บทที่ 87 ฝูชางจับผี (ตอนต้น)

บุหลันเคียงรัก

ทะเลหลีเฮิ่นทลายลงมาจากแดนเทพได้เกือบสองปีแล้ว ผลกระทบจากภัยครั้งนั้นค่อยๆ สงบลง เทพทั้งหลายต่างก็กลับมานั่งจิบชารับฟังข่าวสารเล็กๆ น้อยๆ และใช้ชีวิตเหมือนเก่าอีกครั้ง

ได้ยินว่ามหาเทพจูเซวียนออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง ครั้งนี้เขาเลือกตำแหน่งที่ถูกหลักฮวงจุ้ยใหม่อยู่ใกล้ริมศิลาสามภพแห่งหนึ่ง และสร้างจวนจูเซวียนอวี้หยางขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังจัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โตพร้อมเลี้ยงฉลองยาวนานถึงห้าวันและเชิญแขกมากมายมาร่วมงาน

ได้ยินว่าบุตรชายคนเดียวของเทพบูรพาลงไปโลกเบื้องล่างเพื่อตัดสัมพันธ์ แต่เรื่องนี้มีผู้รู้น้อยมาก ผู้ที่รู้เรื่องมีเพียงสหายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหวาซวีเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องนี้ถูกผู้คนพูดกันไปมาจนสุดท้ายก็คิดกันว่าเป็นเพียงข่าวลือ และเลิกสนใจไป

ทั้งยังได้ยินอีกว่าองค์หญิงน้อยของจักรพรรดิแดงคนนั้นที่ลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่างกลับมาแล้ว เพราะตัดสัมพันธ์ได้เร็ว ด้ายที่ผูกสัมพันธ์จึงสลายไป ร่างที่โลกมนุษย์ไม่นานก็ป่วยหนักและหมดลม นางจึงกลับมาเป็นเทพต่ออย่างสบาย

ครั้งนี้ นับว่าองค์หญิงเหยียนสยาถือว่าโชคดีในโชคร้าย นางกลับมาที่แดนเทพ จิตวิญญาณของนางก้าวหน้าไปมาก และเพราะได้ไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ ทำให้นางมีนิสัยสุขุมกว่าแต่ก่อนมาก จักรพรรดิแดงรู้สึกยินดีจึงคิดให้นางกลับมาเรียนที่ตำหนักหมิงซิ่งต่อ พอได้ยินว่าเซ่าอี๋ของตระกูลชิงหยางลาออกไปแล้ว คืนวันนั้นจักรพรรดิแดงก็เขียนจดหมายถึงมหาเทพไป๋เจ๋อทันทีเพื่อขอให้เหยียนสยากลับมาเรียนใหม่

มหาเทพไป๋เจ๋อตอบรับเงียบๆ

เหยียนสยายังไม่กลับมา ศิษย์ของตำหนักหมิงซิ่งก็เริ่มตื่นเต้นกันแล้ว ต้องรู้ว่าเดิมอาจารย์รับศิษย์หญิงน้อยมาก เมื่อไม่มีฟูหลัวกับเหยียนสยา ในตำหนักก็เหลือเพียงแค่จื่อซีกับเสวียนอี่เท่านั้น จื่อซีมีนิสัยจริงจังและชอบสั่งสอนจนทำให้เหล่าเทพทั้งหลายต่างพากันหลีกเลี่ยง ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเสวียนอี่ เพราะเกรงว่าต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์เองก็คงยังจัดการนางไม่ได้ หนึ่งปีมานี้นางยังเอาแต่ลาเรียนตลอด ศิษย์ทั้งหลายต่างพากันรู้สึกห่อเหี่ยวใจและจนใจนัก

ยังดีว่าเหยียนสยากลับมา นางราวกับเป็นผู้ช่วยชีวิตของตำหนักหมิงซิ่ง นางที่ทั้งบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและร่าเริงยิ้มเก่ง ทุกวันนี้ยังต้องเพิ่มข้อดีอย่าง ‘รักเดียว’ เข้าไปด้วยอีกข้อ มีนางอยู่ ต่อให้ต้องฟังอาจารย์บรรยายไปอีกหนึ่งแสนปีก็ยังไม่เป็นอะไร

