ความกล้ำกลืนในใจของไป๋เซี่ยงไท่ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้ ทำได้เพียงยอมรับเรื่องราวทั้งหมดอย่างเงียบๆ
ไป๋เซี่ยงกงชี้หน้าด่าเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เจ้าทำให้ข้าขายขี้หน้าต่อหน้าเป่ยเหมินเวยมากแค่ไหน เรื่องที่เจ้าทำลงไปในวันนี้ สามารถไล่เจ้าออกจากตระกูลยังได้!”
ไป๋เซี่ยงไท่ก้มหน้าให้เขาด่าตามสบาย
รอให้ไป๋เซี่ยงกงอารมณ์เย็นลงหน่อย ไป๋เซี่ยงไท่ถึงจะกล้าเงยหน้าที่บวมแดงขึ้นมา พูดด้วยนำเสียงแน่วแน่ว่า “ท่านประมุข ข้าเห็นนางเข้าไปในวังจริงๆ นะขอรับ ราชสำนักต้องปกป้องนางอยู่อย่างแน่นอน ข้าสาบานได้ ถ้าหากว่าข้าพูดโกหกแม้แต่คำเดียว ขอให้ข้าไม่ตายดี!”
“เหอะ เช่นนั้นก็ดี เจ้าบอกข้ามาว่าเหตุผลที่เป่ยเหมินเวยปกป้องนางกำนัลคนนั้นคืออะไร พวกเขาทำเช่นนี้ แล้วจะได้ประโยชน์อันใด” ไป๋เซี่ยงกงยิ้มเยาะ
ไป๋เซี่ยงไท่เผยสีหน้าที่ดูแย่ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าทำไมราชสำนักถึงต้องปกป้องศัตรูของตระกูลไป๋เซี่ยง แต่ว่าเหตุการณ์ในตอนนี้ ถ้าเขาไม่พูดเหตุผลออกมา ไป๋เซี่ยงกงคงจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ
คิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว แล้วไป๋เซี่ยงไท่ถึงพูดว่า “อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาต้องการเอาใจหยวนหวัง พวกเราก็รู้กันดีว่าทำไมเป่ยเหมินเวยถึงเอาลู่เสวียนเป็นลูกเขย หรือราชสำนักอาจจะเห็นแก่ของที่ทาสสาวคนนั้นเอามาจากสุสานโบราณ หรืออีกประการหนึ่งก็คือพวกเขาก็อาจจะตั้งใจมุ่งเป้ามาที่ตระกูลไป๋เซี่ยง ต้องการตัดกำลังของตระกูลไป๋เซี่ยง โดยทำอะไรสักอย่างผ่านเรื่องนี้”
แววตาของไป๋เซี่ยงกงวาวโรจน์ เหตุผลเหล่านี้ที่ไป๋เซี่ยงไท่พูดมา ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานสนับสนุน แต่กลับทำให้เขาแน่ใจได้เรื่องหนึ่งก็คือราชสำนักต้องการจะจัดการกับตระกูลไป๋เซี่ยงแล้ว!
ยังไม่ต้องพูดเรื่องของนางกำนัลคนนั้น ไฟไหม้เมื่อคืนนี้ ก็คือหลักฐานที่แท้จริง!
“ไปซะ” ไป๋เซี่ยงกงพูดเสียงเข้ม
“ท่านประมุข แล้วที่นี่” ไป๋เซี่ยงไท่ถามหยั่งเชิง
ไป๋เซี่ยงกงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วออกคำสั่ง “ส่งคนไปเฝ้าทางเข้าออกทุกทางของพระราชวัง ถ้าหากเจอเบาะแสของนางกำนัลคนนั้นให้รีบมารายงานทันที แล้วก็ทำอย่างลับๆ อย่าให้ราชสำนักรู้ตัว”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ไป๋เซี่ยงไท่แววตาเปล่งประกาย รู้สึกโล่งอก อย่างน้อยตอนนี้ไป๋เซี่ยงกงก็ไม่ซักถามเรื่องนี้แล้ว
ณ พระราชวัง ในตำหนักของเหวินเหรินชิ่งชิ่ง เป่ยเหมินเวยและลู่เสวียนยังไม่ออกไป
หลังจากที่เก็บความเกลียดแค้นที่มีต่อตระกูลไป๋เซี่ยงเอาไว้ลึกๆ ในใจ เป่ยเหมินเวยถึงหันกลับมาพูดกับเหวินเหรินชิ่งชิ่งด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม “ชิ่งชิ่ง วันนี้ทำให้เจ้าต้องอึดอัดเสียแล้ว”
“ฝ่าบาทพูดเกินไปแล้วเพคะ” เหวินเหรินชิ่งชิ่งพูดอย่างช้าๆ
เจียงหลีที่ยืนอยู่ข้างหลังนางเงยหน้าขึ้นมามองนางด้วยความสงสัย แล้วก็ก้มหน้าลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหวินเหรินชิ่งชิ่งและเป่ยเหมินเวยเป็นอะไรที่พูดยาก
ฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวมีความรักใคร่เอ็นดูต่อเหวินเหรินชิ่งชิ่งเป็นอย่างมาก แต่เหวินเหรินชิ่งชิ่งกลับรักษาระยะห่างด้วยความเกรงใจตลอด
ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมา เจียงหลีก็สังเกตเห็นว่าสิ่งของที่จัดเรียงอยู่ในตำหนักของเหวินเหรินชิ่งชิ่งนั้นเรียบง่ายมาก ไม่มีของมีค่าอะไร แม้แต่มื้ออาหาร ก็ดูเหมือนทั่วๆ ไปเท่านั้น
เป่ยเหมินเวยไม่มีทางฉ้อฉลเหวินเหรินชิ่งชิ่งด้วยเรื่องเล็กๆ แบบนี้อย่างแน่นอน เช่นนั้นก็พูดได้เพียงว่าทั้งหมดนี้เป็นการเลือกของนางเอง
“เจ้าเด็กคนนี้ ช่างหัวแข็งจริงๆ เข้าวังมาก็หลายปีแล้ว ก็ถือว่าข้าเลี้ยงดูมา ข้าและพ่อของเจ้าก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกัน เจ้าไม่เรียกข้าว่าเสด็จพ่อสักหน่อย ก็ควรเรียกข้ามาอา เรียกข้าฝ่าบาทๆ ทั้งวัน ดูห่างเหินเกินไปแล้ว” เป่ยเหมินเวยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
คำพูดนี้ของเขากลับไม่ได้ทำให้เหวินเหรินชิ่งชิ่งรู้สึกอะไรมากนัก เพียงแต่ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “พ่อแม่ของหม่อมฉันตายไปตั้งแต่หม่อมฉันอายุยังน้อย ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทรับหม่อมฉันเข้าวัง เลี้ยงดูหม่อมฉันอย่างดี หม่อมฉันขอบพระทัยเป็นอย่างมาก ไม่กล้าขอร้องอะไรที่ไม่ควรเป็นของหม่อมฉันอีก”
“พอๆๆ ข้าจะไม่โน้มนาวเจ้าแล้ว เอาที่เจ้าสบายใจเถอะ” ท่าทางที่รักใคร่เอ็นดู แต่ก็จนปัญญาของเป่ยเหมินเวย แล้วถึงเดินจากไปพร้อมกับลู่เสวียน
ในตอนที่ใกล้จะเดินออกไป ลู่เสวียนหันมามอง ‘เจวียนเอ๋อร์’ แล้วกะพริบตา
หลังจากที่พวกเขาเดินจากไป เจียงหลีสังเกตเห็นเหวินเหรินชิ่งชิ่งที่สีหน้าเศร้าหมอง ในแววตามีความเศร้าโศก แล้วก็ความสับสน
ก่อนหน้านางไม่ได้เป็นแบบนี้
อะไรที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ เจียงหลีตั้งใจคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าจะตั้งแต่หลังจากที่เป่ยเหมินเวยพูดกับนางเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว อารมณ์ของเหวินเหรินชิ่งชิ่งก็เปลี่ยนไป
“พวกเจ้าลงไปให้หมด ไปทำหน้าที่ของตัวเอง ข้าอยากอยู่คนเดียวสักครู่หนึ่ง ไม่ต้องมารบกวนข้า” เหวินเหรินชิ่งชิ่งออกคำสั่งกับทุกคน แล้วหันตัวกลับเข้าห้องบรรทมไป
เจียงหลีคิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจตามขึ้นไปดู
เพียงแต่ นางไม่ได้ตามเข้าไป หลังจากที่ไปถึงด้านข้างประตู ก็หยุดลง เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็บอกแล้วว่าไม่อยากให้ใครรบกวน ถ้าหากว่านางเดินเข้าไปอย่างไม่สนใจคำสั่ง จะไม่ทำให้นางไม่พอใจได้อย่างไร
ถ้าเป็นนาง ถ้าหากมีคนเมินเฉยต่อคำพูดของตัวเอง มาปรากฏตัวในตอนที่ตัวเองต้องการอยู่คนเดียว ความคิดที่นางอยากจะฆ่าคนๆ นั้นก็มีเหมือนกัน
เอาใจเขามาใส่ใจเรา เจียงหลีไม่มีทางเข้าไป นางยืนอยู่ด้านนอกประตู เห็นเหวินเหรินชิ่งชิ่งนั่งอยู่ตรงหน้าหน้าต่างจากด้านหลังพอดี เห็นว่านางไม่เป็นอะไร แค่นี้ก็พอแล้ว
ความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้นี่แปลกจริงๆ เจียงหลีพูดในใจ
เวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ฟ้าก็มืดแล้ว ทันใดนั้นเสียงของเหวินเหรินชิ่งชิ่งก็ดังขึ้นมา “เจ้ายืนอยู่ข้างนอกตั้งนานแล้ว ไม่เมื่อยรึ เข้ามาเถอะ”
คำพูดนี้ แน่นอนว่าพูดกับเจียงหลีที่ยืนอยู่ด้านนอกประตู
ฮะ
เจียงหลีมุมปากกระตุก ที่จริงนางไม่ได้เมื่อยจริงๆ ตอนที่ยืนอยู่นอกประตู นางกำลังคิดเรื่องต่างๆ เวลาผ่านไปไวมาก
เพียงแต่ ในเมื่อเหวินเหรินชิ่งชิ่งเชิญแล้ว นางก็ไม่ปฏิเสธ
เจียงหลีเลิกคิด นางเดินเข้ามาในห้อง แล้วปิดประตู
“นั่งสิ ไม่ต้องเกรงใจ” เหวินเหรินชิ่งชิ่งยังคงมองไปนอกหน้าต่าง ทางนั้นไม่ได้มีทิวทัศน์ที่สวยงามอะไรเลย ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรทำให้นางชอบเช่นนี้
เจียงหลีนั่งลงตามที่บอก ไม่ได้พูดอะไร
“เซ่าจวิน” จู่ๆ เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็เรียกนาง
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมามองนางจากด้านข้าง “มีเรื่องจะพูดกับข้าหรือ”
เหวินเหรินชิ่งชิ่งยิ้มออกมา เพียงแต่ว่ารอยยิ้มมีความฝืน “ข้าไม่รู้ว่าแท้ที่จริงเจ้าเป็นใคร แต่น่าจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดาและเก่งกาจมากแน่เลย แต่ไม่รู้ก็ดีเหมือนกัน พวกเราเพียงแค่พบกันโดยบังเอิญ ไม่ถือว่าคุ้นเคย มีบางเรื่อง ก็คุยกันได้ง่าย”
เจียงหลีเลิกคิ้ว เหมือนว่าความหมายของคำพูดนี้ของนางก็คือ ถึงอย่างไรหลังจากนี้พวกนางก็คงไม่ได้เจอกันอีก มีบางเรื่องที่ไม่สะดวกใจที่จะพูด ก็ไม่กลัวที่จะพูดออกมา
“ท่านพูดมาสิ ข้าจะฟัง” เจียงหลีพูด
เหวินเหรินชิ่งชิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังคิดว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี ผ่านไปครู่หนึ่ง แล้วถึงพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ ว่า “ถ้าหากว่าเจ้าสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก โดดเดี่ยวไร้ซึ่งที่พึ่งพา ในตอนที่เจ้าจิตใจหวาดหวั่น เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ก็ถูกเพื่อนของพ่อแม่เอาไปเลี้ยง ให้ทุกอย่างกับเจ้า เจ้ารู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก ถึงขั้นตายแทนเขาได้ก็ยอม แต่ว่าอยู่มาวันหนึ่ง เจ้ากลับได้รู้ว่าคนๆ นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อเจ้าเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่มีความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นมือสังหารที่ทำให้เจ้าเป็นเด็กกำพร้า เจ้าจะทำอย่างไร”
เรื่องราวที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับเคยเจอมาก่อน ทำให้เจียงหลีอึ้งไป แล้วพูดเสียงเข้มว่า “เจ้าหมายถึงฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวหรือ”