หน้าต่างถูกผลักเปิดออก ด้านนอกเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน เสวียนอี่คลึงขมับอย่างเหนื่อยล้า นางถูกเสียงลมอึกทึกนั่นจนนอนไม่หลับอีกแล้ว ภายในวิมานม่วงกลับยังมีเสียงลมแรงขนาดนี้
เทพีสาวรับใช้ยืนรอปรนนิบัติอยู่ด้านนอกราวกับรู้ว่านางตื่นแล้ว พวกนางพากันเปิดม่านกั้นเข้ามาภายในและเปลี่ยนชุดพร้อมล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง
“องค์หญิง เมื่อครู่นี้ท่านอำมาตย์ฉีหนานกำชับไว้ว่า หากองค์หญิงตื่นแล้วให้ไปหาเขาที่หอเทพดำริเพคะ”
เสวียนอี่คลึงขมับที่ปวดหนึบไว้ “เขามาเองไม่ได้หรือ”
เทพีสาวรับใช้แสดงท่าทีลำบากใจออกมา “ท่านอำมาตย์กล่าวว่า ให้เชิญองค์หญิงไป ไม่ได้กล่าวว่าจะมา”
เสวียนอี่พยักหน้า ดีมาก แม้แต่ฉีหนานก็ไม่ต้องการนางแล้ว นับตั้งแต่ที่นางแช่แข็งวิมานม่วงและไม่ย่างเท้าออกไปแม้แต่ก้าวเดียว เขาก็ไม่ได้มานานถึงครึ่งปีแล้ว ราวกับว่าหากนางไม่ออกไปเขาก็จะไม่เข้ามาอย่างนั้น
เขาไม่ยอมมา นางก็ได้แต่ต้องไปหาเขา ไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้เขาคือฉีหนานกันเล่า
เสวียนอี่ก้าวเท้าไปยังหอเทพดำริอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ออกจากวิมานม่วงมาครึ่งปี หิมะของเขาเทพจงซานกลับละลายไปบ้างแล้ว ดินข้างทางมีพืชสีเขียวขึ้นมาบ้าง นี่หาได้ยากนัก หรือว่าอาการบาดเจ็บของท่านพ่อจะสมานกันดีแล้ว
องครักษ์หน้าหอเทพดำริเห็นนางเข้ามาใกล้ก็เข้ามาต้อนรับ กล่าวเสียงดังว่า “องค์หญิงมาแล้ว!”
กล่าวจบ ในที่สุดฉีหนานที่ไม่ได้เจอกันมาถึงครึ่งปีก็เดินออกมาจากด้านใน พอเห็นนางเขาก็ทำตาแดง “องค์หญิง…ท่านซูบผอมลงถึงเพียงนี้”
เสวียนอี่เดินไปด้านหน้าโดยไม่หันกลับมามองแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้เจอฉีหนานมาครึ่งปี ข้าต้องผอมลงอยู่แล้ว รีบเก็บน้ำตาไปเร็ว เรียกข้ามาทำไมกัน”
ฉีหนานบื้อใบ้ไร้คำพูด เขาไม่ได้ไปหาองค์หญิงมาครึ่งปีส่วนหนึ่งนั้นเพราะโมโห การกระทำที่องค์หญิงทำกับเทพฝูชางนั่นแย่มากเกินไป เดิมเขาคิดจะลงโทษนาง ใครจะรู้ว่านางจะมีสีหน้าย่ำแย่อย่างนี้ เขาปวดใจขึ้นมาทันที พอเห็นสีหน้าท่าทางฝืนทนเช่นนี้บนใบหน้านางแล้ว เขากลับเริ่มเสียใจขึ้นมา