วันนี้อาจารย์สอนเสร็จ เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็พูดคุยเรื่องที่เหยียนสยากลับมาจากไปตัดสัมพันธ์ที่ตำหนักเหอเต๋อกันอย่างคึกคัก ตอนนี้นางตัดสัมพันธ์เรียบร้อยแล้ว ส่วนเซ่าอี๋เองก็ลาออกไปแล้ว เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างก็คิดว่าตัวเองมีโอกาสขึ้นมา กู่ถิงเองทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “เหยียนสยาก็ดี ฝูชางก็ดี หากว่าคนที่เหยียนสยาชอบคือฝูชาง คงไม่เกิดเรื่องมากมายอย่างนี้แล้ว และไม่ต้องพากันลงไปโลกเบื้องล่างอย่างนั้น”

ไท่เหยายิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าจับคู่มั่วซั่วอะไร เกรงว่าจากนิสัยของศิษย์น้องเหยียนสยากับศิษย์น้องฝูชางคงจะพูดคุยกันไม่ได้ด้วยซ้ำ”

กู่ถิงมีโทสะขึ้นมาบ้าง “แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าปีศาจเสวียนอี่นั่นมาก!”

เพราะวิญญาณฝูชางได้รับความเสียหาย เขาจึงโมโหเสวียนอี่ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ตระกูลจู๋อินไม่มีดีเลยจริงๆ แต่ละคนดีแต่ชอบเหยียบย่ำคนอื่น

ไท่เหยาไม่ชอบพูดเรื่องไม่ดีลับหลังคนอื่น จึงรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องหญิงเหยียนสยากลับมาครั้งนี้ น่าจะไม่คิดถึงเรื่องเก่าก่อนนั้นอีกแล้ว”

กู่ถิงกล่าวเสียงเกรี้ยว “ไม่รู้แต่ละคนคิดอะไรกันอยู่ ทำไมถึงได้ไปชอบคนไม่ดีพวกนั้นเสียได้!”

ตัวเจ้าเองก็ยังไม่ลืมฟูหลัว…ไท่เหยาไม่พูดกับเขาต่อ เห็นจื่อซีนิ่งงันอยู่อีกด้านก็กล่าวว่า “หลายวันนี้จื่อซีเป็นอะไรไป ชอบเหม่ออยู่ตลอด”

จื่อซีรีบยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่กำลังคิดว่า…แค่ก ข้ากำลังคิดว่าเหยียนสยาน่าจะไม่…คิดถึงศิษย์น้องเซ่าอี๋แล้ว”

ตัดสัมพันธ์ที่ว่าก็คือการอาศัยวันเวลาขบคิดไตร่ตรองมาตัดเรื่องราวทั้งหมด ทำให้จิตใจกลับมาบริสุทธิ์สะอาดดังเดิม เหยียนสยาคงไม่คิดถึงเซ่าอี๋อีกแล้วสินะ แต่ว่านางก็ไม่กล้าพูดตัดสินลงไป นี่ช่างไม่เข้ากับนิสัยเด็ดขาดของนางเลย ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซ่าอี๋มักจะทำให้นางสับสนเสมอ หากว่าเหยียนสยายังคิดถึงเซ่าอี๋อยู่ แล้ว…แล้วจะทำอย่างไรดี

ไท่เหยาตอบรับโดยไม่ได้คิดว่า “ถึงอย่างไรศิษย์น้องเซ่าอี๋ก็ลาออกไปแล้ว นางยังคิดถึงอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถือว่าตัดได้ดี”

ใช่แล้ว เซ่าอี๋ลาออกไปได้หนึ่งปีกว่าแล้ว และยังไม่มีข่าวคราวอะไร ไม่รู้ว่าเขาไปกราบใครเป็นอาจารย์คนใหม่ แต่ก่อนร่วมฟังบรรยายกับเขามานับพันปียังไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้เพิ่งจะห่างกันได้แค่หนึ่งปีกว่า นางกลับรู้สึกคิดถึงเขาจับใจ และยังยากจะลืมเลือนได้

