บทที่ 387 บิชอปโจลีฟ

บทที่ 387 บิชอปโจลีฟ

จากการสังเกต เห็นได้ชัดเลยว่าหุบเขาอาทิตย์ตกนี้ถือเป็นแผนที่ระดับสูง เพราะแม้แต่มอนสเตอร์ที่อยู่ด้านนอกยังมีเลเวลสูงถึง 30 เลย แล้วยิ่งเดินเข้าไปด้านใน เลเวลของมอนสเตอร์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมันจะเพิ่มขึ้นทีละ 5 เลเวลอีกด้วย!

ตอนนี้มอนสเตอร์ที่พบเจอนั้นเป็นยูนิคอร์นศักดิ์สิทธิ์ยักษ์เลเวล 50 แล้ว หลังจากที่เดินเข้ามาภายในได้สิบนาที เหล่ามอนสเตอร์ภายในหุบเขาอาทิตย์ตกนี้มีธาตุเป็นธาตุแสงกันหมด ส่วนคำโปรยได้อธิบายไว้ว่า พวกมันเหล่านี้กลายพันธุ์เพราะได้รับแสงศักดิ์สิทธิ์ในปริมาณที่มาก ซึ่งเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์นี่เองที่ทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น

ในเมื่อเซียวเฟิงไม่มีชุดมังกร เขาจึงสูญเสียเลเวลโบนัสที่ชุดนั้นให้ไป และมันทำให้ทักษะตรวจสอบของเขาเป็นเพียงระดับสูงที่สามารถตรวจสอบมอนสเตอร์ได้ถึงเลเวล 50 เท่านั้น ดังนั้นยิ่งลึกเข้าไปในหุบเขา มอนสเตอร์ก็ไม่สามารถถูกตรวจสอบได้เลย

อีกสิ่งหนึ่งที่น่ากล่าวถึงมาก ๆ นั่นก็คือ ชื่อของเหล่ายูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ยักษ์ทุกตัวที่อยู่ในนี้ ต่างก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเหลืองในทันทีเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นไปได้ว่ามาจากพลังแห่งแสงที่อยู่ในตัวเซียวเฟิง หรือพลังของแม่ชีรูธก็เป็นได้

หากเป็นไปตามข้อสันนิษฐานแรก นั่นก็คือธาตุของเซียวเฟิงมีความละม้ายคล้ายคลึงกับแสงสว่าง แม้จะไม่ใช่ธาตุแสงโดยตรงแต่ก็ใกล้เคียง แถมธาตุศักดิ์สิทธิ์ของเซียวเฟิงยังอยู่เหนือธาตุแสงอีกขั้นหนึ่งด้วย อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ ยูนิคอร์นแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ยักษ์จึงไม่กล้าโจมตีเขา

แต่ถ้าเป็นไปตามข้อสันนิษฐานข้อที่สอง เซียวเฟิงได้แต่ขอบคุณตนเองที่เดินทางไปยังเมืองเซียนรี่และพบเจอกับผู้นำทางอย่างแม่ชีรูธ ไม่งั้นแล้วหากเขามายังหุบเขาอาทิตย์ตกด้วยตนเองตามคำของหลีเซียนหยุน การเข้ามาได้ลึกขนาดนี้อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับเซียวเฟิงเลยก็ได้

ยังไงเสียมอนสเตอร์เหล่านี้ก็เลเวลสูงทะลุ 50 กันแน่ ๆ เขาไม่มีชุดสูทใด ๆ ติดตัวมาทั้งนั้น ดังนั้นต่อให้ชายหนุ่มจะแข็งแกร่งขนาดไหน เขาก็ไม่สามารถปราบมอนสเตอร์เหล่านี้ได้ด้วยมือเปล่า อีกทั้งสกิลโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเขาอย่างถ้อยคำแห่งเงาก็ยังได้ผลดีกับแค่บอสเท่านั้นอีก หากนำมันมาสู้กับมอนสเตอร์เหล่านี้มันก็แทบจะไร้ประโยชน์ไปเลย

