บทที่ 86 รอบด้านเงียบสนิท

บุหลันเคียงรัก

ห้าปี? เสวียนอี่เบิกตากว้าง เขาลงมาโลกเบื้องล่างได้สี่เดือนแล้ว กลับเพิ่งอายุห้าปี…โตช้าอะไรอย่างนี้!

นางก้มหน้าลงพิจารณาเด็กน้อยที่หวาดกลัวจนไปหลบอยู่ตรงมุมห้องคนนั้น เขาสวมชุดคลุมยาวตัวเล็กสีขาวหนานุ่มตัวหนึ่งไว้ ที่คอแขวนเครื่องประดับประเภททองและหยกอันใหญ่ไว้ ผมบนศีรษะมวยเป็นจุก ใบหน้ากลม ดวงตาเป็นประกายแวววาว ดูแล้วราวกับเด็กสาวตัวน้อย ที่แท้ฝูชางตอนเด็กก็หน้าตาอย่างนี้นี่เอง

เสวียนอี่โน้มตัวลงไป แล้วยื่นมือไปหมายจะจิ้มใบหน้ากลมนั้นอย่างอดไม่อยู่ ใครจะรู้ว่าเด็กนี่กลับหดตัวถอยไปด้านหลังสุดแรง ความหวาดกลัวบนใบหน้ายังมากขึ้นอีก เขาตกใจจนหน้าเขียวแล้ว

เหล่าเทพผู้ตรวจการทนมองต่อไม่ไหว “องค์หญิงอย่าเผยร่างเทพต่อหน้ามนุษย์ธรรมดาอย่างนี้ อีกอย่างตอนนี้เทพฝูชางยังเด็กนัก”

นางมึนงง “ข้ายังไม่ได้เผยร่างเทพเลยนะ”

เหล่าเทพผู้ตรวจการเชื่อนางเสียที่ไหน พวกเขากล่าวแค่ว่า “ตอนนี้โลกเบื้องล่างวุ่นวายมาก หากองค์หญิงไม่มีเรื่องอะไรก็เชิญกลับไปเถอะ อย่าได้อยู่ที่นี่นานเลย”

เสวียนอี่คร้านจะต่อปากต่อคำกับพวกเขา “ข้ามาตัดสัมพันธ์ พวกเจ้าถอยไป”

นางยื่นมือออกไปคว้าเขาเอาไว้ แต่ว่าร่างเล็กจ้อยของฝูชางกลับว่องไวมาก เขากลิ้งจากหัวเตียงฝั่งนี้ไปอีกด้าน แล้วกอดผ้าห่มหลบไป เสวียนอี่ไล่จับจนเริ่มใจร้อน เขาจะหลบอะไรกัน หรือว่าตามนุษย์ธรรมดาอย่างเขาจะมองเห็นร่างเทพได้ นางหมดความอดทนแล้วแผ่พลังเทพออกมาพร้อมปรากฏร่างจริงต่อหน้าเขาแล้วกล่าวว่า “ข้าเอง! มานี่เร็ว!”

ร่างทั้งร่างของเขาหลบอยู่ใต้ผ้าห่ม โผล่ออกมาเพียงดวงตาประกายใสแจ๋วทั้งสองข้างนั่น

ดวงตาทั้งสี่ประสานกัน เสวียนอี่รู้สึกลำคอราวกับถูกขนนุ่มๆ อะไรยัดมา เสียงลมดังอึกทึกข้างหูก็ค่อยๆ เบาลง นางถูกดวงตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคู่นี้มองอย่างสงสัยอีกครั้ง

นางดึงผ้าห่มที่เขากำไว้แน่นนั่นออกโดยไม่สนใจอาการดิ้นรนอย่างรุนแรงของเขา พร้อมทั้งช้อนเอาร่างเล็กนั่นมาด้านหน้านาง

‘ในเมื่อองค์หญิงให้อะไรเทพฝูชางไม่ได้ ทำไมไม่ไปตัดสัมพันธ์เลวร้ายนี้ให้เขา วันหลังตระกูลจู๋อินกับตระกูลหวาซวีจะได้ไม่ถือโทษโกรธแค้นกัน สำหรับองค์หญิงแล้วนี่ก็ถือเป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง’

