ตอนที่ 734

Elixir Supplier

734 มีดขูดกระดูก

 

ซุนเจิ้งหรงกับตระกูลของเขาคอยให้ความช่วยเหลือหวังเย้าอยู่เสมอ และดูเหมือนว่า ตอนนี้จะเกิดปัญหาขึ้นกับพวกเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หวังเย้าคิดว่า เขาควรจะตอบแทนบุญคุณของพวกเขาบ้าง

 

หวังเย้าต้องการข้อมูลที่มากกว่านี้ แต่คนเหล่านี้ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของซุนเจิ้งหรงอีก และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

 

ฉันน่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน เขาคิด

 

หลังจากทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็กลับไปที่โรงแรม เขาโทรไปหาจงหลิวชวนเพื่อสอบถามความเป็นไปภายในหมู่บ้าน

 

“หมอหวัง เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนมาถามหาหมอด้วย” จงหลิวชวนพูด “พวกเขามาสองครั้งแล้ว และดูเหมือนว่าจะเป็นพวกคนมีระดับด้วย”

 

“พวกเขาไปที่บ้านของผมรึเปล่า?” หวังเย้าถาม

 

“ไม่ครับ ดูเหมือนว่า พวกเขาจะรู้กฎของคุณดี” จงหลิวชวนพูด

 

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ” หวังเย้าพูด “ผมกลับมาจากหางโจวแล้ว และตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองเต๋า พอดีผมมีเรื่องที่ต้องจัดการที่นี่ คงอีกสักสองสามวันถึงจะกลับไปที่หมู่บ้าน”

 

“เข้าใจแล้วครับ” จงหลิวชวนพูด

 

เช้าวันต่อมา อากาศเริ่มร้อนตั้งแต่ยังไม่เที่ยง ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา อุณหภูมิในจังหวัดฉีสูงขึ้นมาก มีการรายงานพยากรณ์อากาศว่า คลื่นความร้อนจะอยู่ที่บริเวณนี้ไปอีกประมาณสิบกว่าวัน แล้วยิ่งเมืองที่อยู่ติดกับทะเลอย่างเมืองเต๋า ก็ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก

 

หวังเย้ามุ่งหน้าไปที่ผับแห่งหนึ่ง ช่วงเวลาระหว่างวันภายในผับนั้นเงียบสงบและคึกคักในช่วงเวลากลางคืน หลังจากเลิกงานแล้ว หลายคนมักเลือกที่จะออกไปดื่มและร้องเพลงกัน

 

มีร้านมากมายที่เหมาะสำหรับการผ่อนคลายอารมณ์ และมันจะยิ่งดีไปกว่านั้น หากว่าพวกเขาได้เจอกับสาวสวยในค่ำคืนนั้น แต่ในเวลานี้ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่ด้านในผับ บาร์เทนเดอร์นั่งหาววอดอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง

 

“ง่วงจริงๆเลยยยย!” บาร์เทนเดอร์พูดอยู่คนเดียว “อรุณสวัสดิ์ มีอะไรให้ช่วยครับ?” ทันทีที่เห็นหวังเย้าเดินเข้ามา เขาก็รีบตั้งสติและพูดต้อนรับลูกค้า

 

“ผมอยากจะคุยกับผู้จัดการหน่อยน่ะ” หวังเย้าพูด

 

“มีเรื่องอะไรเหรอ? ตอนนี้เขากำลังหลับอยู่” บาร์เทนเดอร์ตอบ

 

“เรื่องธุรกิจ” หวังเย้าพูด

 

“ธุรกิจอะไร?” บาร์เทนเดอร์ถาม

 

“ธุรกิจทั่วไป” หวังเย้าพูด

 

“โอเค รอเดี๋ยวนะ” อยู่ๆดวงตาของบาร์เทนเดอร์ก็เป็นประกายขึ้นมา ราวกับเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากความฝัน แล้วเขาก็รีบกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก “โอเค ผมเข้าใจแล้ว”

 

เขาหันหน้าไปหาหวังเย้าและพูดว่า “ตามผมมา”

 

เขาเดินนำหวังเย้าไปที่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง

 

“โปรดรอสักครู่” บาร์เทนเดอร์ “ผู้จัดการจะมาที่นี่ในอีกหนึ่งนาที ต้องการดื่มอะไรไหมครับ? เรามีเครื่องดื่มบริการฟรีสำหรับคุณลูกค้าด้วยนะครับ”

 

“ไม่ล่ะ ขอบคุณ” หวังเย้าพูด

 

ครู่ต่อมา ชายวัยประมาณสามสิบปลายๆก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทีเร่งรีบ

 

“ขอโทษที พอดีผมติดธุระอย่างอื่นอยู่” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูด

 

