ภายในห้องโถงใหญ่ที่โอ่อ่าหรูหราของบ้านตระกูลมู่หรง สวีชิงเฉินนั่งดื่มชาด้วยสีหน้าเรีบเฉย
แน่นอนว่าหลิงเถี่ยหานย่อมติดตามมานั่งอยู่ข้างๆ เมื่อได้ลิ้มรสชาชั้นเลิศที่มาจากต้าฉู่ หลิงเถี่ยหานก็อดถอนใจพลางเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นตระกูลมู่หรง ใบชาอ่อนชั้นเลิศที่หอมหวนนี้ แม้แต่ที่ต้าฉู่ก็ยังพบได้น้อยกระมัง”
สวีชิงเฉินอมยิ้มเอ่ยว่า “พี่หลิงชอบหรือ ไว้ข้าให้คนนำไปให้พี่หลิงสองห่อก็แล้วกัน”
หลิงเถี่ยหานเลิกคิ้ว “ซีเป่ยมีชาเช่นนี้อยู่เยอะหรือ” ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นไปได้ ชาประเภทนี้ที่ต้าฉู่เองก็มีอยู่ไม่มาก ถึงแม้ยามนี้ทั้งต้าฉู่กับซีเป่ยมีการทำการค้าระหว่างกัน แต่อันที่จริง มีสินค้าบางอย่างที่ไม่อนุญาตให้ส่งไปยังซีเป่ย หนึ่งในนั้นรวมถึงชาที่ได้ชื่อว่าหอมอันดับหนึ่งของต้าฉู่ สินค้าเหล่านี้อันที่จริงมิได้ส่งผลอันใดต่อซีเป่ย เป็นเพียงสิ่งที่ม่อจิ่งฉีต้องการทำเพื่อแสดงถึงความรังเกียจที่มีต่อม่อซิวเหยาเท่านั้น
สวีชิงเฉินยิ้มเรียบๆ “หาใช่เช่นนั้นไม่ เมื่อตอนเข้าฤดูใบไม้ผลิใหม่ๆ มีเข้ามาในซีเป่ยจำนวนหนึ่ง หลีเอ๋อร์ส่งมาให้ข้าสามสี่ห่อ เพียงแต่ชาประเภทนี้…หอมก็หอมอยู่หรอก แต่กลิ่นแรงเกินไปจนกลบกลิ่นหอมอ่อนๆ ของตัวใบชาไป คนในบ้านพวกเราไม่ค่อยชื่นชอบกันนัก ดังนั้นที่ข้าจึงมีอยู่มากหน่อย”
มุมปากหลิงเถี่ยหานกระตุกขึ้นเล็กน้อย เช่นนั้นเป็นเพราะท่านไม่ชื่นชอบถึงให้ข้า? “ข้ารู้แล้ว คนเป็นบัณฑิตเช่นพวกท่านมักเลือกมากกันสินะ มิใช่เพียงต้องเป็นชาชั้นเลิศเท่านั้น แม้แต่ชาชั้นเลิศยังต้องแบ่งออกเป็นสาม หก เก้าระดับอีก”
สวีชิงเฉินยิ้มแต่ไม่ตอบอันใด
บ่าวไพร่ที่คอยยืนรับใช้อยู่กลับมากันเหงื่อตก พวกเขาได้รับคำสั่งจากคุณหนูให้ยกน้ำชาที่ดีที่สุดมาให้คุณชายชิงเฉิน ผู้ใดเลยจะรู้ว่าคุณชายชิงเฉินจะไม่ชอบใจชาประเภทนี้ จึงไม่รู้ว่าควรจะทำผิดเช่นนี้ต่อไปหรือควรจะเปลี่ยนชาถ้วยใหม่ให้คุณชายชิงเฉินดี
“ฮ่าๆ…คุณชายชิงเฉิน คุณชายชิงเฉินให้เกียรติมาเป็นแขก ช่างทำให้บ้านตระกูลมู่หรงของข้าสว่างไสวขึ้นยิ่งนัก” ประมุขตระกูลมู่หรงกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะอันดังก้อง ประหนึ่งเป็นเจ้าบ้านที่ดีที่ต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น
ข้างกายเขามีมู่หรงหมิงเหยียนที่มีผ้าโปร่งบางบิดหน้าเดินตามมา มองสวีชิงเฉินพร้อมยิ้มอย่างอ่อนหวานและใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง แต่ความอ่อนหวานและเป็นกันเองเช่นนี้กลับทำให้คนนอกที่อยู่ ณ ที่นั้น อย่างสวีชิงเฉินและหลิงเถี่ยหานต่างพากันรู้สึกขนลุกจนขึ้นเป็นหนังไก่