“ท่านอาร์คบิชอป พวกเรามาถึงกันแล้วค่ะ”

หลังจากที่เดินลึกเข้ามาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แม่ชีรูธก็พาเซียวเฟิงมาหยุดอยู่ตรงส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาอาทิตย์ตก ซึ่งที่นี่ก็เป็นปลายทางของหุบเขาแห่งนี้ด้วย รอยแยกระหว่างยอดเขาจบลงตรงนี้ ส่วนทางข้างหน้านี้ก็เป็นทางตัน

ตรงหน้าของพวกเขา เป็นประตูวิหารขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ มันถูกเจาะเข้าไปกับผิวภูเขา

“ทำไมถึงมีเทวทูตมาอยู่ในที่แบบนี้ได้?”

ทว่าเซียวเฟิงกลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่านี่เป็นประตูวิหาร ในตอนแรก เขามัวแต่มองมอนสเตอร์สองฝั่งทางจนกระทั่งมาถึงที่นี่เลย

ใช่แล้ว จากการที่เห็นกลุ่มมอนสเตอร์มากมายหลายกลุ่มกระจายตัวอยู่โดยรอบหุบเขาอาทิตย์ตกนั้น แสดงให้เห็นว่าที่นี่เองก็เป็นพื้นที่ของมอนสเตอร์และน่าจะเป็นที่เกิดใหม่ของพวกมันด้วย

อย่างไรก็ตาม เพราะเผ่าพันธุ์ของมอนสเตอร์ที่ปรากฏให้เห็นตรงนี้ มันทำเอาเซียวเฟิงรู้สึกประหลาดใจระดับหนึ่งเลยเหมือนกัน

พวกมันเป็นเทวทูตสองปีกที่กำลังบินอยู่กลางอากาศ!

เทวทูตสองปีกจำนวนหนึ่งกำลังบินอยู่เหนือประตูวิหารราวกับเป็นอัศวินรักษาการณ์ที่คอยดูแลวิหารเอาไว้

ชื่อของ ‘เทวทูต’ เหล่านี้มีสีเขียวเด่นชัดเจน นั่นหมายถึง…พวกมันเป็นมิตรกับเขา! ชื่อของเทวทูตที่บินอยู่นี้คือ ‘อสูรอารักขเทวดา’ จากการคาดเดา เลเวลของมันจะต้องสูงมาก ๆ แน่ ๆ เนื่องจากเซียวเฟิงไม่สามารถตรวจสอบสถานะของพวกมันได้ แต่หากยึดเอาตามกฎที่ใช้ในพื้นที่บริเวณนี้แทน หากยิ่งเดินเข้ามาลึกในหุบเขาเรื่อย ๆ เลเวลของมอนสเตอร์จะสูงทีละ 5 เลเวล ดังนั้นอสูรอารักขเทวดาเหล่านี้ก็น่าจะเลเวล 90 กันแล้ว! และถ้ามันเป็นความจริง เหล่าอสูรอารักขเทวดาพวกนี้ ก็ถือเป็นมอนสเตอร์ที่เลเวลสูงที่สุดเท่าที่เซียวเฟิงเคยเจอเลยตั้งแต่เข้าเกมมา!

“พวกเขาไม่ใช่เทวทูตจริง ๆ หรอกค่ะ เป็นเพียงสัตว์ร้ายที่ปราศจากความเฉลียว อย่างไรก็ตาม ภายใต้อิทธิพลของพลังแห่งทวยเทพที่หลงเหลือ ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปจนเหมือนเทวทูตแล้ว แต่พลังของพวกเขาเองก็แข็งแกร่งประดุจเทวทูตจริง ๆ เลยด้วย ท่านบิชอปได้ขอให้พวกเขาเหล่านี้มาคอยอารักขาหน้าทางเข้าวิหารให้ดั่งยาม นอกจากผู้ศรัทธาในแสงสว่างแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นจากการโจมตีของพวกเขาไปได้”

