บทที่ 388 แผน

บทที่ 388 แผน

“ท่านอาร์คบิชอปครับ นครศักดิ์สิทธิ์มีแผนการอย่างไรเหรอ? พวกเขาส่งท่านให้มารับข้ากลับไปใช่หรือไม่? หรือว่าพวกเหล่าทัพแห่งความมืดกลับมาอีกครั้งแล้ว? พวกเราจำเป็นต้องทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กันอีกครั้ง?”

นอกจากจะแอบซ่อนขุนพลที่แข็งแกร่งเอาไว้แล้ว ที่แห่งนี้ก็ไม่มีอะไรอยู่อีกเลย แม้ว่าบิชอปโจลีฟจะพาเซียวเฟิงเข้ามายังส่วนที่ลึกที่สุดของวิหารที่ซึ่งมีแท่นบูชาประดับอยู่ก็ตาม กระนั้นแล้วเขาก็ยังพูดด้วยความตื่นเต้นเสมือนว่าตนจะได้รับในสิ่งที่พูดอีกด้วย

“บิชอปโจลีฟ นครศักดิ์สิทธิ์ส่งท่านมายังจักรวรรดิฮันกึล เพื่อมอบหมายให้ท่านทำหน้าที่ภายในแผ่นดินนี้แต่เพียงผู้เดียว แต่ดูเหมือนท่านจะทำให้นครศักดิ์สิทธิ์ผิดหวังสินะ” เซียวเฟิงหันมองไปรอบ ๆ แท่นบูชาแห่งนี้ สิ่งที่เขาพูดนั้นทำให้บิชอปโจลีฟที่กำลังตื่นเต้นหวาดหวั่นไปหมดราวกับตนเองจะละลายเป็นน้ำไปเสียให้ได้

“เอ่อ…ท่านอาร์คบิชอป… ผู้คนในจักรวรรดิแห่งนี้ต่างเชื่อในเทพเจ้าองค์อื่นกันหมดแล้ว… ศรัทธาแห่งแสงไม่สามารถเข้าถึงพวกเขาได้เลย แถมความยิ่งใหญ่ของเฮียรอนก็ยังทำให้วิหารของพวกเราถูกกีดกันออกมาด้วย…” เขาปาดเหงื่อบนใบหน้าแล้วอธิบายถึงความยากลำบาก

“บิชอปโจลีฟ มีแค่พวกขี้แพ้เท่านั้นแหละที่จะเอาข้ออ้างมาพูด ท่านอยากจะยอมรับว่าตัวเองเป็นพวกขี้แพ้หรือไร? ท่านเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในวิหารที่เงียบเหงาแห่งนี้มาถึงหนึ่งพันสองร้อย ปี สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการดูหมิ่นต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่ยังเป็นหลักฐานด้วยว่าท่านน่ะไร้ความสามารถ!”

เซียวเฟิงพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง

“เอ่อ…ข้า…ข้า…ข้ามันไร้ความสามารถ ได้โปรด ลงโทษข้าได้เลยครับ ท่านอาร์คบิชอป!”

เหงื่อที่ไหลพรากบนใบหน้าของอาร์คบิชอปนั้นมีปริมาณมากกว่าเดิมหลังจากที่หันไปเห็นรูปปั้นของเทพแห่งแสงบริเวณกลางแท่นบูชาที่ถูกฝุ่นเกาะจนแทบจะไม่เห็นผิวของรูปปั้นไปแล้ว เขาพูดกับเซียวเฟิงด้วยคอที่ตกลงมาราวกับสำนึกผิด

แม่ชีรูธที่อยู่ข้าง ๆ เขาเองก็แสดงความรู้สึกผิดออกมาด้วย เพราะสิ่งที่เซียวเฟิงพูดมันเป็นเรื่องจริง ตลอดหนึ่งพันสองร้อยปีที่ผ่านมานี้ นอกจากพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้เผยแพร่ตามหาผู้ศรัทธาใหม่ ๆ แล้ว ทั้งสองก็ยังเอาแต่เก็บตัวอยู่ในสถานที่ทุรกันดารเช่นนี้โดยที่ปล่อยมันผุพังไปตามกาลเวลาเรื่อย ๆ อย่างไม่คิดจะรักษาด้วย

“เงยหน้าขึ้น บิชอปโจลีฟ แม่ชีรูธ ฉันไม่ใช่ผู้ที่จะมาลงโทษพวกท่านทั้งสองหรอกนะ ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้เผยแพร่ชัยชนะของวิหารแห่งแสงให้ทุกคนได้รับรู้ แต่พวกท่านก็ยังเป็นผู้ที่ถวายตัวให้แก่ความศรัทธามาตลอดหนึ่งพันสองร้อยปี ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าน่ายกย่อง ดังนั้นแล้ว ในฐานะที่ฉันเป็นตัวแทนจากนครศักดิ์สิทธิ์ ฉันทำได้เพียงนำคำของพระผู้เป็นเจ้ามาส่งมอบให้พวกท่านทั้งสองเท่านั้น”

ด้วยสีหน้าจริงจังเช่นนี้ เซียวเฟิงสามารถล่อลวงบิชอปโจลีฟและแม่ชีรูธได้อยู่หมัด พวกเขาทั้งสองเชื่อในสิ่งที่เซียวเฟิงพูดไปแล้ว

“พวกเราไม่ควรค่าและเหมาะสมที่จะได้ฟังพระวาจาของพระผู้เป็นเจ้าหรอกครับ…”

บิชอปโจลีฟและแม่ชีรูธต่างตกอยู่ในภวังค์ของความรู้สึกผิด พวกเขาไม่แม้แต่จะกล้าดีใจเมื่อได้ยินว่ามีรางวัลมามอบให้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นหรือดีใจออกมา สิ่งนี้ยังไงมันก็ห้ามตนเองยาก

“บิชอปโจลีฟ ท่านได้พูดไว้สินะว่า ท่านไม่สามารถติดต่อกับนครศักดิ์สิทธิ์ได้มาหนึ่งพันสองร้อยปีแล้ว?”

เซียวเฟิงเริ่มจากการถามคำถามก่อน เพราะสิ่งนี้มันคล้ายคลึงกับสิ่งที่เซียวเฟิงกังวลอยู่ อย่างการที่เขาจะกลับฮัวเซียอย่างไรดี มันถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ด้วย

“ใช่แล้วครับ เขตเวทมนตร์ที่เทพผู้สร้างได้สร้างไว้นั้นแข็งแกร่งเกินไป มันสามารถแบ่งจักรวรรดิต่าง ๆ ออกจากกันได้ พวกเราลองอยู่หลายวิธีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ได้เลย”

บิชอปโจลีฟพยักหน้าจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แต่ในเมื่อท่านอาร์คบิชอปสามารถมายังจักรวรรดิแห่งนี้ได้ แสดงว่าเขตแดนเวทมนตร์ของเทพผู้สร้างน่าจะคลายลงแล้ว! พวกเราสามารถกลับไปถวายบูชาและพบหน้าท่านเทพธิดาแห่งแสงได้แล้ว!”

“เสียดาย ที่ไม่ใช่แบบที่ท่านคิดหรอกบิชอปโจลีฟ แม้แต่ตอนนี้เขตแดนเวทมนตร์ที่เทพผู้สร้างได้สร้างไว้ไม่ได้คลายลงแต่อย่างใด” เซียวเฟิงส่ายหน้า การที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ทำให้เซียวเฟิงผิดหวังไม่น้อยเลยเหมือนกัน เพราะมันหมายความว่าชายหนุ่มไม่สามารถกลับไปยังที่ที่เขาจากมา

ขนาดโจลีฟ ผู้เป็นบอสที่มีเลเวลสูงมากก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับเส้นแบ่งเขตแดนได้เลย เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเส้นแบ่งเขตแดนนั้นถือเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่ยากเกินกว่าจะทำลายได้ ยังไงเสียเส้นแบ่งเขตแดนนี้ก็เป็นสิ่งที่ระบบสร้างขึ้นมาเพื่อแบ่งแต่ละเขตออกจากกันอยู่แล้ว เหมือน ๆ กับการแบ่งเซิร์ฟเวอร์ในเกมออนไลน์เก่า ๆ ออกจากกกัน สิ่งเดียวที่จะทำให้เส้นแบ่งเขตแดนหายไปได้ คงมีเพียงให้ระบบเป็นผู้หลอมรวมทุกเขตเข้าด้วยกันเอง ไม่เช่นนั้นพวกเขาไม่สามารถเดินทางข้ามเขตกันได้เลย

