งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพในปีนี้ เรียกได้ว่าเริ่มงานด้วยความตื่นเต้น แต่จบลงด้วยความผิดหวัง ยอดฝีมือสิบอันดับที่คัดเลือกมากจากการประลองยุทธวันที่สอง ยังไม่ทันถึงการประลองยุทธวันที่สามก็ตายกันไปเสียแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนที่ว่าพวกเขาตายกันอย่างไรนั้น ทุกคนต่างรู้แก่ใจกันดี เพราะถึงอย่างไร หลานเขยของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า ผู้ใดต่างก็อยากเป็น แต่กระนั้นบุตรสาวของตระกูลมู่หรงกลับมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว ก็เป็นธรรมดาที่ต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลดทอนจำนวนคู่ต่อสู้ของตนลง ดังนั้นยามที่การประลองยุทธเริ่มขึ้น แล้วมียอดฝีมือปรากฏกายขึ้นเพียงครึ่งเดียวนั้น ทุกคนต่างไม่รู้สึกประหลาดใจอันใดนัก
“เจ้าสำนักหลิง ปีนี้ตั้งใจจะขึ้นไปลองฝีมือบ้างหรือไม่” เจิ้นหานอ๋องผินหน้าไปยิ้มถามหลิงเถี่ยหานที่นั่งหลับตาพักผ่อนอยู่
ถึงแม้ใบหน้าจะยังคงราบเรียบดังเช่นปกติ แต่ในใจเจิ้นหนานอ๋องกลับระมัดระวังตัวกับหลิงเถี่ยหานอยู่มาก การพบหน้ากันในครานี้ เขาถึงขั้นมองความล้ำลึกของหลิงเถี่ยหานไม่ออก ซึ่งนั่นก็หมายความว่า หลิงเถี่ยหานในยามนี้ ต่อให้ไม่เก่งกาจไปกว่าเขา แต่ก็ไม่ด้อยกว่าเขาแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างไรด้วยอายุของหลิงเถี่ยหานก็ยังเด็กกว่าเขาอยู่สิบกว่าปี และยิ่งเมื่อคิดไปถึงหลิงเถี่ยหาน คิดถึงไปม่อซิวเหยาที่เด็กกว่าหลิงเถี่ยหานไปอีกเจ็ดแปดปี แล้วจู่ๆ เจิ้นหนานอ๋องก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและจนใจขึ้นมา หากเทียบกับม่อซิวเหยา เขาก็ถือว่าแก่แล้วจริงๆ
เดิมทีคนที่ควรวัดฝีมือกับม่อซิวเหยาคือบุตรชายของเขา น่าเสียดายที่บุตรชายของเขา ห่างไกลกับบุตรชายของม่อหลิวฟางมากนัก เขาหันกลับไปมองเหลยเถิงเฟิงที่นั่งอยู่ด้านหลังตน แล้วเจิ้นหนานอ๋องก็เริ่มคิดว่า ตนเตรียมการให้เหลยเถิงเฟิงไว้อย่างสมบูรณ์พร้อมเกินไปหรือไม่ จนทำให้ถึงยามนี้แล้ว เขาจึงยังสู้อันใดม่อซิวเหยาไม่ได้สักเรื่อง บางที…กลับไปครานี้คงจะต้องให้เขาทำอันใดด้วยตนเองเสียแล้ว…
เหลยเถิงเฟิงลืมตาขึ้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่สนใจ เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อไม่ขึ้นไปลองดูหรือ”