แม่ชีรูธอธิบาย

เซียวเฟิงพยักหน้าเข้าใจในทันที มันควรจะเป็นแบบนั้นถูกแล้ว เพราะถ้าหากเจ้าพวกนี้เป็นเทวทูตจริง ๆ เซียวเฟิงได้ไม่ไว้วางใจพวกมันแน่ ๆ นั่นเพราะครั้งหนึ่งเขาก็เคยโดนเทวทูตสั่งสอนบทเรียนมา โชคยังดีที่ตอนนั้นเสี่ยวไป๋อยู่ด้วย

เมื่อครั้งที่เสี่ยวไป๋ยังมีแค่สองปีก เธอเป็นสัตว์เลี้ยงระดับทอง แล้วถ้าสามารถใช้การแบ่งประเภทเทวทูตกับอสูรอารักขเทวดาได้ แสดงว่า กลุ่มของเทวทูตที่บินไปมาพวกนี้ คือบอสระดับทองที่มีเลเวลสูงมาก มันน่ากลัวพอ ๆ กับบอสระดับเทพเจ้าตัวหนึ่งเลย เผลอ ๆ อาจจะน่ากลัวกว่าด้วย

แต่ถึงมอนสเตอร์เหล่านี้จะไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งเฉกเช่นเทวทูตก็จริง แต่ภายในชื่อของพวกมันก็ยังมีคำว่าเทวทูตอยู่ ดังนั้นพลังของมันต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ อยู่แล้ว มิเช่นนั้นคนพวกนี้คงไม่ใช่พวกมันเหมือนพาลาดินคอยอารักขาที่แห่งนี้หรอก

“บิชอปที่เธอพูดถึงเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดที่อยู่ภายในวิหารแห่งนี้งั้นเหรอ?” เซียวเฟิงหันไปถาม

“ใช่แล้วค่ะ ท่านบิชอปโจลีฟทำหน้าที่ดูแลวิหารแห่งนี้มากว่าพันปีแล้ว และท่านบิชอปโจลีฟเองก็เป็นฝ่ายอยากจะพบท่านด้วยหลังจากที่ข้าได้รายงานเรื่องของท่านไป ท่านอาร์คบิชอปคะ ท่านบิชอปโจลีฟ เตรียมตัวอย่างดีเพื่อต้อนรับการมาของท่านเลยนะคะ!”

แม่ชีรูธพยักหน้าอีกครั้งแล้วพูดเสริม จากนั้นเธอก็หันไปมองยังประตูวิหาร

ซึ่งในตอนนั้นเอง ประตูบานใหญ่ก็ค่อย ๆ เปิดออกมาพร้อมเสียงที่แสดงให้รู้ว่ามันอายุเยอะขนาดไหน แต่ก่อนที่ประตูจะได้เปิดเต็มบาน รูปร่างที่ดูคุ้นตาภายใต้ชุดคลุมสีแดงก็รีบวิ่งออกมาทันที ชุดของเขานั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยเสียทีเดียว แล้วยิ่งการที่เขารีบวิ่งออกมา ก็ยิ่งทำให้ชุดคลุมที่สวมมันดูยุ่งเหยิงมากกว่าเดิมอีกนิดหน่อย

“ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า! หนึ่งพันสองร้อยปีที่ข้ารอคอย! ในที่สุด ข้า โจลีฟ ก็ได้พบกับผู้นำทางแห่งพระเจ้าแล้ว!”

ผู้ที่วิ่งออกมานี้เป็นชายชราที่ร่างกายผอมแห้งและมีเคราแพะ เขามองไปยังเซียวเฟิงด้วยดวงตาที่มีน้ำตาไหลพราก ก่อนจะรีบโค้งหัวและทำความเคารพเซียวเฟิงอย่างหนักแน่น

“ข้าคือบิชอปผู้ที่รับหน้าที่ดูแลวิหารแห่งแสงในจักรวรรดิฮันกึล…โจลีฟ ข้ายินดีที่ได้พบเจอท่านจริง ๆ ท่านอาร์คบิชอป!”