เขายกชาทรายทะเลให้นางถ้วยหนึ่ง ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง อยากจะกล่าวปลอบนางแต่กลับคิดไม่ออกว่าจะกล่าวปลอบอย่างไร สุดท้ายจึงได้แต่กล่าวว่า “ที่วันนี้เรียกองค์หญิงออกมาจากวิมานม่วง เพราะอยากให้องค์หญิงได้เห็นหิมะข้างทางละลาย ให้องค์หญิงรู้ว่า อาการบาดเจ็บของท่านมหาเทพสมานขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว ตอนนี้สามารถออกไปจากเขาจงซาน และไปเดินเล่นรอบๆ นี้ได้แล้ว”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “หมายความว่าอีกไม่นานข้ากับชิงเยี่ยนจะมีแม่เลี้ยงแล้วหรือ”
ฉีหนานที่กำลังดื่มชาอยู่พลันพ่นชาทั้งหมดออกมา เขาไอจนเจ็บปอด ครู่หนึ่งถึงได้กล่าวว่า “องค์หญิง…แค่กๆ! ท่านช่างพูดเล่นได้ดีนัก…”
นางไม่ได้พูดเล่นเสียหน่อย เสวียนอี่ก้มหน้าลงเป่าไอร้อนของชา
ฉีหนานมองนางแล้วพลันกล่าวอีกว่า “ยังมีอีกเรื่อง ถึงแม้ว่าองค์หญิงจะไม่อยากฟัง แต่ว่าข้าจะต้องพูด เมื่อสี่ปีก่อนเทพฝูชางลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างแล้ว ดูเหมือนวิญญาณเขาจะเสียหายจนไม่สามารถเลื่อนขั้นได้”
เขากล่าวจบก็พิจารณาอารมณ์ขององค์หญิงอย่างละเอียด องค์หญิงกลับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา เพียงจิบชาแล้วกล่าวว่า “อ้อ เขาไปเป็นมนุษย์แล้ว”
ฉีหนานไม่รู้ความคิดขององค์หญิงจริงๆ จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เทพฝูชางมีนิสัยซื่อตรงและเข้มแข็ง เขาถูกองค์หญิงเหยียบย่ำเล่นอย่างนั้น…ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะท่าน ท่าทางอย่างนี้ขององค์ท่านคืออะไร”
ทำไมถึงได้เป็นเพราะนาง ทำไมถึงไม่ใช่เพราะเลื่อนขั้นไม่ได้ทำให้ใจร้อนรนจนวิญญาณได้รับความเสียหาย ทำไมเวลาฝูชางเกิดอะไรขึ้นต้องลากมาเกี่ยวข้องกับนางตลอด หรือว่าหากอีกหน่อยเขาไปสู่ขอเทพธิดาหน้าตาอัปลักษณ์มาก็ยังจะมาโทษนางอีก
เสวียนอี่คลึงขมับที่ปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ “พูดจบแล้วใช่หรือไม่ ข้ากลับวิมานม่วงแล้ว”
“องค์หญิง!” ฉีหนานเรียกนางไว้ เห็นนางก้าวเท้าออกไปอย่างไม่ลังเลก็เอาจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วไล่ตามไปยัดใส่มือนาง “นี่คือจดหมายของเทพบูรพา ท่านลองอ่านดูเถอะ”
เสวียนอี่เอาจดหมายเข้าไปในเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ พลันได้ยินเสียงของฉีหนานดังมาจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา “องค์หญิง ท่านคิดว่าตัวท่านเหมือนกับมหาเทพหรือไม่”
นางขมวดคิ้วทันที “อะไรนะ จะเป็นไปได้อย่างไร”
ฉีหนานกล่าวเสียงจริงจัง “แต่ข้าว่าเหมือนมาก เหยียบย่ำความจริงใจของผู้อื่น หยอกล้อกับความรู้สึกเช่นนี้ องค์หญิงช่างสมกับที่เป็นธิดาของมหาเทพจริงๆ”
พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป
ชั่วขณะนั้นเสวียนอี่ไม่รู้จะโต้เถียงอย่างไร นางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง แล้วกลับไปที่วิมานม่วงช้าๆ นางจ้องไปยังหิมะสีขาวนอกหน้าต่างอยู่นานกระทั่งดวงตาเจ็บจนลืมไม่ขึ้น ถึงได้ล้มตัวลงไปบนเตียง
ปวดหัวมาก ปวดราวกับจะระเบิด เสียงลมดังอึกทึกนั่นดังอยู่ข้างหูนางตลอดเวลา นางหลับไม่ลงเลยจึงฉีกจดหมายของเทพบูรพาออกดู
เหนือความคาดหมาย ในนั้นกลับไม่มีคำพูดตำหนินาง แต่เขียนเพียงที่อยู่โลกเบื้องล่างที่ฝูชางลงไปเท่านั้น และยังขอร้องนางอย่างนุ่มนวลให้นางช่วยตัดสัมพันธ์เลวร้ายนี้ให้ฝูชาง
สัมพันธ์เลวร้าย…ปลายนิ้วของเสวียนอี่ชี้ไปยังสองคำนี้ เงาร่างที่นางจงใจไม่คิดถึงพลันปรากฏขึ้นในสมอง เงานั่นไม่ใช่เงาชุดขาวราวกับหิมะ แต่ว่าเป็นเทพในชุดคลุมสีเขียวที่วังเทพบูรพาวันนั้น เขายื่นมือมาหยิบดอกไม้ที่หน้าผากนางออกให้ ปลายนิ้วของเขาทั้งอุ่นและร้อน
พริบตาเดียว มือนั่นกลับกุมด้ามกระบี่ฉุนจวินและพาดมาที่คอของนาง แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังและเดียวดายของเขาทำให้นางหวาดกลัว จนตอนนี้นางก็ยังคงหวาดผวาอยู่
จริงๆ แล้วนางรู้ดีว่า ฝูชางลงไปที่โลกเบื้องล่างก็เพราะนาง
เสวียนอี่ทิ้งจดหมายนั้นไปแล้วใช้ผ้าห่มคลุมหัว แต่ว่ามันไร้ประโยชน์ เสียงลมเหล่านั้นยังคงทะลุเข้ามา บ้างก็เป็นเสียงลมหายใจหอบหนักของฝูชางที่ถูกลงโทษ บ้างก็เป็นเสียงร้องไห้แผ่วเบาของท่านแม่
นางเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
…
เพราะจดหมายของเทพบูรพาอีกฉบับที่แนบมา แม่ทัพที่คุ้มกันประตูสวรรค์ทิศใต้จึงไม่ได้ทำให้นางลำบาก ปล่อยนางไปอย่างง่ายดาย ทั้งยังไม่ลืมกล่าวเตือนนางด้วยว่า “องค์หญิง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีแม่ทัพคอยลาดตระเวนและคอยกำจัดเหล่าปีศาจที่โลกเบื้องล่างทุกวัน แต่ว่าอย่างไรภัยก็ยังไม่ได้หมดไป องค์หญิงต้องระวังตัวให้มาก อย่าอยู่ที่โลกเบื้องล่างนานเกินไปนัก”
นางก็แค่ไปตัดสัมพันธ์เท่านั้น ใช้เวลาไม่นาน
เสวียนอี่ขี่ลมมุ่งไปยังโลกเบื้องล่าง พลางคิดถึงภาพครั้งที่แล้วที่เซ่าอี๋ช่วยตัดสัมพันธ์ให้เหยียนสยาไปด้วย
เทพบูรพาจะต้องได้ยินเรื่องของเหยียนสยามาจากจักรพรรดิแดงแน่ ถึงได้เขียนจดหมายขอร้องนางมา ฝูชางคือบุตรชายคนเดียวของเทพบูรพา อายุยังน้อยวิถีกระบี่ก็ตื่นแล้ว และยังใกล้จะเลื่อนขั้นโดยการหลับใหลพันปีอีก ถือว่าเป็นเทพอายุน้อยของเผ่าเทพที่โดดเด่นมาก อนาคตไม่รู้ว่าเขาจะรุ่งโรจน์สดใสขนาดไหน ใครจะรู้ว่าก่อนเลื่อนขั้นวิญญาณเขากลับได้รับความเสียหายอย่างนี้ หากว่านางเป็นเทพบูรพา รสชาติชีวิตเช่นนั้นคงไม่ดีอย่างมากเป็นแน่