ที่เมื่อครู่นี้กู่ถิงพูดว่าชอบคนไม่ดีออกมา นางรู้สึกราวกับมีอะไรแทงมาที่ร่างนางจนเจ็บไปหมด และพลันรู้สึกเข้าใจความรู้สึกหมดหวังของศิษย์น้องฝูชางขึ้นมาได้ บางครั้งทั้งๆ ที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ดี แต่กลับไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ นี่ต่างหากคือจุดที่ร้ายแรงที่สุด

จื่อซีถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่อยู่แล้วลุกขึ้นเดินไปด้านนอก “ศิษย์พี่ไท่เหยา ศิษย์น้องกู่ถิง ข้าขอตัวก่อน”

กูถิงกล่าวอย่างแปลกใจ “ศิษย์พี่หญิงจะไปฝึกฝีมือที่สนามฝึกยุทธ์อีกแล้วหรือ”

หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา จื่อซีไปฝึกฝีมือที่สนามฝึกยุทธ์ตำหนักหมื่นเทพทุกวันราวกับผีเข้า แต่ละวันต้องฝึกจนถึงดึกดื่นค่อนคืน หรือว่าที่นางทำอย่างนี้ก็เพราะจะต่อต้านอาจารย์ที่ไม่ยอมถ่ายทอดวิชาเวทให้เหมือนกัน

จื่อซีพยักหน้า แล้วออกไปจากตำหนักเหอเต๋อ

นางไม่ไปฝ่ายอาญาแล้ว นางจะเป็นนักรบ ทำอย่างนี้หากนางอายุได้ห้าหมื่นปีนางก็จะได้เจอกับเซ่าอี๋อีก แต่พบแล้วจะเป็นเช่นไรนางไม่รู้ แต่ว่านางก็ยังคงทำอย่างนี้ บางทีอาจเพราะมีแต่เหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นที่สนามฝึกยุทธ์เท่านั้น นางถึงจะรู้สึกว่าเวลาที่ยาวนานและว่างเปล่านั้นมีค่า

ไท่เหยามองเงาหลังของนางแล้วกล่าวอย่างแปลกใจว่า “หรือว่าเป็นเพราะศิษย์น้องเสวียนอี่ไม่อยู่ หลายวันนี้ศิษย์น้องจื่อซีราวกับมีเรื่องราวมากมายในใจ”

พอกู่ถิงได้ยินชื่อเสวียนอี่ก็พลันโมโหขึ้นมา “นางไม่มาดีที่สุด! ให้นางไปเที่ยวก่อเรื่องของนางต่อเถอะ!”

เสวียนอี่ที่กู่ถิงพูดถึงและบอกให้นางไปหาเรื่องก่อกวนจามออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางลูบจมูกแล้วหรี่ตามองไปยังพระราชวังใต้ฝ่าเท้า

สิบสี่เดือน เวลานัดของนางมาถึงแล้ว ตอนนี้ฝูชางน่าจะอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว ควรจะจดจำเรื่องราวและเข้าใจอะไรได้แล้วสินะ นางไม่ค่อยเข้าใจอายุขัยของมนุษย์เท่าไหร่นัก หวังว่าครั้งที่แล้วจะไม่ทำให้เขาเกิดปมอะไรในใจ หากว่าเห็นนางเข้า เขายังทั้งกลิ้งทั้งปีนทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนออกมาอีก นางก็ไม่มีวิธีแล้ว

เสวียนอี่กลายเป็นพายุสายหนึ่งเข้าไปในพระราชวัง วนอยู่รอบหนึ่งกลับไม่เห็นปราณวิญญาณที่เต็มล้น เหล่าเทพผู้ตรวจการก็ไม่อยู่ วังองค์ชายเจ็ดใส่กลอนเอาไว้ ภายในตำหนักเต็มไปด้วยฝุ่น

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

นางก้าวไปบนทะเลเมฆอย่างสงสัย ตรวจสอบเมืองนี้ดูแล้ว เห็นทางทิศตะวันออกมีไอบริสุทธิ์มากกว่า ราวกับเป็นมังกรตัวใหญ่ที่ขดอยู่ในเมฆ นางรีบพุ่งไปอย่างรวดเร็ว เพิ่งเข้าใกล้นางก็รู้สึกได้ว่ามีกลิ่นควันธูปลอยมาตามสายลม พอลงมาที่พื้น นางถึงได้เห็นว่านี่คือศาลเทพบูรพาที่อบอวลไปด้วยควันธูป