สวีชิงเฉินอมยิ้ม “ท่านประมุขมู่หรงเกรงใจแล้ว ไม่รู้ว่าที่ท่านประมุขมู่หรงเชิญให้ข้าน้อยมาในวันนี้ ด้วยเพราะมีอันใดจะชี้แนะหรือ”
ประมุขตระกูลมู่หรงเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “คุณชายชิงเฉินช่างเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก ข้าก็จะไม่อ้อมค้อม ได้ยินว่าคุณชายชิงเฉินอายุกว่าสามสิบปีแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน?”
สีหน้าสวีชิงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาครึ่งล่างดูบึ้งตึงลงไป เอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นเช่นนั้นจริง”
ประมุขตระกูลมู่หรงเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยความพอใจว่า “คุณชายชิงเฉินเห็นว่าหมิงเหยียนของตระกูลข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
มู่หรงหมิงเหยียนหน้าแดงก่ำ เหลือบมองสวีชิงเฉินด้วยความเขินอายทีหนึ่ง แต่กลับเห็นว่าสวีชิงเฉินมองจ้องถ้วยชาตรงหน้าด้วยความสงบนิ่ง แม้แต่จะปรายตามองนางสักนิดก็ไม่มี ทำให้นางอดรู้สึกสะอึกขึ้นมาในใจเล็กน้อยไม่ได้ ด้วยความรู้สึกน้อยใจ ขอบตานางก็ร้อนผ่าวและแดงก่ำขึ้นทันที
หลิงเถี่ยหานที่นั่งอยู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ส่งยิ้มไปทางสวีชิงเฉินด้วยสายตาล้อเลียน ด้วยสีหน้าที่พร้อมรอดูเรื่องสนุกๆ
สวีชิงเฉินในยามนี้กลับมิได้มีสภาพจิตใจที่ดีนัก เหตุผลก็เป็นเพราะม่อซิวเหยา เดาความคิดของประมุขตระกูลมู่หรงออก แค่เพียงว่าหากกลับไปจะต้องถูกม่อซิวเหยาที่มีนิสัยเลวร้ายผู้นั้นหัวเราะเยาะเพียงใด อารมณ์คุณชายใหญ่ตระกูลสวีก็คงจะดีไปมิได้
เดิมทีบนใบหน้าของประมุขตระกูลมู่หรงมีรอยแย้มยิ้มด้วยความมั่นใจ เมื่อเห็นสวีชิงเฉินนิ่งเงียบไม่ตอบอยู่เป็นนาน รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป
ครู่ใหญ่ สวีชิงเฉินถึงได้เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ขอบคุณความประสงค์ดีของท่านประมุขมู่หรงมาก ยามนี้ข้าน้อยยังมิได้ตั้งใจที่จะแต่งภรรยา เกรงว่าคงทำให้ความประสงค์ดีของท่านต้องผิดหวังเสียแล้ว”
ประมุขตระกูลมู่หรงฝืนยิ้ม “โบราณว่าไว้ จัดการเรื่องในบ้านให้ดี แล้วค่อยบริหารบ้านเมือง ใต้หล้าจะได้สุขสงบ คุณชายอายุกว่าสามสิบปีแล้ว แต่ยังไม่ได้สร้างครอบครัว ควรจะลองคิดเรื่องนี้ให้ดีแล้ว”
สวีชิงเฉินยิ้ม “ท่านประมุขสั่งสอนได้ถูกต้อง หลายปีนี้ข้าน้อยพากเพียรแต่การพัฒนาตนเอง น่าเสียดายที่ข้าโง่เขลา จึงไม่ได้อันใดเป็นชิ้นเป็นอัน”
หลิงเถี่ยหานที่ฟังอยู่ยังอดลอบหัวเราะไม่ได้ เพียงแต่เขาฝึกวิทยายุทธมาอย่างล้ำลึก ทั้งยังมีความอดกลั้นเพียงพอ จึงฝืนกดเสียงหัวเราะของตนกลับลงไปได้
ประมุขตระกูลมู่หรงเอ่ยว่า จัดการเรื่องในบ้านให้ดี แล้วค่อยบริหารบ้านเมือง สวีชิงเฉินกลับตัดบทเพิ่มเรื่องการพัฒนาตนเองเข้าไปข้างหน้าเอง คนโบราณกล่าวไว้ว่า พัฒนาตนเอง จัดการเรื่องในครอบครัวให้ดี แล้วค่อยไปบริหารบ้านเมือง คุณชายใหญ่ตระกูลสวีกำลังทุ่มเทให้กับการพัฒนาตนเอง จึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องการจัดการในบ้าน
การปฏิเสธเช่นนี้ ถือว่าชัดเจนเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นการพูดต่อหน้าหลิงเถี่ยหานอีกด้วย ซึ่งแทบจะเป็นการตัดโอกาสความเป็นไปได้ของตระกูลมู่หรงที่จะเลือกตัวเลือกอีกทางหนึ่งไปทันที
สีหน้าประมุขตระกูลมู่หรงบึ้งตึงลง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ถ้าเช่นนั้น เมื่อคืนเหตุใดคุณชายชิงเฉินถึงได้อยู่ในห้องตามลำพังสองต่อสองกับหมิงเหยียน หรือว่าคุณชายใหญ่ตระกูลสวีที่ศึกษาเล่าเรียนมาอย่างสมบูรณ์พร้อม จะไม่รู้ว่าชายหนุ่มกับหญิงสาวไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกัน ไม่รู้ถึงความสำคัญของชื่อเสียงของหญิงสาว หรือว่าเรื่องนี้ คุณชายชิงเฉินไม่คิดที่จะมีคำอธิบายอันให้กับตระกูลมู่หรงของข้า”
“อธิบาย?” สวีชิงเฉินขมวดคิ้ว มองประมุขตระกูลมู่หรงและมู่หรงหมิงเหยียนด้วยความงุนงง นัยน์ตาที่นิ่งสงบเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและงุนงงสงสัยอย่างแท้จริง จนทำให้ทั้งสองมิอาจรักษาสีหน้าเอาไว้ได้
สวีชิงเฉินเอ่ยว่า “เมื่อคืนเป็นคุณหนูมู่หรงเองที่มาเยี่ยมข้าถึงห้อง เดิมทีข้าน้อยตั้งใจจะพูดคุยกับนางเพียงที่หน้าประตู เพียงแต่คุณหนูมู่หรงยืนยันที่จะเข้ามาพูดคุยกับข้าน้อยเป็นการส่วนตัว หรือว่าท่านประมุขมู่หรงเห็นว่า พวกเราควรต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันอยู่ที่หน้าประตู ให้คนผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าจะดีกว่า? อีกอย่าง…ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการพูดคุยเป็นการส่วนตัว ฐานะของข้าน้อย ท่านประมุขมู่หรงก็น่าจะรู้ดี ข้าน้อยกล้ารับประกันได้ว่า ภายในห้องนั้นมีคนอยู่ไม่น้อยกว่าสี่คน อีกทั้ง ข้าน้อยก็มิได้แตะต้องตัวคุณหนูมู่หรงเลยแม้แต่ปลายเล็บ”
มู่หรงมิงเหยียนทั้งอับทั้งอาย เอ่ยทั้งน้ำตารื้นว่า “คุณชายชิงเฉิน หมิงเหยียนไม่เข้าตาท่านถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
สวีชิงเฉินขมวดคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “ขอโทษด้วย”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธอย่างหนักแน่น
หลิงเถี่ยหานกำลังคิดในใจว่า ตนควรจะพูดอันใดสักหน่อยหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องนำสวีชิงเฉินที่ครบถ้วนสามสิบสองกลับออกไปจากบ้านตระกูลมู่หรงให้ได้ คนอื่นๆ เขาไม่คิดมองพวกเขาอยู่ในสายตา กลัวแต่เพียงตาเฒ่าประหลาดมู่หรงสยงจะออกมาลงมือกะทันหันเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นวันนี้พวกเขาก็น่าเป็นห่วงจริงๆ เสียแล้ว
ประมุขตระกูลมู่หรงหน้าบึ้งตึงลง จ้องไปทางสวีชิงเฉิน “ต่อให้คุณชายชิงเฉินไม่ใคร่ครวญเพื่อตนเอง ก็ควรใคร่ครวญเผื่อติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องสักหน่อยกระมัง”
สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้น “ที่ท่านประมุขมู่หรงเอ่ยเช่นนี้ ได้โปรดอภัยด้วย ข้าน้อยไม่เข้าใจ”
ประมุขตระกูลมู่หรงหัวเราะเยาะทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ตระกูลมู่หรงของข้าไม่เพียงครอบครองการค้ากว่าหกส่วนของซีหลิงเท่านั้น แม้แต่ต้าฉู่ รวมถึงซีเป่ย เมืองหลี ก็มีการทำการค้าอยู่ไม่น้อย จะว่าไป…เหมืองเหล็กของซีเป่ย ล้วนซื้อหามาจากต้าฉู่และซีหลิงทั้งหมดกระมัง บังเอิญว่า…เหมืองเหล็กที่ในเมืองหลีของท่านซื้อมา มีอยู่เจ็ดส่วนที่ซื้อหามาจากซีหลิงและตระกูลมู่หรง”
หากเป็นคนทั่วไป บางทีตลอดทั้งชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องเหล็กมากมายสักเท่าไร แต่ทว่า สำหรับตำหนักติ้งอ๋องที่กองทัพขนาดใหญ่เกือบล้านนายนั้น หากไม่มีเหมืองเหล็ก ก็เท่ากับไม่มีอาวุธ ดังนั้นเรื่องเหมืองเหล็กสำหรับซีเป่ยแล้ว จึงถือเป็นปัญหาที่สำคัญมากทีเดียว
ตระกูลมู่หรงเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า จะมองไม่เห็นถึงกำไรอันงดงามเช่นนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ที่ซีเป่ยเพิ่งประกาศตัดขาดกับต้าฉู่ ตระกูลมู่หรงก็เป็นฝ่ายติดต่อไปยังตำหนักติ้งอ๋องก่อนแล้ว
สวีชิงเฉินหลุบตาลง มิได้พูดอันใด หากประมุขตระกูลมู่หรงมองเห็น ก็จะเห็นรอยขบขันอย่างเยาะหยันและความแข็งเย็นในแววตาอันเย็นเรียบของเขา
น่าเสียดายที่ประมุขตระกูลมู่หรงมิได้เห็น และด้วยเพราะเหตุนี้ เขาจึงถือเอาอาการนิ่งเงียบของสวีชิงเฉินเป็นการรอมชอม จึงพยักหน้าอย่างเป็นต่อ หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉินจะลองไตร่ตรองให้ดีดูก่อนสักรอบดีหรือไม่ ตระกูลมู่หรงของข้า ถึงแม้จะเป็นตระกูลพ่อค้าแต่ก็ร่ำรวยเสียยิ่งกว่าแคว้น เมื่อแต่งเข้าตระกูลมู่หรงแล้ว ต่อไปคุณชายชิงเฉินก็จะเป็นประมุขตระกูลรุ่นต่อไป จะไม่ดีกว่าการเป็นเพียงที่ปรึกษาใต้การปกครองของติ้งอ๋องเป็นร้อยเป็นพันเท่าหรือ”
“แค่กๆ…” คำพูดที่น่าตกใจเช่นนี้ แม้แต่หลิงเถี่ยหานที่สุขุมประหนึ่งหินผายังแทบต้องสำลักน้ำชา
หลิงเถี่ยหานมองประมุขตระกูลมู่หรงด้วยความเลื่อมใส ต้องการให้สวีชิงเฉินแต่งเข้า? ตาเฒ่านี่ช่างกล้าคิดเสียจริง…หากสวีชิงเฉินไม่เล่นงานเจ้าตาย ข้าจะยกสำนักเยี่ยนอ๋องให้เจ้าเลย
หลิงเถี่ยหานและสวีชิงเฉินรู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้ว ถึงแม้ตามปกติจะมิค่อยได้พบหน้ากันสักเท่าไร แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่เขาจะรู้จักและเข้าใจสวีชิงเฉินเป็นอย่างดี ด้วยเพราะเรื่องนี้เป็นบทเรียนที่เขาได้จากประสบการณ์ที่ได้ประสบพบเจอมาตลอดชีวิต
สุดท้าย ทั้งสองก็ถูกส่งกลับออกมาด้วยความเกรงใจโดยบ่าวไพร่ของตระกูลมู่หรง ตลอดทางพวกเขามีท่าทีประจบสอพลอสวีชิงเฉินเป็นอย่างมาก ดูท่า บ่าวไพร่ตระกูลมู่หรงจะมั่นใจแล้วว่า คุณชายชิงเฉินจะเป็นบุตรเขยในอนาคตของตระกูลมู่หรง
จนเมื่อออกมาไกลจากตระกูลมู่หรงมาพอสมควรแล้ว ในที่สุดหลิงเถี่ยหานก็หัวเราะพรืดออกมาอย่างอดไม่อยู่ จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดังใส่หน้าสวีชิงเฉิน
สวีชิงเฉินมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ เอ่ยถามเรียบๆ ว่า “น่าขันมากหรือ”
หลิงเถี่ยหานยอมรับอย่างเปิดเผย “ไม่เลวทีเดียว หลายปีมานี้…ถือว่าในที่สุดคุณชายชิงเฉินก็ได้สร้างความบันเทิงให้ข้าสักครั้งหนึ่งแล้ว”
ตามปกติ คุณชายชิงเฉินมักมองเรื่องขำขันของผู้อื่นด้วยสีหน้าประหนึ่งพระจันทร์อันสว่างสดใสท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ครานี้ถือว่าถึงคราผู้อื่นดูเรื่องน่าขบขันของเขาบ้างแล้ว ถูกคนบังคับให้แต่งเข้านี่…หากข่าวนี้แพร่ออกไป ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่ตกใจจนอ้าปากค้าง
สวีชิงเฉินเหลือบมองเขาทีหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปทางเข้าเมือง
หลิงเถี่ยหานมองแผ่นหลังของเขา ยกมือลูกคาง ก่อนผลักน้องรองกับน้องสามที่รอเขาอยู่ที่ลานชุมนุมไปไว้ที่หลังสมอง แล้วออกเดินตามเขาไปด้วยสีหน้าคาดหวัง
สวีชิงเฉินไม่เป็นวรยุทธ จึงทำได้เพียงค่อยๆ เดินกลับไป หลิงเถี่ยหานจึงเดินเรื่อยๆ ตามเขาไปได้สบายๆ “คุณชายชิงเฉินคิดออกหรือยังว่าจะรับมือกับตระกูลมู่หรงเช่นไร หรือว่าเตรียมที่จะแต่งเข้าตระกูลมู่หรงไปเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า?”
สวีชิงเฉินหยุดฝีเท้าลง มองสำรวจเขาอย่างใช้ความคิด