เหตุผลที่ทำให้เซียวเฟิงมาปรากฏตัวที่เขตฮันกุลแทนที่จะเป็นเขตฮัวเซียนั้น แม้แต่ตัวเซียวเฟิงเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน เขาได้เรียนรู้ถึงพลังของเส้นแบ่งเขตแดนแล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถอัญเชิญสัตว์เลี้ยงออกมาได้เท่านั้น แต่เขายังไม่สามารถติดต่อเพื่อนในรายชื่อเพื่อนได้ด้วย ความโหวงเหวงมันช่างรุนแรงเหลือเกิน

“อ๊าาาาาาา! ทำไมกัน! ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นได้!”

ทันใดนั้นเอง บิชอปโจลีฟและแม่ชีรูธก็หลุดร้องออกมาเสียงดังราวกับว่าพวกตนเห็นท้องฟ้ากำลังแตกสลายและความตายกำลังมาเยือนตรงหน้า

“ไม่ต้องกังวลไป ถึงแม้ว่าเขตเวทมนตร์จะยังไม่คลายตอนนี้ แต่อีกไม่เกินสองปีมันจะต้องคลายลงแน่ ๆ ” สิ่งที่เซียวเฟิงพูดนั้นไม่ใช่เรื่องเหลวไหล เพราะหากยึดตามความคืบหน้าของเกม มันจะต้องเกิดสงครามระหว่างเขตขึ้นในเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ และเมื่อเวลานั้นมาถึง เส้นแบ่งเขตแดนก็จะต้องถูกหยุดใช้งานเป็นเวลาชั่วคราวแน่นอน และเวลาที่คาดไว้ก็น่าจะไม่เกินสองปีหรอก เผลอ ๆ อาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้

“เป็นเรื่องจริงหรือครับ? ท่านอาร์คบิชอป? ถ้างั้นก็เยี่ยมยอดไปเลย! พวกเรารอมาได้ถึงหนึ่งพันสองร้อยปี เพราะงั้นรออีกแค่หนึ่งหรือสองปีจะเป็นอะไรไป!”

บิชอปโจลีฟผู้ที่เพิ่งเหมือนจะโดนทิ้งลงมาจากสวรรค์และกำลังดิ่งลงนรกนั้นดูดีใจขึ้นมาทันที ราวกับว่าเขากำลังโดนสวรรค์ฉุดกลับขึ้นไปใหม่

“มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ฉันมาที่จักรวรรดิแห่งนี้ก็เพื่อการนี้” เซียวเฟิงพูดให้ความมั่นใจ

“คำทำนายใดกันที่ทำให้ท่านอาร์คบิชอปมายังที่แห่งนี้?” ได้ยินเช่นนั้นบิชอปโจลีฟก็ถามด้วยคำพูดอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

“เหล่าทัพแห่งความมืดฟื้นคืนชีพแล้ว และสงครามศักดิ์สิทธิ์กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง” เซียวเฟิงตอบ

“มันเป็นเรื่องจริงสินะครับ? ข้าไม่แปลกใจเลยหากเขตเวทมนตร์จะคลายลง หากเป็นเช่นนั้น เพราะหายนะเช่นนี้จะกัดกินไปทั่วทั้งดินแดนแห่งพระเจ้าได้อย่างรวดเร็ว!” น้ำเสียงของบิชอปโจลีฟฟังดูจริงจังขึ้นมาบ้างแล้ว “ท่านอาร์คบิชอป ดังนั้นแล้ว ช่วยมอบคำสั่งด้วยครับ ข้า…โจลีฟ และวิหารแห่งแสงแห่งจักรวรรดิ พร้อมสำหรับออกศึกแล้วครับ! เพื่อแสงสว่าง!”

“ไม่ต้องรีบร้อน ท่านบิชอปโจลีฟ พวกเราพบเพียงแนวหน้าของทัพแห่งความมืดในดินแดนแห่งพระเจ้าเท่านั้น เพราะงั้นสงครามศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ปะทุขึ้นโดยสมบูรณ์หรอก สิ่งที่ท่านต้องทำมีเพียงเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่วิหารแห่งแสง เพื่อรอรับมือกับสงครามที่จะกำลังมา พวกเราจะเข้าร่วมสงครามที่บังเกิดบนดินแดนแห่งพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อเขตเวทมนตร์คลายตัวลงเท่านั้น”

เซียวเฟิงพูด นี่เป็นสิ่งที่เขาเพิงจะคิดขึ้นมาได้เมื่อครู่นี้เลย หลังจากที่ตระหนักได้ว่า การจะกลับไปยังเขตฮัวเซียนั้นมันยากเกินไปหากคิดจะพึ่งวิหารแห่งแสงในสภาพเช่นนี้ บางทีเขาอาจจะต้องอยู่ในเขตฮันกุลนานกว่านี้อีกสักหน่อย…

และในเมื่อชายหนุ่มยังไม่สามารถกลับไปยังเขตฮัวเซียในเวลาอันสั้นได้ เซียวเฟิงจึงตัดสินใจที่จะเป็นผู้เล่นฮันกุลชั่วคราวต่อไปก่อน เช่นนั้นแล้วเขาจำเป็นต้องหาพลังที่จะปกป้องตนเองได้เสียก่อน

ปัญหาใหญ่ก็คือ พลังในการต่อสู้ของเซียวเฟิงไม่ได้ตามมายังเขตนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ สัตว์เลี้ยง หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เขาแข็งแกร่ง กระทั่งพลังที่เขาสามารถเรียกใช้ได้จากนครศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่แสดงผลที่นี่ด้วยเช่นกัน

ฉายาอันดับ 1 ของผู้เล่นในเขตฮัวเซียนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย หากยึดตามพลังในตอนนี้ เขาจำเป็นต้องเพิ่มความแข็งแกร่ง!

ไม่ต้องพูดถึงร้านค้ามหาสมบัติกับกิลด์มิดซัมเมอร์เลย ทั้งสองสิ่งนี้ถือเป็นทางออกสุดท้ายแล้วจริง ๆ หากต้องการความช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าการระดมกำลังของทั้งสองแห่งนี้จะทำให้ได้ผู้เล่นมากมายขนาดที่ย่ำเท้าแล้วเกิดแผ่นดินไหวก็ตาม

เพราะความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเซียวเฟิงนอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น ก็คือ NPC ไม่ว่าจะเป็นฉายาอาร์คบิชอปแห่งแสง หรือ ดยุกแห่งความมืด ทั้งสองฉายานี้ล้วนแต่ทำให้เซียวเฟิงมีค่าชื่อเสียงของเซียวเฟิงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ภายในเมืองจักรวรรดิและวิหารแห่งแสง การสั่งเคลื่อนทัพ NPC ขนาดใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ด้วยพลังในการต่อสู้เทียบเท่าบอสระดับสูง ไม่มีทางที่เหล่าผู้เล่นจะสามารถรับมือเขาได้เลยในช่วงนี้ นี่ถือเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เซียวเฟิงกล้าที่จะอาละวาดไปทั่วเขตฮัวเซียได้

ทว่าตอนนี้เขาไม่มีหนทางไหนที่จะออกจากเขตฮันกุลได้เลย นั่นหมายถึงเซียวเฟิงสูญเสียความสามารถด้านนี้ไปหมดแล้ว เสมือนเศรษฐีที่โดนศาลสั่งฟ้องล้มละลายและกลายเป็นขอทานโดยไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งเดียวที่เขาเหลือตอนนี้คือ วิหารแห่งแสงที่นี่ ดังนั้นด้วยสิ่งที่มีนี้ เขาต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด

ยังไงเสียนี่เขาก็ยังอยู่ในเขตอื่น ถ้าหากตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผย เขาจะต้องจบลงที่ถูกกลุ่มของผู้เล่นจำนวนมากเข้าโจมตีเป็นแน่แท้ แม้ว่าจะขจัดกลุ่มหนึ่งไปได้ แต่ท้ายสุดเขาก็จะถูกคนทั้งฮันกุลตามล่าอยู่ดี