ในบรรดายอดฝีมือรุ่นใหม่เหล่านี้ นอกจากเด็กหนุ่มที่ชื่อเหรินฉีหนิงนั่น ที่พอดูมีแววอยู่บ้างแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่เข้าตาหลิงเถี่ยหานทั้งสิ้น หลิงเถี่ยหานที่เพิ่งต่อสู้กับม่อซิวเหยามา ยามนี้ยังไม่นึกอยากประมือกับรุ่นน้องเลยจริงๆ อีกทั้ง…ยามนี้ในเมืองอัน ยังมีคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจเสียยิ่งกว่าอยู่อีกด้วย หลิงเถี่ยหานหลุบตาลงมองมือข้างขวาที่วางอยู่บนที่เท้าแขน ก่อนจะหันมองไปทางบ้านพักที่ใหญ่โตโอ่อ่าอลังการณ์ของตระกูลมู่หรงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “เรื่องนี้เหลยเถิงเฟิงยังอ่อนด้อยอยู่เล็กน้อย จะสามารถขึ้นไปประลองยุทธที่บนเวทีได้อย่างไร อีกทั้งเขาก็มิใช่คนในยุทธภพ จึงยิ่งไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องการแย่งชิงชื่อเสียงในเรื่องนี้” ประโยคสุดท้ายนั้น เป็นประโยคที่เขาเอ่ยกับเหลยเถิงเฟิง ถึงอย่างไรตระกูลมู่หรงก็ไม่มีทางให้หลานสาวตระกูลตนแต่งงานเข้าจวนเจิ้นหนานอ๋องอยู่แล้ว เหลยเถิงเฟิงจะประลองยุทธหรือไม่ ก็ไม่มีความหมายอันใดทั้งสิ้น
“เสด็จพ่อกล่าวถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหลยเถิงเฟิงพยักหน้ารับ
เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้าด้วยความพอใจ มองบุตรชายด้วยสายตาปลอบใจ “ไว้กลับเมืองหลวงแล้ว เถิงเฟิงนำทหารลงไปประจำการที่ทางตอนใต้ก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหลยเถิงเฟิงก็รู้สึกลิงโลดขึ้นอย่างประหลาด จุดประสงค์ในการใช้กำลังทหารของเสด็จพ่อ เขารู้ดี ในยามนี้เมื่อให้เขานำกำลังทหารลงใต้ เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการอนุญาตให้เขานำทหารออกไปด้วยตนเองแล้ว ขอเพียงเขานำทัพได้ดี ก็สามารถมีอำนาจทางการทหารที่เป็นของตนอย่างแท้จริงได้
เมื่อเห็นเขารับรู้ถึงความตั้งใจของตน เจิ้นหนานอ๋องจึงตบบ่าเขา เอ่ยว่า “เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว ควรทำอันใดด้วยตนเองได้แล้ว ข้าแก่แล้ว…”
“เสด็จพ่อกำลังอยู่ในวัยที่รุ่งเรืองที่สุด ลูกขอบพระคุณเสด็จพ่อ…” เหลยเถิงเฟิงเอ่ย
เจิ้นหนานอ๋องพ่อลูกเอ่ยเรื่องเช่นนี้ต่อกัน แต่ดูมิได้คิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย แม้แต่สวีชิงเฉินที่งีบหลับอยู่ก็ทำประหนึ่งไม่สนใจเอาเสียเลย ซึ่งนี่เดิมทีเป็นสิ่งที่เจิ้นหนานอ๋องคิดทดสอบสวีชิงเฉิน คุณชายชิงเฉินมีความสามารถเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า แต่ในหลายๆ เรื่องมิได้มีเพียงความฉลาดหลักแหลมก็จะเพียงพอ ยังต้องมีความเด็ดขาดและใจแข็งอีกด้วย
