บทที่ 84 ให้ข้าสลายไป (ตอนปลาย)

บุหลันเคียงรัก

เสวียนอี่ยืนอยู่หน้าประตูเขาจงซาน มองไปยังเทือกเขาขนาดใหญ่ที่มืดครึ้มทุกเมื่อเชื่อวันและถูกปกคลุมหิมะน้ำแข็งเงียบๆ สุดท้ายนางก็กลับมาที่นี่อีก

 

 

ระหว่างทางกลับมา มหาเทพไป๋เจ๋อพูดอะไรกับนาง นางลืมไปหมดแล้ว ความจำนางไม่เคยย่ำแย่อย่างนี้มาก่อนเลย

 

 

ฉีหนานรีบร้อนเข้ามาต้อนรับ ท่าทางเขาดูแล้วตื่นตระหนกมาก เขามักจะตื่นตูมอย่างนี้เสมอ และรีบถามนางว่า “องค์หญิงเป็นอะไรไป”

 

 

นางสบายดี ก็แค่แผลเล็กที่คอนั่นชานิดหน่อยเท่านั้น ในใจยังตื่นตกใจเล็กน้อย นับตั้งแต่ที่นางออกจากเขาจงซานไปเรียนที่ตำหนักหมิงซิ่ง นางล่วงเกินเผ่าเทพไปนับไม่ถ้วน แต่นางไม่เคยหวาดกลัวว่าใครจะไม่ชอบหรือเกลียดนางเลย บางครั้งนางยังมีความสุขด้วยซ้ำไป แต่พริบตาที่ฝูชางชักกระบี่ฉุนจวินออกมานั้น ในที่สุดนางก็ตกใจกลัวขึ้นมาแล้ว

 

 

นึกไม่ถึงว่าเขาจะเกลียดนางขนาดนี้

 

 

เสวียนอี่เดินไปตามบันไดทอดยาวขึ้นไปทีละขั้น พลันถามว่า “ฉีหนาน บางครั้งข้าก็น่ารังเกียจเหลือเกินใช่หรือไม่”

 

 

ใครว่าบางครั้งกัน เรียกว่าทำให้คนเกลียดได้ทุกเวลาเลยต่างหาก ฉีหนานแอบวิจารณ์ในใจ แต่กลับฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงรู้ตัวเองนับเป็นเรื่องดี”

 

 

เสวียนอี่กล่าวต่อ “ข้าถามเจ้า อยากให้เทพสักคนมาอยู่เป็นเพื่อนผิดมากหรือ”

 

 

ในใจของฉีหนานเต้นเร็วอย่างบ้าคลั่งแล้วใคร่ครวญพร้อมกล่าวว่า “เรื่องนี้หรือ…องค์หญิงหมายถึงเทพฝูชาง? แน่นอนว่าไม่ได้มีความผิด หากทั้งสองพึงพอใจกันจะเป็นความผิดได้อย่างไร”

 

 

เสวียนอี่เม้มปากแล้วกล่าวเสียงเรียบ “หากว่าไม่ได้พึงพอใจทั้งสองฝ่าย เรียกว่าเป็นความผิดสินะ”

 

 

ฉีหนานรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “องค์หญิงพูดถึงอะไร เทพฝูชางชอบท่านใครๆ ก็มองออก หากว่าท่านไม่ชอบเขาแต่ไปเกาะติดเขา นี่เรียกว่ามีความผิด”

 

 

แต่ว่านางไม่อยากได้ความชอบจากเขา ไม่ต้องแสดงแววตานุ่มนวลและอยากสนิทสนมนั้นออกมา ไม่ต้องเข้าใกล้นางเกินไป นางไม่อยากได้ยินเสียงร้องไห้อย่างแผ่วเบาที่ข่มอารมณ์เอาไว้ของท่านแม่อีกแล้ว นางไม่อยากเห็นพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดอย่างนั้นอีก เผ่าเทพมีความทรงจำตั้งแต่กำเนิด นับตั้งแต่นางถือกำเนิดขึ้นก็แทบจะไม่เคยเห็นท่านแม่ยิ้มเลย มีบ้างที่ท่านพ่อมาหยอกล้อให้ยิ้มได้ แต่ไม่นานใบหน้าก็เต็มไปด้วยน้ำตาอีก

 

 

รักคือความทุกข์อย่างหนึ่ง หากตกลงไปในนั้นก็เหมือนต้องใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ต่างกับเอาชีวิตไปทิ้ง

 

 

นางแค่อยากจะให้เขาอยู่เป็นเพื่อนนางเงียบๆ ไกลๆ หรือว่านี่เองก็เป็นความผิด

 

 

ฉีหนานเห็นนางไม่พูดอะไรต่อ ในใจก็ร้อนรนมาก อดไม่ได้กล่าวว่า “หรือว่าองค์หญิงไปทะเลาะอะไรกับเทพฝูชางอีก ท่านไปทำให้เขาโมโหอย่างนี้เรื่อยๆ ต่อให้เขานิสัยดีเพียงไรก็คงถูกท่านทำให้โมโหตายแน่!”

 

 

เสวียนอี่หันกลับไปปรายตามองเขา “ทำไมเจ้าต้องคิดแต่จะผลักไสข้าออกไป หากว่าข้าอยู่คนเดียวข้าจะดับสูญหรือ”

 

 

ฉีหนานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายก็ผ่อนลมหายใจออกมา “เพราะว่าองค์หญิงดูเหงามากต่างหาก”

 

 

นาง? เหงา? เสวียนอี่เผยรอยยิ้มประหลาดออกมาแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป

 

 

นางกลับมายังวิมานม่วง ดอกทับทิมบานสะพรั่งเต็มต้น สีสดเสียดแทงตานั่นทำให้นางไม่ชินอย่างมาก นางยกมือขึ้น วิมานม่วงทั้งหลังก็พลันปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ทุกอย่างมืดสลัวลงและกลายเป็นสีขาว ทำให้นางสงบลงได้

 

 

ไม่นานฉีหนานก็ตามมาทัน พอเห็นทั้งหมดปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ก็ลอบตกใจขึ้นมา เขาก้าวเท้ามาอยู่ข้างกายองค์หญิงช้าๆ นางกำลังยืนอยู่ข้างต้นไม้ต้นหนึ่งและก้มหน้าลงเงียบๆ

 

 

“ฉีหนาน ไปลาแทนข้าด้วย” เสวียนอี่กล่าวเสียงเบา “ลาหยุดหนึ่งพันปี”

 

 

ฉีหนานส่ายหน้า “นอกจากเลื่อนขั้น ลาได้ถึงหนึ่งพันปีที่ไหน ตำหนักเหวินหวามีกฎชัดเจน ศิษย์ไม่สามารถลาได้เกินสองปี”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็สองปี” นางสะบัดมือไป หิมะสีขาวบนต้นทับทิมก็ร่วงพรูลงมา

 

 

ฉีหนานถอนหายใจ ดึงแขนเสื้อนางเอาไว้แล้วพานางมานั่งลงบนโต๊ะแก้วหน้าตำหนัก ตัวเขานั่งลงตรงข้ามนางแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “องค์หญิงไม่ชอบเทพฝูชางจริงๆ หรือ”

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่อยากจะได้ยินเรื่องนี้อีก”

 

 

ฉีหนานนิ่งเงียบไป นั่งท่ามกลางหิมะเป็นเพื่อนนางเงียบๆ มองไปยังหิมะสีขาวที่ถูกอาทิตย์ลับฟ้าสาดส่องแสงมาจนคล้ายเยือกเย็นคล้ายอบอุ่น

 

 

 

 

ไอขุ่นมัวของโลกมนุษย์กระทบเข้ากับใบหน้า มันทั้งเหนียวเหนอะและรู้สึกไม่ดี จื่อซีลูบจมูกอย่างไม่คุ้นชิน นางหันกลับไปมองเซ่าอี๋ที่อยู่บนหลังหงส์ เขามองไปยังทะเลหลีเฮิ่นสีดำสนิทที่ถูกโอบล้อมด้วยแสงสว่างเอาไว้ไกลๆ ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ดูแล้วราวกับเขาไม่ได้ตื่นเต้นหรืออยากรู้อยากเห็นเลย

 

 

นางอดกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “ศิษย์น้องเซ่าอี๋ ดูเสร็จหรือยัง”

 

 

พื้นที่เหนือสุดนี้มีไอขุ่นมัวหนาแน่นมากเพราะทะเลหลีเฮิ่นตกลงมา เผ่าเทพอายุน้อยอย่างพวกเขารับไม่ค่อยไหวจริงๆ คิดว่าเพราะไม่มีไอบริสุทธิ์ของแดนเทพห่อหุ้ม พอทะเลหลีเฮิ่นตกลงมาที่โลกเบื้องล่างถึงได้ขยายตัวออกไปเร็วกว่าตอนอยู่บนแดนเทพมาก ได้ยินเหล่าแม่ทัพที่ประตูสวรรค์ทิศใต้กล่าวกันว่า แค่เวลาเพียงไม่กี่เดือนหมอกสีดำก็ขยายไปหลายลี้แล้ว หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เรื่องส่งผลไปถึงมนุษย์ก็แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

 

 

และเพราะอย่างนี้ แม่ทัพแดนเทพที่ลงมาโลกเบื้องล่าง ทุกวันจะมีไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นนาย พวกเขาใช้ไอบริสุทธิ์ต้านไว้ ถึงได้ทำให้ระยะเวลาขยายตัวของมันหยุดลงชั่วคราว แต่นี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้นไม่ใช่ต้นเหตุ เหล่ามหาเทพของแดนเทพเองก็ขบคิดกันจนสมองแทบแตก แต่ก็ยังคิดวิธีไม่ออก จึงได้แต่ลากเวลาไป

 

 

เซ่าอี๋ขยิบตาแล้วยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ข้ากำลังคิดว่า จะปล่อยให้มันขยายตัวอย่างนี้ต่อไปไม่ได้”

 

 

จื่อซีใจสั่นขึ้นมา นางคิดไม่ถึงว่าเขาที่มักจะยุ่งแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ จะพูดอะไรมีสาระอย่างนี้ได้ นางจึงกล่าวเสียงเบาว่า “แต่พวกเราก็ไม่มีวิธี ได้แต่ต้องรอให้อายุถึงห้าหมื่นปีก่อน ถึงค่อยมาวุ่นวายใจกับกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน”

 

 

เซ่าอี๋ลูบหัวหงส์แล้วบังคับมันไปอีกทาง ยิ้มกล่าวว่า “อนาคตศิษย์พี่หญิงอยากรับหน้าที่เป็นเทพอะไร ศิษย์พี่ที่มีนิสัยยุติธรรมอย่างนี้ คงจะเป็นฝ่ายอาญาสินะ”

 

 

ในใจจื่อซีสั่นไหวรุนแรงขึ้น นางอยากไปฝ่ายอาญาจริงๆ ทำไมเขาถึงพูดได้ตรงอย่างนี้

 

 

“…แล้วเจ้าเล่า” จื่อซีถามเสียงเบา

 

 

เซ่าอี๋เอียงคอครุ่นคิด ท่าทีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมผิดปกติ “แน่นอนว่าต้องเป็นขุนพลสิ มาดูทะเลหลีเฮิ่นที่โลกเบื้องล่าง ไม่ให้มันส่งผลต่อกฎเกณฑ์ของสวรรค์ ต้องมีสักวันที่ข้าจะทำให้มันฟื้นฟูดังเดิมได้แน่”

 

 

จื่อซีรู้สึกว่าในอกสั่นไหวอย่างรุนแรงจนเจ็บ นางบังคับให้เซี่ยจื้อไล่ตามหงส์ไปแล้วกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ข้า ข้าเองก็อยากเป็นขุนพล มาคอยจับตาดูทะเลหลีเฮิ่น”