นางเข้าใจความร้อนรนของเทพบูรพา ที่ฉีหนานตำหนินางนางก็เข้าใจ นางถึงได้ลงมา และคิดจะตัดสัมพันธ์เลวร้ายนี้อย่างจริงใจ นับจากนี้พวกเขาจะกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้า ถ้าอย่างนั้นคงจะดีที่สุด
ดูสิ นางเองก็ทำเรื่องดีๆ เป็น ดังนั้น ให้เสียงลมดังอึกทึกนั่นหยุดลงเสียทีเถอะ
เสวียนอี่ลดระดับลงไปใต้เมฆ ด้านล่างคือเมืองของมนุษย์เมืองหนึ่ง ดูแล้วไม่เล็กเลย มุมทางตะวันออกเฉียงใต้มีวังและตำหนักหลายชั้นถูกล้อมด้วยกำแพงสีแดงสูง นี่น่าจะเป็นพระราชวังที่เล่าลือกัน
แคว้นต้าเหลียงทางทิศตะวันออกของโลกเบื้องล่าง องค์ชายเจ็ด เสวียนอี่จำได้ว่านี่คือสิ่งที่จดหมายของเทพบูรพาบรรยายฐานะที่โลกเบื้องล่างของฝูชางเอาไว้ นางกลายเป็นลมพายุสายหนึ่งแล้วพุ่งเข้าไปในกำแพงวังสีแดง มุ่งไปยังเรือนที่มีพลังไอบริสุทธิ์มากที่สุดนั่น นางลงมาที่พื้น เหล่าเทพผู้ตรวจการรอบด้านต่างก็ตกใจ แต่พอเห็นว่าผู้ที่มาคือนาง เหล่าเทพผู้ตรวจการจึงรีบประสานมือคารวะแล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ที่แท้ก็องค์หญิงตระกูลจู๋อิน องค์หญิงลงมาที่โลกเบื้องล่างทำไมกัน”
ทุกวันนี้เผ่าเทพลงมาโลกเบื้องล่างมีอยู่จำกัด แล้วเผ่าเทพอายุน้อยอย่างนางลงมาได้อย่างไร
เสวียนอี่คร้านจะอธิบาย กล่าวเพียงว่า “ข้ามาหาเทพฝูชาง พวกเจ้าเงียบกันสักครู่”
นางกระโดดไปบนหอสูงที่วิจิตรงดงามนั่น แล้วเข้าไปทางหน้าต่าง นางเห็นเตียงขนาดใหญ่มีผ้าบางหลายชั้นกั้นไว้ บนนั้นมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ เหมือนว่าเขากำลังหลับสนิท ไอบริสุทธิ์แผ่ออกมาจากร่างของเขาจนเต็มเรือน
นางมาแล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ
เสวียนอี่เป่าลมออกไป ทำให้ผ้าบางหลายชั้นที่กั้นอยู่ปลิวไปด้านข้าง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มออกอย่างไม่เกรงใจ ร่างเล็กที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงตกใจจนรีบผุดลุกขึ้นมา เขามีหน้าตาสะอาดสะอ้านหล่อเหลาเหมือนกันกับฝูชางไม่ผิดเพี้ยน แต่ว่าดูแล้วตัวเล็กมาก นี่มันเด็กน้อยชัดๆ นางชะงักไปอย่างมึนงง
เหล่าเทพผู้ตรวจการรีบร้อนไล่ตามมาแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้เทพฝูชางเพิ่งจะมีอายุได้แค่ห้าปีเท่านั้น! องค์หญิงจะทำอะไร”