มันไม่มีหนทางที่จะไปสูสวรรค์ในขณะเดียวกันก็ไม่มีประตูนรกที่คอยเปิดรับด้วย การล็อกออฟเองก็ไม่ได้ช่วยอะไร นั่นเพราะตัวละครในเกมของเขาไม่ได้หายไปด้วย

ด้วยพลังต่อสู้เท่าที่มีนี้ เซียวเฟิงจึงไม่กล้ายืนหยัดที่จะสู้กับใครในเขตฮันกุลทั้งสิ้น หากชายหนุ่มเกิดพลาดท่าโดนลาสช็อตตายขึ้นมา มันจะกลายเป็นเรื่องตลกที่ว่าอันดับ 1 ของเขตฮัวเซียถูกฆ่าตายอยู่ในหมู่บ้านเริ่มต้นในเขตฮันกุล แล้วถ้ามันเป็นเช่นนั้น เซียวเฟิงเองก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปหลบที่ไหนด้วย บางทีอาจจะต้องลบบัญชีนี้ทิ้งแล้วเริ่มต้นตัวละครใหม่เลย

ดังนั้นแล้ว เซียวเฟิงต้องหาสิ่งที่จะสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้พลาดตายเสียก่อน วิหารแห่งแสงนี้ถือเป็นทางเลือกที่ดี เพียงแค่มันโทรมไปหน่อย

ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีบอสระดับสูงอยู่มากมาย แต่ก็ยังไม่มีแม้กระทั่งอัศวินอารักขา เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงตัดสินใจที่จะพัฒนาวิหารแห่งแสงก่อน เพื่อให้เขามีแบ็กอัปที่ดี

และการจะกระทำเช่นนี้ เขาไม่สามารถที่จะทำในพื้นที่เล็ก ๆ ของเขตฮันกุลได้

แม้เซียวเฟิงจะไม่ใช่คนที่มีหน้ามีตาอะไรนัก แต่สิ่งที่จะทำต่อไปนี้จะไม่มีประโยชน์เลยหากทำในพื้นที่เล็ก ๆ

“พวกเราจะเชื่อฟังสิ่งที่ท่านอาร์คบิชอปพูดทุกอย่างเลยครับ! ได้โปรด สั่งการมาได้เลย!” บิชอปโจลีฟพูดโดยที่ตัวเขานั้นตกตะลังกับสิ่งที่เซียวเฟิงพูดมาตั้งนานแล้ว

“ท่านบิชอปโจลีฟ พวกเราจำเป็นต้องขยายอำนาจของวิหารและเพิ่มพลังในการต่อสู้ให้มากขึ้น” เซียวเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา ยังไงเสียพลังในการต่อสู้ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญอยู่แล้ว

“แต่มีผู้ศรัทธาแห่งแสงในจักรวรรดิแห่งนี้น้อยมาก ๆ เลยนะครับ ตอนนี้ขนาดจะจ้างอัศวินเรายังไม่สามารถทำได้เลย” บิชอปโจลีฟพูดด้วยท่าทีหนักใจ

“ผู้ศรัทธา…ผู้เล่น…ไม่สิ เดี๋ยวนะ ผู้ศรัทธาที่พูดถึงนี่รวมผู้เล่นด้วยแล้วหรือยัง?”

เซียวเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามออกไป การจะเปลี่ยนความเชื่อในตัว NPC คงต้องมาจากสภาพแวดล้อมและผู้เล่น ไม่งั้นพวกเขาคงจะไม่ยอมเปลี่ยนด้วยตนเองแน่

“แน่นอนว่ารวมผู้ศรัทธาที่เป็นนักผจญภัยไปด้วยแล้วครับ ตราบใดก็ตามที่แสงสว่างสามารถแผ่อาณาเขตได้ พวกเราก็จะเริ่มสามารถว่าจ้างอัศวินที่ทรงพลังได้ แต่เพราะวิหารของพวกเราถูกสร้างขึ้น ณ อดีตสนามรบที่ยังคงมีพลังแห่งทวยเทพหลงเหลืออยู่ มันจึงทำให้พื้นที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดเข้ามารวมไปถึงเราเองก็ไม่สามารถออกไปเผยแพร่ความน่าภิรมย์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วย” บิชอปสูงวัยกล่าวพร้อมพยักหน้า แต่ในตอนท้ายเขาก็ส่ายหน้าและถอนหายใจ