“ลุกขึ้นเถอะ บิชอปโจลีฟ” เซียวเฟิงรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดเลยว่าบิชอปผู้นี้จะอายุเยอะขนาดนี้ ร่างกายของเขามันเดินไปเพื่อช่วยประคองอีกฝ่ายขึ้นมาก่อนอย่างรวดเร็ว ตามด้วยแม่ชีรูธที่เข้ามาช่วยทีหลัง

ขณะนั้นเอง เซียวเฟิงก็แอบใช้ทักษะตรวจสอบระดับสูงตรวจดูบิชอปโจลีฟด้วย ทว่าสิ่งที่ได้กลับมามีเพียง ‘???’ เท่านั้น

แสดงว่าบิชอปผู้นี้ มีพลังในการต่อสู้ในระดับที่สูงเกินกว่าเขาจะตรวจสอบได้ แต่นั่นก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ เพราะขนาดแม่ชีรูธยังเป็นบอสเทพเจ้าเลเวล 50 เลย ยังไงเสียบิชอปโจลีฟก็ต้องเลเวลสูงกว่าเธอเป็นเรื่องธรรมดา

สิ่งนี้มันแอบทำให้เซียวเฟิงครุ่นคิดอยู่ภายในใจ…ทำไมบิชอปเหมือนกันแท้ ๆ แต่ความแข็งแกร่งช่างต่างกันเหลือเกิน ยกตัวอย่างเช่น บิชอปเรนัลด์ ไม่สิ ต้องเรียกว่า อาร์คบิชอปเรนัลด์สินะ เขาคนนั้นที่อยู่ในเมืองแห่งความโศกเศร้า มีเลเวลเทียบเท่ากับแม่ชีรูธที่เป็นบอสเทพเจ้าเลเวล 50 เท่านั้นเอง ขนาดได้รับเลื่อนขั้นเป็นอาร์คบิชอปแล้วก็ยังไม่สามารถเทียบเท่ากับบิชอปโจลีฟได้เลย

“ท่านอาร์คบิชอป ท่านรู้หรือไม่ว่าข้า…โจลีฟ รอวันนี้มานานขนาดไหน? 1,200 ปีเลยนะ! ตั้งแต่ที่เทพผู้สร้างใช้เวทมนตร์แบ่งจักรวรรดิฮันกึลออกจากแผ่นดินอื่น วิหารแห่งแสงภายในแผ่นดินนี้ก็ขาดการติดต่อกับนครศักดิ์สิทธิ์มากว่า 1,200 ปีเต็ม! หากไม่ใช่เพราะที่แห่งนี้ยังมีพลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่คอยมอบพลังให้เราเล็ก ๆ น้อย ๆ ละก็ บางทีพวกข้าเองก็คงไม่สามารถรอได้เช่นกัน! แต่ในที่สุด! วันสุดท้ายแห่งการรอคอยก็มาถึง! ท่านอาร์คบิชอปมาแล้ว! แสงสว่างได้ส่องมาเห็นพวกเราอีกครั้ง! ขอบคุณพระเจ้าจริง ๆ!”

โจลีฟแสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างหยุดยั้งไม่ได้ ร่างกายที่ผอมแห้งของเขาสั่นเทาไปหมด

เซียวเฟิงเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าชุดที่โจลีฟใส่อยู่นั้นเริ่มมีอาการชำรุดในหลาย ๆ ส่วนแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ศรัทธาที่คลั่งไคล้เอาเสียมาก ๆ เลยจริง ๆ และมันทำให้เซียวเฟิงฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง สิ่งนั้นมันทำให้แผนที่เพิ่งเตรียมไว้ของเซียวเฟิงต้องเปลี่ยนไปทันที

สิ่งที่ว่านั้นก็คือข่าวร้ายมาก ๆ ที่หลุดออกมาจากปากของบิชอปโจลีฟเอง อย่างการที่วิหารแห่งแสงที่นี่ถูกตัดขาดจากนครศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความว่า เซียวเฟิงไม่สามารถใช้ที่นี่เป็นทางผ่านไปยังนครศักดิ์สิทธิ์แล้วใช้จุดเทเลพอร์ตจากนครศักดิ์สิทธิ์พาตนเองกลับไปยังเขตฮัวเซียได้ด้วย ดังนั้นจึงกล้าพูดได้เลยว่าแผนของชายหนุ่มพังไปหมดแล้ว

เมื่อทุกอย่างไม่เป็นดังหวัง เซียวเฟิงจำเป็นต้องคิดไตร่ตรองใหม่ให้ดี ดูเหมือนว่าเขามีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องทำ

“ท่านบิชอป เชิญท่านอาร์คบิชอปเข้าไปในวิหารเถอะค่ะ” แม่ชีรูธอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนโจลีฟที่กำลังตื่นเต้นอยู่ นั่นเพราะเธอเองเริ่มจะยืนไม่ไหวแล้ว

“โอ้ ๆ ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ! ข้าชรามากแล้ว ดูข้าสิ ท่านอาร์คบิชอป! ข้าเผลอปล่อยให้ท่านอาร์คบิชอปต้องยืนอยู่ด้านนอกวิหารเสียนาน โปรดประทานอภัยให้ข้าด้วย เช่นนั้นแล้ว เชิญเข้ามาด้านในกับข้าก่อนเถิด!”

โจลีฟตีหน้าผากตนเองเมื่อนึกขึ้นได้ เขาดูกระวนกระวายแล้วรีบเดินนำเซียวเฟิงเข้าไปด้านวิหารอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันนั้นเอง อสูรอารักขเทวดาที่บินไปมาบนฟ้าผู้ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ประตูบานนี้ก็รีบบินลงมายืนเรียงแถวสองฝั่งทางเดินราวกับกำลังจัดพิธีต้อนรับแขกผู้มาเยือนไปด้วย

ภายในวิหารแห่งแสงนั้นค่อนข้างสลัว เมื่อเทียบกับโถงวิหารแต่ละแห่งภายในเขตฮั่วเซียแล้ว มันต่างกันมาก ๆ เลยทีเดียว บางทีอาจจะเป็นเพราะวิหารแห่งนี้มาสร้างในหุบเขาก็ได้ การที่ถูกล้อมไปด้วยกำแพงหิน มันเลยทำให้ที่แห่งนี้ดูค่อนข้างขัดสนเลยทีเดียว

ทว่าถึงแม้วิหารแห่งนี้จะเล็ก แต่สิ่งที่อยู่ภายในก็ทำให้เขาต้องตกใจได้อยู่เหมือนกัน เพราะทันทีที่เซียวเฟิงก้าวเท้าเข้ามาภายใน เขาก็เห็นมังกรสีขาวทั้งสองนอนอยู่ตัวละฝั่งทางเดิน ซึ่งการมีอยู่ของมันนั้นทำให้เซียวเฟิงไม่กล้าเดินหน้าไปต่อ

มังกรแห่งแสง

เผ่าพันธุ์ : มังกร

ธาตุ : แสง

ระดับ : บอสเทพเจ้า

เลเวล : ???

???/???

???/???

???/???

นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย!? มังกรทั้งสองตัวนี้เป็นบอสระดับเทพเจ้า แถมพวกมันยังมีเลเวลที่สูงเกินกว่าจะตรวจสอบได้อีก!?

เซียวเฟิงรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่รอเขาอยู่นี้จริง ๆ เกิดอะไรขึ้นในวิหารแห่งแสงเขตฮันกึล? ผู้ปกครองที่นี่เป็นสุลต่านหรือไงน่ะ? ทำไมถึงมีสิ่งที่ระดับสูงเช่นนี้อยู่ภายในนี้ได้!

