เจียงหลีรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
ตามที่เหวินเหรินชิ่งชิ่งเล่า บุคคลสำคัญในนั้นคือใคร มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อนางจริงๆ หรือ
“เจ้าฉลาดมากจริงๆ” เหวินเหรินชิ่งชิ่งหันมามองนางอย่างช้าๆ แล้วเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น ก็เป็นการยืนยันการคาดเดาของเจียงหลีแล้ว
ทันใดนั้น ในห้องก็เงียบขึ้นมา
บรรยากาศที่จู่ๆ ก็ตกอยู่ในความเงียบ มีความแปลกประหลาดนิดหน่อย สีหน้าของเหวินเหรินชิ่งชิ่งยังคงเย็นชา ในหัวของเจียงหลีกลับรีบคิดหาวิธีอย่างรวดเร็ว
นางเป็นคนทำลายความเงียบนั้นลงก่อน “ข้ารู้สึกสนใจเรื่องเล่าที่ผู้มีพระคุณคนนั้นกลายเป็นศัตรูของเจ้า เล่าให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่”
เหวินเหรินชิ่งชิ่งยิ้มออกมา ความอึดอัดใจในห้องนั้นหายไปหมด “เจ้าไม่ต้องเลี่ยงขนาดนั้นก็ได้ ที่นี่นอกเจ้ากับข้า ก็ไม่มีผู้ใด คนในตำหนักของล้วนแต่เป็นคนแก่ที่อายุเยอะ ไม่มีทางหักหลังข้า ข้าอยู่ในวังนี้ไม่คิดแก่งแย่งชิงดี เจียมเนื้อเจียมตัวมาตลอด ไม่เคยคิดอยากอยู่ที่นี่เลย แล้วก็ไม่มีนางสนมคนไหนเห็นข้าเป็นศัตรู”
“…” เจียงหลีไม่รู้จะพูดอะไร
เห็นได้ชัดว่าเหวินเหรินชิ่งชิ่งเริ่มต้นด้วย ‘เรื่องของผู้อื่น’ นางเพียงแค่คล้อยตามเท่านั้น
“เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เจ้าก็รู้ว่าพ่อของข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเขา ก่อนที่พ่อข้าจะเกิดเรื่อง แม่ของข้าก็ใกล้จะคลอดแล้ว ตอนนั้นพ่อรับปากแม่ว่าช่วงนั้นจะไม่ออกไปไหน จะอยู่ที่บ้านดูแลแม่ เพื่อรอข้าคลอดออกมา แต่อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ เขาก็มาหาพ่อข้า ทั้งสองคุยกันอยู่ในห้องอย่างลับๆ เป็นเวลานาน หลังจากนั้นพ่อก็บอกแม่ว่าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย แล้วจะกลับมาให้ทันก่อนที่ข้าจะคลอดออกมา” เหวินเหรินชิ่งชิ่งพูดอย่างช้าๆ เจียงหลีก็ตั้งใจฟัง ไม่ได้ถามขึ้นแทรกนางเลย
“หลังจากที่พ่อไปกับเขา ผ่านไปไม่นาน เขาก็กลับมาคนเดียว แล้วบอกเรื่องการตายของพ่อข้า แม่ได้รับความสะเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก เลยคลอดก่อนกำหนด แล้วแม่ก็ตายเพราะคลอดยากและเสียเลือดมาก และพอข้าเกิดมา ก็กลายเป็นเด็กกำพร้าเลย”
“ในเมื่อเรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เกิดขึ้นก่อนที่เจ้าจะเกิด แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นแบบนี้ เจ้าก็ไม่มีทางตัดสินได้ว่าการตายของพ่อเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรว” เจียงหลีถามกลับ
เหวินเหรินชิ่งชิ่งมองนาง แล้วตอบคำถามของนาง “เมื่อสามปีก่อน ข้าได้ออกนอกวังไปเที่ยวเล่น บังเอิญได้พบกับคนแก่ที่เคยดูแลพ่อแม่ของข้า นางเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ข้าฟัง ข้าก็ได้ใช้วิธีต่างๆ ในการตรวจสอบว่าที่นางพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องที่ข้าสงสัยว่าการตายของพ่อข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ในตอนที่นางเดินผ่าน พอดีได้ยินเขาพูดกับแม่ข้าประโยคหนึ่งก่อนที่แม่ข้าจะตาย”
“พูดว่าอะไร” เจียงหลีซักถาม
เหวินเหรินชิ่งชิ่งเม้มปาก มือที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ กำแน่น “เขาบอกให้แม่ข้าอย่าโทษเขา เขาก็จนปัญญาเหมือนกัน แต่ว่าทำไมเจ้าถึงมาตายแบบนี้”
“…” เจียงหลีคิดทบทวนคำพูดนี้อย่างละเอียด ฟังแล้วได้ความหมายที่ต่างออกไป เจ้าคนนั้นที่ว่า น่าจะหมายถึงแม่ของเหวินเหรินชิ่งชิ่ง
“ฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวไม่รู้รึว่าข้างนอกประตูมีคนอยู่” เจียงหลีถามอีก
เหวินเหรินชิ่งชิ่งส่ายหน้าช้าๆ “หรือว่าบางทีตอนนั้นอารมณ์ของเขาก็ไม่มั่นคง หลังจากที่คนแก่คนนั้นได้ยินคำพูดนี้ ก็รีบจากไป ไม่ได้รบกวนเขา”
“หลังจากนั้นล่ะ หลังจากที่เจ้ารู้ทุกอย่างแล้ว ได้ไปค้นหาหลักฐานหรือไม่”
“เปล่า ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว คนที่รู้เรื่องนี้ก็ไม่มีแล้ว แล้วก็” เหวินเหรินชิ่งชิ่งมีความลังเล “ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐาน แล้วข้าควรทำอย่างไร”
แก้แค้นรึ
ตอนที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน นางเห็นเป่ยเหมินเวยเป็นญาติเพียงคนเดียวของนาง จะบอกให้ลงมือก็ลงมือได้อย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นก็อาจจะเลือดเย็นและโหดเหี้ยมไปหน่อย
หรือไม่แก้แค้น
เกรงว่านางตายไป ก็ไม่มีหน้าไปเจอพ่อแม่
เจียงหลีเข้าใจความว้าวุ่นของเหวินเหรินชิ่งชิ่ง สำหรับนางแล้ว เพิ่งจะเกิด พ่อแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ความทรงจำกับพ่อแม่ก็ไม่มี และเป่ยเหมินเวยก็เอานางมาเลี้ยงดู ไม่เคยปฏิบัติกับนางอย่างโหดร้าย ขนาดคนนอกยังมองออกว่านาง องค์หญิงนอกสายเลือดคนนี้ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเขาเป็นอย่างมาก
ฝ่ายหนึ่งก็สายเลือด อีกฝ่ายก็ความรู้สึก จะเลือกทางไหนก็ผิด!
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เพียงแค่สงสัยเท่านั้น ไม่มีหลักฐานยืนยันที่พิสูจน์ได้ว่าเป่ยเหมินเวยคือศัตรูที่ฆ่าพ่อของนาง
“เป่ยเหมินเวยไม่ใช่คนใจบุญอะไร ถึงแม้เขาจะฆ่าพ่อของเจ้า แต่ก็เก็บเจ้ามาเลี้ยง มันต้องมีเหตุผล” เจียงหลีพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง
เหวินเหรินชิ่งชิ่งเงยหน้ามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความสับสน เหมือนว่ากำลังขอร้องให้เจียงหลีช่วย นางควรทำอย่างไรดี
เรื่องนี้ทำให้นางทุกข์ระทมจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
ดังนั้น นางถึงทำได้เพียงแค่พยายามรักษาระยะห่างกับเป่ยเหมินเวย แล้วก็เชื่อฟังเขา เพื่อถือเป็นการทดแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูนางมา
“เจ้าก็รู้สึกลำบากใจเหมือนกัน” เจียงหลียิ้มออกมา
ถ้าหากว่าเป็นคนที่มีสันดานโหดเหี้ยเลือดเย็นและเห็นแก่ตัว เผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้คงจัดการได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงตัดสินว่าทำแบบไหนแล้วตัวเองจะได้ผลประโยชน์มากที่สุดก็พอแล้ว
แต่คนที่มีความผูกพัน กลับเป็นการเลือกที่ยากที่สุด ดั่งเช่นเหวินเหรินชิ่งชิ่ง!