หวังเย้าได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวของชายคนนี้อย่างชัดเจน และสังเกตุเห็นท่าทางการเดินกับถุงใต้ตาของเขาได้ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้ว หวังเย้าเดาว่า ผู้จัดการคนนี้คงจะยุ่งมากและไม่ได้นอนอย่างเต็มที่ในคืนที่ผ่านมา

 

“คุณมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหรอครับ?” ผู้จัดการถาม

 

“ครับ เพื่อนของผมเป็นคนแนะนำให้ผมมาที่นี่” หวังเย้าพูด

 

“มิน่าล่ะ ผมถึงไม่เคยเห็นคุณมาก่อน มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” ผู้จัดการหยิบบุหรี่ออกมาและส่งมันให้กับหวังเย้า

 

“ไม่ดีกว่า ขอบคุณครับ

 

ผู้จัดการจุดบุหรี่สูบมวนหนึ่งและสูดเข้าไปจนเต็มปอด

 

“ผมอยากจะคุยเรื่องตระกูลซุนกับคุณหน่อยน่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ตระกูลซุนไหนครับ?” ผู้จัดการถาม อยู่ๆใบหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมา

 

“ตระกูลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองเต๋าครับ” หวังเย้าพูด

 

“เอ่อ พวกเขาไปสร้างปัญหาให้กับคุณ หรือว่าคุณคิดอยากจะตอบแทนพวกเขาล่ะครับ?” หลังจากที่เงียบไปสักพัก ผู้จัดการก็เอ่ยถามขึ้นมา

 

“มันต่างกันด้วยเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ต่างสิครับ ถ้าคุณคิดอยากจะทำอันตรายพวกเขา ผมก็คงไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้ และแสร้งทำเป็นว่า วันนี้คุณไม่ได้มาที่นี่ แต่ถ้าคุณคิดอยากจะตอบแทนบุญคุณพวกเขา เราก็สามารถคุยกันได้” ผู้จัดการพูด

 

“ผมอยากจะช่วยเขาครับ” หวังเย้าพูด

 

“ดี งั้นเราก็มาคุยกันต่อ” ผู้จัดการพูด “คุณอยากจะรู้เรื่องอะไรเหรอ?”

 

“ตอนนี้ พวกเขากำลังมีปัญหากับเรื่องบางอย่างอยู่ใช่ไหม?” หวังเย้าถาม

 

“ผมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ แต่เรามาตกลงเรื่องราคากันก่อนดีไหม?” ผู้จัดการชูสองนิ้วขึ้นมา

 

“คุณต้องการสองร้อยเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“โอ้ เอ่อ…แค่กๆ!” ผู้จัดการแกล้งไอออกมา “เงินแค่นั้นยังไม่พอจ่ายค่าเครื่องดื่มแก้วหนึ่งด้วยซ้ำ ผมหมายถึงสองพันต่างหาก

 

“โอเค ผมไม่มีปัญหา” หวังเย้าพูด

 

“ดี ผมต้องการเงินก่อน และนั่นก็เป็นกฎของเรา” ผู้จัดการพูด

 

“ไม่มีปัญหา” หวังเย้าพูด

 

หวังเย้าโอนเงินเข้าบัญชีของผู้จัดการในทันที

 

“ได้รับเรียบร้อยแล้วครับ” หลังจากที่ได้รับเงินแล้ว ผู้จัดการก็มีท่าทีสุภาพขึ้นมาก “ผมขอคิดดูก่อนนะว่าจะพูดยังไงดี คุณคงรู้อยู่แล้วว่าตระกูลของซุนเจิ้งหรงเป็นตระกูลใหญ่ และกิจการของพวกเขาก็ใหญ่โตมาก”

 

“รู้ครับ” หวังเย้าพูด

 

“มีคนมากมายคอยจับตาดูธุรกิจของพวกเขา และบางส่วนก็พยายามที่จะขโมยกิจการของพวกเขาไป” ผู้จัดการพูด “แต่ซุนเจิ้งหรงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางเจ้าหน้าที่รัฐ เดี๋ยวนี้ ใครจะทำธุรกิจต่างก็ต้องพึ่งพาคนที่ทำงานภาครัฐด้วยน่ะนะ”

 

“ผมเข้าใจ” หวังเย้าพูด

 

“เท่าที่ผมรู้มา เจ้าหน้าที่รัฐที่ซุนเจิ้งหรงติดต่อด้วยเกษียณไปแล้ว” ผู้จัดการพูด “ตอนนี้มีคนอื่นมารับตำแหน่งแทนเขา แล้วบังเอิญว่า คนที่เข้ามาใหม่มีความเห็นไม่ตรงกันกับเจ้าหน้าที่คนก่อน ดังนั้น ซุนเจิ้งหรงก็เลยซวยไปด้วย คุณก็รู้ ว่านักธุรกิจไม่มีทางเอาชนะรัฐบาลได้ เขาก็เลยจำเป็นต้องยอมรับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย”