พื้นที่บริเวณชายแดนที่ติดกันระหว่างหนานจ้าวและซีหลิงนั้น มีภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อน หากคิดจะรีบรบรีบจบคงไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่มเป็นต้นมา ที่มีความคิดที่จะโจมตีหนานจ้าว เจิ้นหนานอ๋องก็ได้คิดที่จะลอบจบตีให้จบศึกเสียโดยเร็ว ดังนั้นจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับหรือไม่ ก็มิได้สำคัญอันใดนัก หรือจะว่า หากสามารถทดสอบสวีชิงเฉินจนรู้ถึงความคิดอันลึกซึ้งของสวีชิงเฉินได้ ต่อให้ข้อมูลเรื่องการทหารเล็ดลอดออกไปบ้าง เจิ้นหนานอ๋องก็ยังรู้สึกว่าคุ้มค่า
หานสวีชิงเฉินเลือกที่จะช่วยหนานจ้าว ก็เท่ากับว่าคนผู้นี้เป็นคนใจอ่อนมีเมตตา ไม่น่าต้องเกรงกลัว หากสวีชิงเฉินเลือกที่จะนิ่งเฉย ก็ไม่ต้องกังวลใจจนเกินไป แต่หากสวีชิงเฉินใช้ประโยชน์ให้หนานจ้าวและซีหลิงเปิดศึกทางการทหารต่อกัน หรือแม้กระทั่งทำสิ่งอื่น เช่นนั้น…ในซีเป่ย นอกจากม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีแล้ว ก็คงมีคนที่ต้องระวังเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว
สวีชิงเฉินมิได้ทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่ได้ตั้งใจที่จะสนใจเรื่องที่เขาพูดคุยกัน ประหนึ่งเรื่องที่เจิ้นหนานอ๋องพ่อลูกคุยกัน เป็นเรื่องทั่วไปภายในครอบครัว อย่างการที่บิดาเอ่ยชมบุตรชายและให้รางวัลกระนั้น
สวีชิงเฉินลืมตาขึ้น หันไปยิ้มเอ่ยกลับเหลยเถิงเฟิงว่า “ยินดีกับเหลยซื่อจื่อด้วย”
เหลยเถิงเฟิงยิ้ม “ของคุณคุณชายชิงเฉินมาก” แต่รอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตา
อันที่จริงชีวิตของเหลยเถิงเฟิงก็น่าเศร้าใจอยู่มากทีเดียว ถึงแม้ความสามารถและฝีมือของเขาจะถือว่าไม่เลว แต่ด้านบนเขากลับมีภูเขาลูกใหญ่อย่างเจิ้นหนานอ๋องคอยกดทับอยู่ จึงไม่มีแม้โอกาสให้ได้แสดงความสามารถ ทำดี ก็ว่า เชื้อไม่ทิ้งแถว หากทำผิดก็กลายเป็นนกออกลูกเป็นกา หากว่าเรื่องฝีมือ ความสามารถ และความคิดความอ่านแล้ว ต่อให้สู้ม่อซิวเหยาได้ แต่ก็ไม่มีทางด้อยไปกว่าเยียหลี่ว์หง เยียหลี่ว์เหยี่ย ม่อจิ่งฉี หรือม่อจิ่งหลีพวกนั้นอย่างแน่นอน แต่เมื่อใดก็ตามที่เอ่ยถึงเขา สิ่งแรกที่ทุกคนคิดขึ้นมาก็คือ ซื่อจื่อแห่งเจิ้นหนานอ๋อง
เหลยเถิงเฟิงก้มหน้าลง นัยน์ตาเป็นประกายคมกล้าแห่งความแน่วแน่ เขาจะต้องทำให้คนทั้งโลกได้รู้จักคำว่า ศิษย์รุ่นหลังเหนือกว่าอาจารย์นั้นเป็นเช่นไร!