ไอบริสุทธิ์แผ่มาจากต้นท้อโบราณต้นหนึ่งในสวนดอกไม้ เสวียนอี่ลอยเข้าไปใกล้แล้วเงยหน้ามอง

…ทำไมนางรู้สึกว่าทิวทัศน์ที่นี่ช่างดูคุ้นตา สองครั้งที่นางลงมาโลกเบื้องล่างนางเคยมาที่นี่

นางกำลังพยายามขบคิด ด้านหลังพลันได้ยินเสียงของหัวหน้าเทพผู้ตรวจการกล่าว “องค์หญิงมาแล้วหรือ”

เสวียนอี่หมุนตัวกลับไปก็เห็นเหล่าเทพผู้ตรวจการทั้งหมดอยู่กันครบหมด นางจึงกล่าวอย่างแปลกใจไปว่า “ทำไมไม่อยู่ที่พระราชวังกันแล้ว”

หัวหน้าผู้ตรวจการยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้พูดไปแล้วเรื่องมันยาว องค์หญิงเองก็รู้ว่า ตอนนี้เทพฝูชางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่เขากลับสามารถมองเห็นเทพและปีศาจได้ เขาอายุยังน้อยจึงปิดบังไม่เป็น ไม่นานเรื่องนี้ก็แพร่ออกไป ห้าปีก่อนมีราชครูจูเสียผู้หนึ่งกล่าวว่าเทพฝูชางมีดวงชะตาประหลาด หากอยู่ในพระราชวังอาจมีอายุไม่ยืนยาว เทพฝูชางจึงถูกส่งออกมาพำนักที่ศาลเทพบูรพานี้ ช่างบังเอิญว่าที่นี่คือศาลเทพบูรพา และกลางศาลมีต้นท้อโบราณต้นหนึ่ง และต้นท้อโบราณนี้ก็คือเซียนพิภพที่แท้จริง และยังสามารถแปลงร่างเป็นเซียนได้ เขาครอบครองดูแลสถานที่แห่งนี้เอาไว้ ทำให้หลายปีนี้ไม่มีเผ่าปีศาจที่ไหนมารบกวน”

เสวียนอี่ฟังจนมึน กระนั้นก็คร้านจะถามรายละเอียด กล่าวว่า “เทพฝูชางอยู่ที่ไหน”

“เชิญองค์หญิงตามข้ามา ระวังหน่อย ตอนนี้เทพฝูชางมีประสาทสัมผัสทั้งห้าไวมาก”

เดินอ้อมบ้านหลังเล็กเหล่านั้นไป ด้านหลังสุดมีจวนสะอาดอยู่หนึ่งหลัง ไอบริสุทธิ์ในนั้นวนเวียนไปมา ภายในหน้าต่างมีเปลวไฟวูบไหว เงาคนทอดมาที่หน้าต่างก็เคลื่อนตามไป

“คือที่นี่” หัวหน้าเทพผู้ตรวจการกล่าวเสียงเบา “องค์หญิงระวังด้วย”

ให้นางระวังอะไร เสวียนอี่ถูกการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกเบื้องล่างทำให้มึนงง แล้วกลายเป็นลมบริสุทธิ์ลอยผ่านหน้าต่างเข้าไป

ใต้เปลวไฟสลัว ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวเข้มคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเบาะนั่งไม่ใหม่ไม่เก่าริมหน้าต่าง ผมยาวปล่อยลงมาถึงอก เทพฝูชางที่รำกระบี่คล่องแคล่วงดงาม รูปโฉมสง่างามหล่อเหลาอยู่ตรงนี้เอง

เสวียนอี่รู้สึกราวกับในลำคอมีอะไรจุกอยู่ นางก้มหน้าแล้วกำชายแขนเสื้อไว้แน่น จากนั้นพลันปล่อยแขนเสื้อออก นางเตรียมใช้พลังเทพเพื่อปรากฏร่างเทพออกมา ชายหนุ่มตรงข้ามพลันวางหนังสือลง ดวงตาดำสนิทของเขาจับจ้องมาที่นางทันที