คำพูดของฉีหนานก่อนนางจะมาดังขึ้นข้างหู

ใช่แล้ว นางให้อะไรเขาไม่ได้ แล้วทำไมยังคิดโลภอยากจะให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนอีก นี่คือความผิดที่นางก่อขึ้นมา ฉีหนานกล่าวไม่ผิด นางเหงาและโดดเดี่ยวมาก นางแค่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น เพราะเมื่อนางทำอย่างนั้นก็จะไม่มีเรื่องอะไรมาทำร้ายนางได้

ทำไมเขาต้องชอบนางด้วย นางมีอะไรดี ขนาดนางเองยังพูดไม่ออกเลยว่าตัวเองมีอะไรดี เทพมากมายต่างไม่ชอบนาง แต่ว่าเขากลับมาชอบนาง เขาถึงได้ต้องเสียใจขนาดนั้น

ไม่ชอบนางไปตลอดไม่ดีหรืออย่างไร เป็นคู่แข่ง เป็นอริ เป็นศัตรู ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันได้นานขึ้น นานขึ้น

แต่ว่าเรื่องอย่างนั้น ต่อไปนี้อีกนานแสนนานคงไม่มีอีกแล้ว

มาเถอะ นางจะเก็บความเงียบเหงาโดดเดี่ยวที่เป็นต้นตอของสาเหตุนั่นไป แล้วตัดสัมพันธ์เลวร้ายนี้ให้ขาดเสีย

เสวียนอี่กางแขนออก แล้วกอดฝูชางตัวน้อยที่ดิ้นรนไม่หยุดไว้ในอ้อมอก เลียนแบบท่าทีของเซ่าอี๋ในตอนนั้น นางยกมือขั้นแล้วลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา แล้วกล่าวออกมาอย่างจริงจังว่า “…ขอโทษด้วย”

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นางกล่าวต่อว่า “ขอโทษด้วย”

ครั้งนี้ก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก นางขมวดคิ้วมองไป กลางหน้าผากของเด็กนี่กลับไม่มีจุดแสงปรากฏออกมา ทั้งยังไม่มีอารมณ์ปล่อยวางอะไร กลับกันใบหน้าของเขากลับยับย่นและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยน้ำตาแล้วร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง

….นี่มันปฏิกิริยาอะไรกัน นางมีหน้าตาน่าตกใจอย่างนั้นหรือ

ฝูชางตัวน้อยร้องไห้เสียงดัง จนทำให้เหล่านางในด้านนอกตกใจและวิ่งเข้ามาพร้อมทั้งอุ้มเขาขึ้นจากเตียง แล้วกล่าวปลอบเสียงนุ่ม “องค์ชายเจ็ดฝันร้ายหรือ ไม่ต้องกลัวไม่ต้องกลัว พวกเราอยู่ตรงนี้”

เขาร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจหนักหนา มือเล็กชี้ไปทั่ว บ้างก็ชี้ไปยังเสวียนอี่ที่ยืนข้างเตียง บ้างก็ชี้ไปยังเหล่าเทพผู้ตรวจการที่ยืนริมหน้าต่าง ปากก็กล่าวว่า “เงา…ผี! มีผี!”

คำพูดนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เหล่านางในสีหน้าเปลี่ยนไปเท่านั้น กระทั่งเหล่าเทพผู้ตรวจการเองก็ยังมึนงงไป หนึ่งในเทพผู้ตรวจการกล่าวว่า” ข้าก็ว่าแล้วว่าทำไมเทพฝูชางมักยื่นศีรษะออกมาแล้วมองไปนอกเรือนอยู่บ่อยครั้ง ข้าสบตากับเขาอยู่เรื่อย ที่แท้เขาก็มองเห็นพวกเราได้นี่เอง!”

เหล่านางในปลอบองค์ชายน้อยให้สงบลงได้อย่างยากลำบาก นางในอีกสองคนยกน้ำร้อนมาเช็ดหน้าและมือให้เขา พร้อมทั้งกล่าวเสียงเบามาตลอดทางว่า “องค์ชายเจ็ดเอาแต่พูดถึงเงาบ้างผีบ้างทั้งวัน คงไม่ใช่ว่ามีดวงตาเห็นวิญญาณใช่หรือไม่ ฟังแล้วน่ากลัวออก ในวังพวกเรามีผีอย่างนั้นหรือ”

ไม่มีผี แต่มีเทพกลุ่มหนึ่งกำลังทุกข์กันอยู่

เห็นฟ้ากำลังจะสว่าง องค์ชายเจ็ดเปลี่ยนชุดและทานอาหารเสร็จก็ไปฝึกเขียนอักษรและเรียนหนังสือที่ห้องหนังสือ เหล่าเทพผู้ตรวจการเฝ้าอยู่นอกตำหนักและมองหน้ากันไปมา หัวหน้าเทพผู้ตรวจการขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “บางที อาจเพราะมีอายุน้อย ข้าได้ยินว่าเด็กมนุษย์บางคนมีดวงตาบริสุทธิ์สะอาด ทำให้มองเห็นเทพและผี สิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็นได้ ฟังที่เทพฝูชางกล่าว เหมือนว่าเขาจะเห็นเพียงเงาพวกเราเท่านั้นจึงน่าจะเป็นไปได้ นับจากวันนี้เป็นต้นไปให้พวกเราลอบคุ้มกันอยู่ในที่ลับ และอย่าได้ปรากฏตัวต่อหน้าเขา ส่วนองค์หญิง…เอ่อ…”

เขาเองก็ทำอะไรองค์หญิงตระกูลจู๋อินผู้นี้ไม่ได้ คนเขามาเพื่อทำเรื่องสำคัญ และยังมีจดหมายของเทพบูรพาอีก อย่างไรก็ตาม พวกเขาคงไปกะเกณฑ์อะไรตระกูลจู๋อินไม่ได้อยู่แล้ว

หัวหน้าเทพผู้ตรวจการกระแอมไอขึ้นมาครั้งหนึ่ง เขาไตร่ตรองแล้วเอ่ยปากว่า “องค์หญิง เทพฝูชางเพิ่งมีอายุได้ห้าปี เด็กมนุษย์กับเผ่าเทพนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาจำเรื่องราวไม่ได้และไม่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ สำหรับการตัดสัมพันธ์ เกรงว่าตอนนี้คงยังทำไม่ได้…”

เขากล่าวไปก็มองนางไปด้วย ใครจะรู้ว่า องค์หญิงคนนี้กลับราวกับไม่ได้ยิน นางนั่งตรงขอบหน้าต่าง ดวงตาทั้งสองก็มองจ้องไปที่องค์ชายเจ็ดที่กำลังหยิบพู่กันเขียนอักษรเขม็ง

คิดว่าน่าจะเพราะ ‘ผี’ นอกหน้าต่างจ้องมาที่เขา ดวงตาขององค์ชายเจ็ดจึงแดงก่ำ เขาเบะปากทำท่าทางราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมา

น่าเกลียดเกินไปแล้ว เอาแต่ร้องไห้ตลอด ขี้ขลาด

เสวียนอี่ยิ้มแล้วเป่าลมเข้าไปในห้องหนังสือเบาๆ ลมเย็นเยียบทำให้กระดาษปลิวว่อนไปทั่ว และยังพัดจนทำให้เสื้อผ้าหน้าผมขององค์ชายเจ็ดยุ่งเหยิงไปหมด เขาตกใจจนถอยไปด้านหลัง แต่กลับยังทำใจกล้าและอดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา

“องค์หญิง…” หัวหน้าเทพผู้ตรวจการรู้สึกจนใจกับการกระทำซุกซนของนาง

เวลาในโลกเบื้องล่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว ก็หมดเวลาฝึกคัดอักษรขององค์ชายเจ็ดแล้ว เขาขึ้นไปบนรถกลับไปยังตำหนักของตนเอง เสวียนอี่ตามไปอย่างอดไม่อยู่ นางมองตามหลังเขาก็เห็นหัวเล็กๆ ของเขายื่นออกมานอกรถอย่างระวังหลายต่อหลายครั้ง พอเห็นนางก็มีสีหน้าขาวซีดพร้อมรีบหดหัวกลับเข้าไปใหม่ เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้ง เขาก็ไม่กล้ายื่นหัวออกมามองอีก

กระทั่งถึงตำหนัก เขาลงมาจากรถด้วยท่าทีหวาดกลัว พอมองกลับมาเห็นนางยังอยู่ ก็ตกใจจนโถมเข้าไปในอกของแม่นมแล้วร้องไห้เบาๆ

เสวียนอี่ลอยไปตรงหน้าเขาช้าๆ พร้อมย่อตัวลงเอียงคอมองเขาอย่างพิจารณา เหมือนกันจริงๆ แต่ว่าขี้แยเกินไป

เห็นเขากลัวมาก นางก็ลุกขึ้นแล้วลอยเข้าไปในตำหนัก กวาดตามองไปทั่วอย่างพิจารณา พอเห็นเบาะที่นั่งไม่ใหม่ไม่เก่าหลายอันที่พื้น รวมถึงโต๊ะไม้หลีที่มีของมากมายกองอยู่บนนั้น เสียงลมข้างหูของนางก็หยุดลง

ห้องส่วนตัวจัดเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน เป็นเขา เจ้าปีศาจน้อยขี้แยคนนี้คือเขาจริงๆ

เสวียนอี่เดินเข้าไปแล้วนั่งลงบนเบาะนั่ง

รอบด้านเงียบสนิท ในที่สุดนางก็ไม่ต้องได้ยินเสียงลมพวกนั้นอีกแล้ว

นางนอนลงช้าๆ แล้วใช้มือจับไปบนสร้อยไข่มุกบนโต๊ะเส้นหนึ่ง นางใช้ปลายนิ้วลูบไล้ช้าๆ นางและความเงียบเหงาที่มากมายนั่นของนางสงบลง นานแล้วที่นางไม่ได้สงบอย่างนี้

เหล่าเทพผู้ตรวจการแอบเข้ามาลอบสังเกตการณ์ถึงได้พบว่า องค์หญิงตระกูลจู๋อินกลับนอนหลับอยู่บนเบาะนั่ง นางหลับสนิทมาก เหล่านางในเดินไปมาทั้งยังหัวเราะเสียงดังกลับยังปลุกนางไม่ตื่น องค์ชายเจ็ดเข้ามาในห้องเห็นเงาดำนอนอยู่บนพื้นก็ร้องไห้โฮเสียงดัง แต่ก็ยังปลุกนางไม่ตื่น

ตอนที่เสวียนอี่ตื่นขึ้นมา ก็ประสานสายตาเข้ากับดวงตาสีดำขององค์ชายเจ็ดที่แอบมองนางอยู่ นางพลิกตัวขึ้นนั่ง ทำให้เขาตกใจจนทั้งกลิ้งทั้งปีนป่ายและพุ่งขึ้นไปบนเตียงพร้อมทั้งมุดเข้าไปในผ้าห่มไม่ยอมออกมา

นางหลุดหัวเราะคิกออกมาแล้วเอ่ยปากเสียงเนิบนาบว่า “ขี้ขลาด”

อารมณ์นางแจ่มใส นางไม่ได้นอนหลับสนิทอย่างนี้มานานมากแล้ว เสวียนอี่ลอยออกไปนอกหน้าต่างวงเดือน นางหยิบเอาจดหมายของเทพบูรพาออกมาอ่านใหม่ทุกตัวอักษร และแล้วก็เห็นว่า เขากล่าวไว้ว่าหลังสิบสี่เดือนไปแล้วค่อยลงมาตัดสัมพันธ์ให้ฝูชาง นางยังไม่ทันอ่านให้ละเอียดก็บุ่มบ่ามลงมาก่อนแล้ว

นางหมุนตัวจากไป เหล่าเทพผู้ตรวจการที่อยู่ในที่ลับต่างก็รีบเรียกนางไว้ “ในเมื่อองค์หญิงมาที่นี่เพื่อตัดสัมพันธ์ ทำไมไม่อยู่ที่นี่ก่อน รอให้เทพฝูชางโตพอที่จะรู้เรื่องแล้ว จะได้หาโอกาสที่เหมาะสมตัดสัมพันธ์ก่อนหน้านี้เสีย”

เสวียนอี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ข้ากลับล่ะ”

ในเมื่อเป็นความสัมพันธ์อันเลวร้าย ยิ่งตัดเร็วได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไว้รอครั้งหน้าลงมาอีกครั้งก็ตัดสัมพันธ์เลวร้ายนี้และคืนความสุขุมเยือกเย็นกลับไปให้เขา

นางจะไม่อยู่ และไม่มีทางไปหาคนอื่นให้มาอยู่ด้วย นางใจดำกับทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ คราวนี้ถึงเวลาที่นางจะต้องใจดำกับตัวเองบ้างแล้ว