“ความรู้สึกระหว่างคนเรา จะเอาความแค้นและบุญคุณมาสรุปเพียงอย่างเดียวได้อย่างไร เดิมทีเป็นเพียงแค่เรื่องง่ายๆ แต่กลับเพราะว่าทุกอย่างปนกันจนซับซ้อนไปหมด” เจียงหลีแสดงความรู้สึกออกมา
ก็เหมือนเจียงเฮ่ากับมู่ชิงเหยียน ลู่เสวียนกับโจวยวน
“ใช่แล้ว ดังนั้นข้าควรทำอย่างไรดี” เหวินเหรินชิ่งชิ่งพูดพึมพำ
เจียงหลีมองนาง พูดอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
“ไปหรือ” เหวินเหรินชิ่งชิ่งแปลกใจเป็นอย่างมาก
เจียงหลีพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าเขาคือผู้มีพระคุณหรือศัตรู เช่นนั้นก็ไปเสียเถิด ตัดขาดทุกอย่างกับเขาตอนนี้ เจ้าไปใช้ชีวิตของเจ้า ไม่ต้องมาพัวพันยุ่งเกี่ยวกัน ข้าคิดว่าพ่อแม่ของเจ้าก็หวังให้เจ้ามีชีวิตที่ดี ไม่ใช่ทำร้ายตัวเอง เพราะบุญคุณและความแค้นที่ไม่แน่ชัด”
“…” เหวินเหรินชิ่งชิ่งแววตางุนงง “ไปอย่างนั้นหรือ แล้วข้าจะไปที่ใดได้บ้าง”
“ราชวงศ์จยาเซียน” เจียงหลีให้คำตอบที่แน่นอน
เหวินเหรินชิ่งชิ่งมองนางด้วยความตะลึง หยุดพูดไปชั่วขณะ
ตกค่ำ สรรพสิ่งเงียบเป็นเป่าสาก
คนๆ หนึ่งออกจากตำหนักของเหวินเหรินชิ่งชิ่งไปอย่างเงียบๆ มุ่งหน้าไปยังสถานที่ใดที่หนึ่งของพระราชวัง
“ว่าแล้วว่าคืนนี้เจ้าต้องมา”
เจียงหลีเพิ่งจะถึงพื้น ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมา
นางหันไปมองชายชุดขาวที่พลิ้วไหว เหมือนว่ากำลังรอนางอยู่ แล้วถามขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมา”
“วันนี้ในพระราชวังเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นขนาดนั้น ดูแล้วฝ่าบาทคงคิดอะไรขึ้นได้บางอย่าง จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องมาปรึกษาข้า” หรงจิ่งยกกาน้ำชาขึ้น น้ำสีเหลืองอำพันจากปากของกาน้ำชาที่เอียงไหลลงในถ้วยชา
เจียงหลีเดินมาหาเขา เป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ในวังลึกแห่งนี้ แล้วก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เลยทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวและปลงตก
“วันนี้ฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวมาหาเจ้าแล้วใช่ไหมล่ะ” เจียงหลีนั่งลงตรงหน้าเขา แล้ววางมือซ้ายไว้บนเข่าที่งอ ส่วนมือขวาก็ยกถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา
“อืม เขาโมโหตระกูลไป๋เซี่ยงเป็นอย่างมาก” หรงจิ่งถือถ้วยชาด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วพยักหน้า