 

 

เซ่าอี๋หันกลับมา ปรายตามองมาที่นางด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาทั้งงดงามอ่อนหวานและหยอกล้อ เขากล่าวเสียงเบา “เทพธิดาที่งดงามอย่างศิษย์พี่หญิง น่าเสียดายเกินไปหากต้องมาเป็นขุนพล ที่ข้ากลัวที่สุดก็คือเห็นเทพธิดารูปโฉมงดงามต้องมารบราฆ่าฟัน อยู่ที่ฝ่ายอาญาดีออก ชุดสง่าหรูหรา และยังเหมาะสมกับศิษย์พี่หญิงอีก”

 

 

จื่อซีอยากจะใช้แขนเสื้อปิดหน้า คอนางร้อนไปหมด เขาจะต้องมองออกแน่ นางเขินอายมาก แต่ในใจกลับรู้สึกชอบใจ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขากล่าวชมนางว่ารูปโฉมงดงาม

 

 

อยู่กับเขานานเข้า ยิ่งทำให้เห็นด้านที่เข้มงวดและเฉลียวฉลาดของเขา ทำให้นางไม่สามารถปล่อยวางเขาลงได้ นางเหมือนกับคนต้องมนตร์เสน่ห์ลวงวิญญาณ ในสมองนางมีเขาอยู่ตลอดเวลา สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

 

 

แต่ความหวาดกลัวนั้นกลับทำให้นางไม่กล้าแสดงความรู้สึกในใจ ราวกับหากเขามองออกแล้ว นางก็ไม่ต่างอะไรกับเหล่าหญิงสาวที่รายล้อมร่างเหล่านั้น นางหวังว่าตัวเองจะเป็นคนพิเศษสำหรับเขา

 

 

จื่อซีก้มหน้าลง และหวังจะให้สายลมของโลกมนุษย์พัดเอาความร้อนบนหน้านางไป ผ่านไปนานนางจึงกล่าวเสียงเบาว่า “กลับไปครั้งนี้ ไปเร่งอาจารย์ให้สอนวิชาเวทเถอะ สถานการณ์ของโลกเบื้องล่างย่ำแย่ขนาดนี้ เรียนรู้วิชาไว้บ้างก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย”

 

 

เซ่าอี๋ส่ายหัวแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ข้ากลับไปครั้งนี้จะไปลาออกแล้ว”

 

 

อะไรนะ?! จื่อซีมองไปที่เขาอย่างมึนงง “ลาออก?”

 

 

“ใช่แล้ว” เขาถูกปลาดุกอุยน้อยที่ทั้งเจ้าเล่ห์และฉลาดเฉลียวนั่นคอยจับจ้องเข้าแล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เขาไม่อยากจะพัวพันกับปลาดุกอุยน้อยต่อไป หากว่าเขากลายเป็นคนป่าเถื่อนอย่างศิษย์น้องฝูชางจะทำอย่างไร

 

 

“อีกอย่าง หากอายุไม่ถึงสี่หมื่นปี อาจารย์คงไม่มีทางสอนวิชาเวทให้แน่ ครั้งที่แล้วเขาก็แค่พูดให้พวกเราดีใจกันเท่านั้น” เขาหันกลับไปยิ้มให้นางน้อยๆ “ข้าไปแล้ว ศิษย์พี่หญิงไม่ต้องคิดถึงข้าให้มากหรอกนะ”

 

 

จื่อซีหายใจสะดุดทันที เขามองออกแล้ว! เขามองออกนานแล้ว! เขาฉลาดอย่างนั้น จะมองใจนางไม่ออกได้อย่างไร

 

 

“คำพูดที่พูดที่วังเทพบูรพาวันนั้น ข้าพูดจากใจจริง” เสียงของเซ่าอี๋ทั้งนุ่มนวลและห่างเหิน “ศิษย์พี่หญิง ข้าไม่ใช่คนดี ลืมข้าเสียเถอะ”