“บ่าวคารวะคุณชายชิงเฉิน” ในขณะที่กลุ่มสวีชิงเฉินทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนเป็นบ่าวไพร่ของตระกูลมู่หรงก็เดินเข้ามาคารวะสวีชิงเฉิน
สวีชิงเฉินนั่งตัวตรงขึ้น อมยิ้มพยักหน้า “ไม่ต้องมากพิธี”
ในสายตาของชายผู้นั้นที่มองมายังสวีชิงเฉินดีมีแววประจบสอพลอและเอาอกเอาใจขึ้นมาหลายส่วน ยิ้มเอ่ยว่า “มิกล้า นายท่านอาวุโสกับนายท่านของพวกเราเชิญคุณชายเข้าไปพูดคุยที่ด้านในขอรับ”
วันนี้ตั้งแต่เช้า มู่หรงสยงและประมุขตระกูลมู่หรงมิได้ออกมาปรากฏตัวที่ลานประลองยุทธ ถึงแม้ในใจทุกคนจะรู้สึกประลาด แต่ก็มิได้มีอันใดให้เอ่ยถึง เดิมทีงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพไม่เคยมีผู้ใดเข้ามายุ่มย่ามอยู่แล้ว ครานี้ที่ตระกูลมู่หรงเข้ามาเป็นเจ้าบ้านจัดการ ก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว
ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้น ล้วนมิใช่บุคคลทั่วไป ย่อมมองออกว่าคนผู้นั้นมีท่าทีต่อสวีชิงเฉินแตกต่างไปจากผู้อื่น
สวีชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าท่านประมุขตระกูลมู่หรงมีอันใดจะชี้แนะหรือ”
ชายผู้นั้นยิ้มเอาใจ “แน่นอนว่าท่านประมุขมีเรื่องสำคัญที่อยากจะปรึกษาหารือกับท่านขอรับ”
สวีชิงเฉินพยักหน้าแล้วลุกยืนขึ้น “เช่นนั้น เชิญเจ้านำทางเถิด”
หลิงเถี่ยหานที่นั่งอยู่ก็ลุกยืนขึ้นเช่นกัน ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าน้อยชื่มชมในบารมีของตระกูลมู่หรงมานาน ไม่รู้ว่าสามารถเข้าไปร่วมด้วยได้หรือไม่”
“เรื่องนี้…” ผู้ที่มาดูมีสีหน้าลำบากใจ ท่านประมุขกับนายท่านอาวุโสย่อมไม่อยากให้หลิงเถี่ยหานเข้าไปพบในยามนี้ แต่หลิงเถี่ยหานที่เป็นหัวหน้าของสำนักนักฆ่าอย่างสำนักเยี่ยนอ๋อง ด้วยชื่อเสียงที่ฟังดูน่าเกรงขามนั้น เขาจะสามารถห้ามปรามได้อย่างไร
หลิงเถี่ยหานก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ ยิ้มอย่างใจกว้างเอ่ยว่า “ไม่ต้องลำบากใจไป แค่เพียงข้ามีมิตรไมตรีที่ไม่เลวกับติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋อง และได้รับปากติ้งอ๋องไว้แล้วว่าจะดูแลความปลอดภัยของคุณชายชิงเฉินให้ดี แต่ในเมื่อไม่สะดวกให้ข้าเข้าไป ก็คงจำต้องเชิญประมุขตระกูลมู่หรงออกมาพูดคุยธุระกันที่ด้านนอกแล้ว”
นี่ไม่เรียกว่าทำให้ลำบากใจหรือ ผู้ที่มาส่งข่าวหน้าขาวซีดทันที ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉินเป็นผู้มาเยือน ถือเป็นแขก ตระกูลมู่หรงย่อมต้องรับรองในความปลอดภัยของคุณชายขอรับ”
“ในงามชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพ คนที่ลงมือทำร้ายคุณชายชิงเฉินเป็นคนแรกมิใช่คนของตระกูลมู่หรงหรอกหรือ” เหลิ่งหลิวเย่ว์ที่นั่งอยู่ด้านหลังหลิงเถี่ยหานเอ่ยเสียงเย็นขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าสำนักหลิงก็เชิญด้วยเถิดขอรับ” ผู้ที่มาส่งข่าวกัดฟันเอ่ยขึ้น
คำสั่งที่เขาได้รับนั่นคือ ไม่ว่าอย่างไรจะต้องเชิญคุณชายชิงเฉินเข้าไปให้ได้ หากเชิญเขาเข้าไปไม่ได้ โดยมากนายท่านอาวุโสมักจะเล่นงานคนที่จัดการไม่ได้เรื่องก่อนแล้วค่อยถามหาเหตุผล
เมื่อมองส่งคนกลุ่มนั้นเดินออกไปแล้ว เหลยเถิงเฟิงก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ตระกูลมู่หรงคิดจะ…”
เจิ้นหนานอ๋องหัวเราะเยาะทีหนึ่ง นัยน์ตาปรากฏแบบคมกล้า “ตาแก่มู่หรงสยงนั่นคิดรนหาที่ตาย ข้าจะช่วยให้สมหวังเอง!”