“พวกเขาทั้งสองเป็นมังกรแสงที่รอดจากสงครามครั้งล่าสุดน่ะครับ แล้วก็พวกเขาเป็นผู้คุ้มกันวิหารที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเราด้วย”

เมื่อตระหนักได้ว่าเซียวเฟิงกำลังตกใจ บิชอปโจลีฟก็รีบเข้ามาอธิบาย เขาดูจะภาคภูมิใจในมังกรทั้งสองตนนี้มาก ๆ เมื่อได้กล่าวถึง ราวกับว่านี่เป็นผลงานชิ้นเอกของเขา

“กรรรร!!”

มังกรแสงทั้งสองตนนี้ตัวใหญ่มาก ๆ ความสูงของมันนั้นสูงเทียบเท่าวิหารแห่งแสงเลย แต่เดิมแล้วมันจะหลับไหลอยู่ตลอด ทว่าเมื่อเซียวเฟิงเดินเข้าไปใกล้มันตนหนึ่ง มันก็ตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมกับคำรามกู่ก้องและมองเขาด้วยแววตาที่เหมือนสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่มีนัยน์ตาเป็นขีดเส้นตรง มังกรตนนั้นจ้องมองเซียวเฟิงและคำรามเบา ๆ กระนั้นแล้วมันก็ไม่ได้แสดงความเกลียดชังออกมา จะมีก็แต่เสียงคำรามนั้นทำให้วิหารแห่งแสงเกิดการสั่นสะเทือนนิดหน่อย และมีหินก้อนเล็กก้อนน้อยตกลงมา

“ไม่เป็นไร สหาย อย่าเพิ่งทำลายวิหารของข้า ท่านผู้นี้คือนายท่านอาร์คบิชอปผู้ซึ่งนำแสงสว่างมาให้พวกเรา” บิชอปโจลีฟรีบเข้าไปไกล่เกลี่ย

ได้ยินเช่นนั้นแล้ว มังกรแสงก็หันมองเซียวเฟิงอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงและกลับไปหลับใหลดังเดิม

“ท่านอาร์คบิชอปครับ พวกเรามีนักรบที่ทรงพลังอยู่อีกมากมายภายในวิหารของพวกเรา พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่รอดมาจากสงครามครั้งสุดท้ายและเข้ามารวมตัวกันที่นี่ แต่เพราะไม่มีคำสั่งใด ๆ มาจากนครศักดิ์สิทธิ์อีกเลย มันเลยทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีตลอด 1,200 ปีที่ผ่านมานี้” บิชอปโจลีฟพูดต่อ โดยปล่อยให้เซียวเฟิงยืนฟังเงียบ ๆ เพราะพูดอะไรไม่ออกไปก่อน

คนคนนี้เป็นผู้นำของที่นี่จริง ๆ แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าวิหารแห่งแสงที่ดูอัตคัดแห่งนี้จะมีซ่อนมังกรและเสือร้ายไว้อีกมากมาย!

ถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าที่นี่มีพลังในการต่อสู้ไล่เลี่ยกันกับเมืองหลักมากเลย ถึงแม้ว่าจะมีความต่างชั้นกับเมืองหลักระดับ 1 อย่างเมืองจักรวรรดิหรือนครศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก แต่ถ้าเทียบกับเมืองหลักระดับ 3 แล้วล่ะก็ รับมือได้สบาย ๆ

ยกตัวอย่าง เมืองเทียนหลง กิลด์มิดซัมเมอร์ได้พัฒนาตนเองภายในเมืองเทียนหลงมาเป็นเวลานาน ดังนั้นแล้ว พวกเขาจึงเข้าใจดีถึงความแข็งแกร่งเรื่องการป้องกันของเมืองเทียนหลง การอุดรูโหว่ด้วยการเพิ่มบอสระดับเทพเจ้าเข้ามาอยู่ในปราสาทและวิหารแห่งแสงนิดหน่อย ก็จะทำให้พวกเขาไร้เทียมทานขึ้นมาทันที