 

“ใครที่เป็นเจ้าหน้าที่คนใหม่คนนั้นเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ผมรู้แค่เขามีแซ่ว่า โฮ่ว” ผู้จัดการพูด

 

“ไม่เห็นเคยได้ยินแซ่นี้มาก่อนเลย” หวังเย้าพูด

 

“คุณคุ้นเคยกับคนข้างในด้วยเหรอครับ?” ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายผู้จัดการที่ต้องประหลาดใจ

 

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมแค่พอรู้จักกับตระกูลใหญ่บางตระกูลในปักกิ่งก็เท่านั้น” หวังเย้าตอบ

 

“งั้นช่วยบอกผมทีสิว่าตระกูลไหนบ้าง” ผู้จัดการพูด

 

“คุณเคยได้ยินชื่อตระกูลซูไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ตระกูลซูถือเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจสุดในปักกิ่ง” ผู้จัดการพูด “ผู้อาวุโสของตระกูลพวกเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ หนึ่งในนั้นมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี และอีกคนมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการในสองหน่วยงานที่ถือว่ามีอำนาจมากที่สุดด้วย และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ซูฉางเหอได้แต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลซง ถือเป็นคู่ที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก! พวกเขาถือได้ว่า เป็นตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในปักกิ่งเลยล่ะ”

 

“จริงเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจ

 

เขากำลังคบอยู่กับซูเสี่ยวซวี และรู้อยู่แล้วว่าตระกูลของเธอนั้นมีอำนาจมาก แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามากแค่ไหน เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับตระกูลซูอีก

 

“จริงสิ คุณรู้จักคนในตระกูลซูเหรอ?” ผู้จัดการถาม

 

“ครับ รู้จักอยู่สองสามคน” หวังเย้าพูด

 

“จริงเหรอครับ?” ผู้จัดการถาม

 

“เลิกพูดเรื่องตระกูลซูดีกว่านะ ผมอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลโฮ่วมากกว่า” หวังเย้าพูด

 

“เอ่อ แล้วยังมีตระกูลไหนในปักกิ่งที่คุณรู้จักอีกไหม?” ผู้จัดการถาม

 

“ตระกูลกั๋ว” หวังเย้าพูด

 

“อ่อ คนที่มีอำนาจเป็นอันดับสองของจังหวัดก็คือคนที่มาจากตระกูลกั๋ว” ผู้จัดการพูด “เขาถือว่าเป็นคนดูแลทุกอย่างและมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แน่นอนว่า ตระกูลกั๋วถือเป็นตระกูลที่มีอำนาจอยู่พอตัว แล้วคุณรู้จักใครอีกไหม?”

 

“ตระกูลหวู” หวังเย้าพูด

 

“ผมรู้จักพวกเขา” ผู้จัดการพูด “ผมเคยได้ยินเรื่องของผู้อำนวยการหวูกับรองหวู ใช่ พวกเขาถือเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจ”

 

“ถ้าเทียบกับสามตระกูลที่ผมพูดไป ตระกูลโฮ่วถือว่าอยู่ในระดับไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“อำนาจน้อยกว่าตระกูลหวูไปนิดหน่อย” ผู้จัดการพูด

 

“แล้วทำไมซุนเจิ้งหรงจะต้องมากังวลกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ?” หวังเย้าถาม

 

“หา?” ผู้จัดการแปลกใจ “คุณไม่รู้เหรอว่าสถานการณ์ของตระกูลตอนนี้น่ะ มันซับซ้อนขนาดไหน? มันไม่ได้ดูเรียบง่ายอย่างที่ตาเห็นหรอกนะ ในประเทศจีน มีตระกูลที่มีอำนาจล้นมืออยู่แค่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้น แล้วตำแหน่งที่ตระกูลโฮ่วถืออยู่ก็ถือว่าอยู่ในจุดไต้ตำตอเลยล่ะ”

 

“ที่นี่มีคนของตระกูลโฮ่วอยู่เยอะไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เอ่อ คุณช่วยหยุดถามแล้วให้ผมพูดให้จบก่อนได้ไหม” ผู้จัดการพูด

 

เขาบอกหวังเย้าเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลโฮ่ว และความเป็นศัตรูที่เกิดขึ้นระหว่างตระกูลโฮ่วกับตระกูลซุน ลูกชายคนที่สามของตระกูลโฮ่วอยู่ที่เมืองเต๋าและได้เข้าควบคุมอำนาจในบริษัทของซุนเจิ้งหรงโดยไม่จ่ายเงินให้ซุนเจิ้งหรงแม้แต่หยวนเดียว และบริษัทนั้นก็มีมูลค่าหลายล้านหยวน

 

“เขาไม่จ่ายอะไรเลย แต่มันจะง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ?” หวังเย้าประหลาดใจ

 

“ใช่ ง่ายยังงั้นเลยล่ะ” ผู้จัดการพูด

 

“ผมไม่คิดว่า ซุนเจิ้งหรงจะเป็นคนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆแบบนั้นหรอกนะ” หวังเย้าพูด

 

“เขาไม่ได้อยากจะยอมแพ้เรื่องบริษัทของเขาหรอก แต่ทางหนึ่งมันก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเขา เพราะเมื่อตระกูลโฮ่วได้บริษัทของเขาไปแล้ว พวกเขาก็ไม่มายุ่งอะไรกับเขาอีก” ผู้จัดการพูด “แล้วผมก็คิดว่า เขาคงกำลังลองเชิงอยู่ด้วย”

 

“เพื่ออะไรล่ะ?” หวังเย้าถาม

 

“เขาอยากจะรู้ว่า ตระกูลโฮ่วต้องการอะไรกันแน่ แล้วพวกเขาต้องการมากแค่ไหน” ผู้จัดการพูด “ผมเชื่อว่า ซุนเจิ้งหรงคงเตรียมใจสำหรับเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นเอาไว้แล้วล่ะ”

 

ผู้จัดการหาวออกมา “ขอโทษที เมื่อคืนผมไม่ค่อยได้นอนน่ะ”

 

“คุณเคยได้ยินประโยคที่ว่า การหลับนอนกับสาวงามจะนำผู้กล้าไปยังหลุมฝังศพไหม?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม “ในบางครั้ง สาวงามก็เปรียบได้กับใบมีดที่ใช้ขูดกระดูก”

 

“หา?” สายตาที่ผู้จัดการใช้มองหวังเย้าเปลี่ยนไป

 

“คุณอาจจะมีอาการอ่อนแรงที่บริเวณเอวกับเข่า บางครั้งก็จะได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ในหู, แล้วก็เจ็บอ่อนๆที่ท้องน้อยด้วย น้องชายของคุณก็ไม่เข้าที่เข้าทางด้วย” หวังเย้าพูด

 

“คุณรู้ได้ยังไงกัน?” ผู้จัดการถาม เขาเผลอนั่งตัวตรงและมีสีหน้าตื่นตะลึง ที่หวังเย้าพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง

 

“ลูกชายคนที่สามของตระโฮ่วควบคุมบริษัทไหนอยู่?” หวังเย้าถาม

 

“บริษัทการค้าระหว่างประเทศ ชื่อว่า บริษัทห่ายเทียนเทรดดิ้งจำกัด” ผู้จัดการพูด “คุณเป็นหมอเหรอ? คุณพอจะบอกเรื่องอาการของผมมากกว่านี้ได้ไหม?”

 

“ผมไม่ใช่หมอหรอก ผมเป็นแพทย์ปรุงยาน่ะ” หวังเย้าพูด

 

“แพทย์ปรุงยางั้นเหรอ?” ผู้จัดการถามด้วยความประหลาดใจ แล้วเขาก็ทำท่าจุดบุหรี่อีกมวนหนึ่ง

 

“โทษที” หลังจากที่เห็นสายตาของหวังเย้า เขาก็รีบโยนบุหรีมวนนั้นทิ้งทันที

 

“คุณก็น่าจะรู้นี่ ว่าอาการของคุณเกิดจากการที่คุณมีเซ็กซ์มากเกินไป” หวังเย้าพูด

 

“ผมรู้ แต่พอเห็นผู้หญิงสวยๆทีไร ผมก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกที” ผู้จัดการพูด “ผมแค่อยากจะคุยกับพวกเธอ แต่บางครั้ง การคุยก็นำไปสู่อย่างอื่นได้ด้วย”

 

“ถ้าคุณไม่ควบคุมตัวเองให้ดีละก็ ในอีกสองปีให้หลัง คุณจะไม่สามารถมีเซ็กซ์ได้อีก” หวังเย้าพูด

 

“คุณหมายความว่ายังไง?” ผู้จัดการตกใจ

 

“ก็หมายความอย่างที่ผมพูดนั่นแหละ” หวังเย้าพูด “ถ้าคุณยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเอง คุณก็จะไม่สามารถมีเซ็กซ์ได้อีก แล้วนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเดียวที่คุณมีอยู่ด้วย คุณยังมีปัญหาที่กระเพาะ ผมเดาว่า คุณคงจะดื่มอย่างน้อยๆก็วันละขวดสินะ”