่เป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ เขาเป็นพวกโลภมาก ฉันว่า เขาต้องได้ข้อมูลบางอย่างของซุนเจิ้งหรงมาแน่” ชายหนุ่มพูด

 

“จริงเหรอ? ซุนเจิ้งหรงมีชื่อเสียงในเมืองเต๋าดีจะตาย ทำไมถึงพลาดได้ล่ะ?” ชายวัยกลางคนถาม

 

“พวกนักธุรกิจก็สนใจแต่เรื่องเงินทองเท่านั้นแหละ” ชายหนุ่มพูด “ซุนเจิ้งหรงทำธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เขาอาจจะไปทำให้ใครบางคนไม่พอใจเรื่องขั้นตอนการรื้อถอนอพาร์ทเมนต์เก่าเข้าก็ได้ ใครจะรู้”

 

ในตอนที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้น หวังเย้าได้ให้ความสนใจกับทุกคำพูดที่พวกเขาพูดออกมา เขาสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับซุนเจิ้งหรงกันแน่