“เรื่องนี้มันง่ายมาก แม่ชีรูธ เธอมีความสามารถในการเปลี่ยนคลาสให้นักผจญภัยได้ใช่ไหม? เช่นนั้นจงเปลี่ยนคลาสให้นักผจญภัยเป็นนักพิธีกรรม โดยไม่จำกัดเงื่อนไขว่าก่อนหน้านี้ต้องเป็นคลาสอะไร เพราะนักพิธีกรรมทั่ว ๆ ไปจะมาจากคลาสได้ก็ได้” เซียวเฟิงหันไปพูดกับแม่ชีรูธต่อ

“เรื่องนั้นสบาย ๆ ค่ะ แต่ฉันยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่นายท่านอาร์คบิชอปตั้งใจจะทำเสียเท่าไหร่?” แม่ชีรูธตอบหลังคิดตามแล้ว กระนั้นเธอก็ยังไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วนว่าเซียวเฟิงต้องการจะทำอะไร

“เธอกลับไปที่โบสถ์นั่น แล้วก็ปล่อยภารกิจลับออกไป โดยระบุเรื่องการเปลี่ยนเป็นคลาสนักพิธีกรรมไว้ในรางวัลให้แก่นักผจญภัย ไม่มีอะไรต้องกังวลทั้งนั้น พวกเราแค่รอเวลาเพราะมันจะมีนักผจญภัยอีกมากมายที่จะพากันหลั่งไหลเข้ามาที่เธอเพื่อเปลี่ยนอาชีพ ตราบใดก็ตามที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นนักพิธีกรรมได้ อำนาจแห่งแสงสว่างก็จะได้รับการสืบทอด…ถูกไหม?” เซียวเฟิงอธิบายแผนการ

“ถึงแม้ว่ามันจะใช่ แต่พวกนักผจญภัยจะยอมมาเปลี่ยนคลาสกับพวกเราจริง ๆ เหรอคะ? พวกเขาส่วนใหญ่ในจักรวรรดินี้ต่างก็น่าจะเข้าร่วมกับเฮียรอนกันหมดแล้วหรือเปล่า?” แม่ชีรูธยังคงไม่มั่นใจ

“เรื่องนั้นท่านมั่นใจได้เลย มันจะต้องมีนักผจญภัยมาอย่างแน่นอน แล้วจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย” เซียวเฟิงค่อนข้างมั่นใจในแผนการนี้มาก ๆ ถึงแม้ว่านักพิธีกรรมจะเป็นคลาสที่ค่อนข้างทั่วไปในเขตฮัวเซีย แต่ถ้ามันปรากฏขึ้นในเขตฮันกุล ที่ที่ซึ่งเต็มไปด้วยปุโรหิต มันจะกลายเป็นอะไรที่สดใหม่มาก ๆ ท่ามกลางความซ้ำซากที่มีมาช้านาน คลาสนี้จะกลายเป็นสิ่งหายากในเขตนี้ มีค่าเทียบเท่าคลาสลับ แล้วถ้านักพิธีกรรมเหล่านี้เริ่มมีชื่อเสียงแพร่กระจายไปทั่วเขตฮันกุล จะมีผู้เล่นอีกมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อคลาสนี้โดยเฉพาะ

“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะทำเดี๋ยวนี้เลย” แม่ชีรูธพยักหน้าและเลือกที่จะเชื่อในคำพูดของเซียวเฟิง เธอเปิดวงเวทสำหรับเคลื่อนย้ายแล้วแล้วหายวับไปจากวิหารแห่งนี้ทันที

“ยังไงก็เถอะ ท่านบิชอปโจลีฟ ภายในวิหารแห่งนี้น่ะ มีคลังเก็บอาวุธหรืออุปกรณ์บ้างหรือเปล่า?”

จู่ ๆ เซียวเฟิงก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา เขาหันกลับไปถามบิชอปโจลีฟ เพราะในเมื่อเขายังมีอุปกรณ์ติดตัวเพียงน้อยนิด อย่างน้อยเขาก็อยากจะได้อุปกรณ์ติดตัวไว้บ้างเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตนเอง