เจ้าสำนักหลิงรีบลอยตัวถอยห่างไปหลายฉื่อด้วยความระมัดระวัง “ท่านคิดจะทำอันใด ข้าเอาชนะตาเฒ่าประหลาดตระกูลมู่หรงนั่นไม่ได้หรอกนะ”
สวีชิงเฉินอมยิ้มเอ่ยว่า “มีคนบอกข้าว่า ขอเพียงมีอีกคนหนึ่งที่เป็นยอดฝีมือระดับเดียวกับเจ้าสำนักหลิง ก็เพียงพอที่จะต่อกรกับมู่หรงสยงได้แล้ว”
“ม่อซิวเหยา!” หลิงเถี่ยหานกัดฟันเอ่ย ปรายตามองสวีชิงเฉินทีหนึ่ง “ไม่มีปัญหา เรียกม่อซิวเหยาให้มาด้วยตนเอง ข้าเองก็อยากจะดูว่าเขาก้าวหน้าขึ้นอีกหรือไม่ อีกอย่าง หากข้าช่วยท่านต่อกรกับตระกูลมู่หรง ข้าจะได้ประโยชน์อันใด”
สหายก็ส่วนสหาย เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน เรื่องใหญ่เช่นการต่อกรกับตระกูลมู่หรงเช่นนี้ หากไม่ได้ประโยชน์อันใด เขาไม่มีทางออกแรงอย่างแน่นอน
สวีชิงเฉินยืนเอามือไพล่หลัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “แน่นอนว่าย่อมไม่ทำให้พี่หลิงผิดหวัง เพียงแต่…การรับมือกับตระกูลมู่หรงมีเพียงท่านกับข้ายังไม่เพียงพอ จำต้องมีผู้ร่วมมืออีกคนหนึ่ง”
หลิงเถี่ยหานขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงขรึมว่า “เหลยเจิ้นถิง?”
การที่ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักเยี่ยนอ๋องตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังดันตัวเองให้ขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้าได้ หลิงเถี่ยหานย่อมไม่โง่เขลา เมื่อต้องการต่อกรกับศัตรูตัวฉกาจของตระกูลมู่หรงที่แม้แต่ราชวงศ์อย่างเกรงกลัวภายในอาณาเขตซีหลิงนั้น หากทางการไม่ยินยอม ย่อมต้องมีความลำบากอย่างหนัก
“เหลยเจิ้นถิงจะร่วมมือกับท่านหรือ ความแค้นระหว่างเขากับม่อหลิวฟางเป็นที่รู้กันไปทั่วใต้หล้า”
“ในโลกนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เหลยเจิ้นถิงจะมาหาพวกเราด้วยตนเอง”
เขาเอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเบาๆ ก่อนสวีชิงเฉินจะเดินตัวปลิวจากไป ทิ้งให้หลิงเถี่ยหานที่ยังยืนอยู่กับที่ ได้แต่ส่ายศีรษะ ถอนใจด้วยความจนใจ “ดูท่าชะตาของตระกูลมู่หรงคงใกล้จะจบสิ้นลงจริงๆ เสียแล้ว มิเช่นนั้นจะมาล่วงเกินท่านเทพท่านนี้ได้อย่างไร”
“ท่านอ๋อง” เจิ้นหนานอ๋องมองการประลองยุทธบนเวทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เหลยเถิงเฟิงที่นั่งอยู่ด้านหลังเขารู้ดีว่า จิตใจของเสด็จพ่อมิได้อยู่บนเวทีนั้นเสียนานแล้ว
“ว่าอย่างไร” เจิ้นหนานอ๋องหันไปเอ่ยถามองครักษ์ชุดแพรที่อยู่ด้านหน้าตน
องครักษ์ชุดแพรเอ่ยเสียงเบาว่า ”เพิ่งได้รับข่าวเมื่อครู่ ตระกูลมู่หรงคิดจะให้คุณชายชิงเฉินแต่งเข้าตระกูลพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องอึ้งไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะอย่างรวดเร็ว “พวกเขาช่างคิดกันได้สวยหรูเสียจริงๆ สวีชิงเฉินมีท่าทีเช่นไร”
องครักษ์ชุดแพรเอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉินดูเหมือนจะไม่เห็นด้วย เมื่อครู่ยามที่กลับออกมา สีหน้าคุณชายชิงเฉินดูมิค่อยดีนัก ยามนี้ตรงกลับเข้าเมืองไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องก้มหน้าลง นิ่งใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่
เหลยเถิงเฟิงเอ่ยเสียงต่ำว่า “สวีชิงเฉินมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเกิดในตระกูลบัณฑิต จะต้องมีความทระนงตนอย่างสูง คงเป็นการยากมากที่จะตอบรับข้อเสนอนี้”
เจิ้นหนานอ๋องขมวดคิ้ว ผินหน้าไปเอ่ยถามเหลยเถิงเฟิงว่า “เถิงเฟิง หากเจ้าเป็นสวีชิงเฉิน เจ้าจะตอบรับหรือไม่”
เหลยเถิงเฟิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “เรียนเสด็จพ่อ ลูกจะตอบรับพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องยิ้มพลางพยักหน้า “ที่เจ้าพูดถือว่าเป็นความสัจจริง ไปกันเถิด กลับเมือง!”
เจิ้นหนานอ๋องลุกยืนขึ้น หมุนตัวเดินออกจากลานประลอง
เหลยเถิงเฟิงย่อมรีบลุกตามไปทันที
เหลิ่งหลิวเย่ว์เมื่อเห็นทั้งสองเดินออกไป ก็หันกลับมามองเก้าอี้ด้านหน้าที่ว่างไปแล้วกว่าครึ่ง หยุดคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “น้องสาม พวกเราก็ไปกันเถิด”
บัณฑิตขี้โรคไม่มีทางบอกปัดคำพูดของเหลิ่งหลิวเย่ว์ พยักหน้าก่อนลุกขึ้นเดินตามออกไป
เหรินฉีหนิงที่ประลองยุทธอยู่ด้านบนเวที เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นที่นั่งว่างเปล่าทางด้านล่าง นัยน์ตาก็เป็นประกายวาบขึ้น ใช้ดาบโจมตีกลับจนคู่ต่อสู้กระเด็นตกจากเวที เหรินฉีหนิงที่ยืนอยู่บนเวที มองไปทางบ้านตระกูลมู่หรงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลอย่างใช้ความคิด
เมื่อสวีชิงเฉินขอตัวจากหลิงเถี่ยหานแล้ว ก็กลับมาเดินรอบๆ เมืองอยู่พักใหญ่ถึงได้กลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พักชั่วคราวของตน เพียงเข้าไปในห้องก็เห็นว่าด้านในมีคนสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว สวีชิงเฉินยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด เงาคนสามสี่คนข้างกายก็พุ่งตัวออกไปกันแล้ว
เจิ้นหนานอ๋องย่อมไม่เห็นองครักษ์ลับเหล่านี้อยู่ในสายตา ยิ้มเยาะทีหหนึ่งก่อนวางถ้วยชาลง พุ่งฝ่ามือออกไปเบาๆ
องครักษ์กลุ่มนั้นดูจะรู้ตัวดีว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ร่างเหล่านั้นพุ่งตัวตัดกัน ชั่วพริบตาประหนึ่งสายฟ้า องครักษ์สองนายก็เข้าขวางเจิ้นหนานอ๋อง อีกสองคนก็พุ่งตัวเข้าใส่เหลยเถิงเฟิงที่อยู่อีกด้านทันที ส่วนด้านหลังสวีชิงเฉิน ก็มีร่างสองร่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง เข้าขวางหน้าสวีชิงเฉินไว้
“หยุดก่อน” สวีชิงเฉินเอ่ยปากห้ามขึ้น
ยังไม่ทันสิ้นเสียง องครักษ์กลุ่มนั้นก็เก็บท่าทางการโจมตี ถอยไปยืนตัวตรงอยู่ที่ด้านหนึ่ง
เจิ้นหนานอ๋องปรบมือ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดี ไม่เสียแรงที่เป็นองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋อง ไม่เสียชื่อเลยจริงๆ คุณชายชิงเฉิน ข้ามาเยี่ยมเยียนโดยพลการ ได้โปรดอภัยด้วย”
สวีชิงเฉินเดินออกมาจากด้านหลังองครักษ์ โบกมือกล่าวว่า “ออกไปก่อนเถิด ที่เจิ้นหนานอ๋องมาในครานี้ มิได้มีประสงค์ร้าย”
“ข้าน้อยขอตัว” องครักษ์ลับกลุ่มนั้นก็ไม่รั้งรอ ถอยออกไปอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งของสวีชิงเฉิน
คิ้วคมของเจิ้นหนานอ๋องเลิกขึ้น อดมองคุณชายชิงเฉินที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนประหนึ่งหยกและพลิ้วไหวประหนึ่งสายลมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปไม่ได้ “อ้อ? คุณชายชิงเฉินมั่นใจได้อย่างไรว่าข้ามิได้ประสงค์ร้าย”
สวีชิงเฉินยิ้มเอ่ยว่า “หากเจิ้นหนานอ๋องต้องการจะลอบสังหารข้าน้อย จะกระทำที่ใดก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องมารอที่ห้องพักในโรงเตี๊ยมเช่นนี้”
เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้า “ไม่เลว ข้าช่างอิจฉาติ้งอ๋องเสียจริง ที่ไม่เพียงมีคนฉลาดเช่นคุณชายชิงเฉินไว้คอยแบ่งเบา บรรดาลูกน้องต่างก็ฝึกฝนมาได้เป็นอย่างดี เดิมทีข้ายังคิดจะเข้ามาโดยไร้ซุ่มเสียง แต่ไม่คิดว่าจะถูกคนพบเข้าเสียได้ ที่ยากยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขาสามารถควบคุมตนเองไว้ได้อีกด้วย”
สวีชิงเฉินเดินไปนั่งลงตรงข้ามเจิ้นหนานอ๋อง หยิบถ้วยขาลายครามขึ้นรินชาให้ตนเอง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว”
สวีชิงเฉินยิ้มให้เจิ้นหนานอ๋อง “ข้าน้อยรู้ว่าที่เจิ้นหนานอ๋องมาที่นี่ด้วยเพราะธุระอันใด ข้าน้อยยังไม่คิดที่จะขายตนเองให้กับผู้ใด”
เจิ้นหนานอ๋องยกยิ้มอย่างประหลาด “ตระกูลมู่หรงร่ำรวยเสียยิ่งกว่าแคว้น”
สวีชิงเฉินยิ้มเรียบๆ “ความมั่งคั่งที่ร่ำรวยเสียยิ่งกว่าแคว้น ก็ต้องเป็นความร่ำรวยกับคนที่สามารถใช้ความร่ำรวยนั่นได้ถึงจะเกิดประโยชน์ หากคนผู้นั้นจำเป็นต้องการเงินเพียงหนึ่งแสนตำลึง ก็สามารถทำให้เขาใช้ชีวิตได้อย่างฟุ่มเฟือยไปชั่วชีวิตแล้ว เช่นนั้น…เงินหนึ่งล้านตำลึงจะมีความหมายอันใดสำหรับเขา เงินทองจำนวนมาก หากมากถึงระดับหนึ่งก็เป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น”
เจิ้นหนานอ๋องหรี่ตาลง มองประเมินสวีชิงเฉินแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เข้าใจความหมายของคุณชาย”
สวีชิงเฉินยิ้ม “ฐานะของข้าในยามนี้ ถือว่าขาดเงินอยู่มาก เงินแสนเงินสิบล้านก็ไม่ถือว่ามาก แต่หากเปลี่ยนเป็นอีกฐานะหนึ่ง แค่แปดพันหรือหนึ่งหมื่นก็เพียงพอแล้ว”
เจิ้นหนานอ๋องตาเป็นประกาย ประสานมือเอ่ยว่า “คุณชายช่างหลักแหลม หากไม่ได้คนเช่นคุณชายมาคอยช่วยแบ่งเบา ข้าจะต้องนึกเสียใจไปตลอดชีวิต ติ้งอ๋องช่างวาสนาดีนัก”
คำพูดของสวีชิงเฉินเข้าใจง่ายเป็นอย่างยิ่ง เขาในยามนี้เป็นบุคคลสำคัญของซีเป่ย มีอำนาจการบริหารซีเป่ยอยู่ในมือ การบริหารอาณาเขตอาณาเขตหนึ่ง แน่นอนว่ายิ่งมีเงินมากก็ถือว่ายิ่งดี แต่ตัวคุณชายชิงเฉินเองกลับมิได้ให้ความสำคัญกับเงินทอง
เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกับเขาว่า “ดูเหมือนคุณชายชิงเฉินจะไม่ตกใจกับการมาเยี่ยมเยียนของข้า หรือว่า…คุณชายชิงเฉินตั้งใจรอให้ข้ามาหาถึงที่อยู่แล้ว”
สวีชิงเฉินยิ้มเรียบๆ “เมื่อครู่ข้าน้อยได้เอ่ยกับเจ้าสำนักหลิงประโยคหนึ่งว่า ในโลกนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร ยามนี้ขอเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่ถาวร อย่างน้อยยามนี้ เป้าหมายของท่านกับข้าก็คือสิ่งเดียวกันมิใช่หรือ หรือว่า…เจิ้นหนานอ๋องเห็นว่าข้าน้อยไม่มีความสามารถที่จะคว้าตระกูลมู่หรงมาไว้ในมือได้”
“ไม่มีมีแท้และศัตรูที่ถาวร มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่ถาวร? เฉียบคม!” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยชื่นชม
“จำผู้อื่นเขามาพูดเท่านั้น แค่เพียงบังเอิญเคยได้ยินพระชายาพูดขึ้นมา รู้สึกว่าช่างเหมาะกับการใช้ในสถานการณ์นี้ยิ่งนัก มิใช่หรือ” สวีชิงเฉินจิบชาพลางเอ่ยถามขึ้น
“ชายาติ้งอ๋องหรือ…ชายาติ้งอ๋องช่างเป็นสตรีประหลาดที่หาได้ยากในโลกนี้จริงๆ ในเมื่อคุณชายชิงเฉินมีความมั่นใจที่จะสามารถกุมตระกูลมู่หรงไว้ในมือได้ เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องร่วมมือกับข้าด้วยเล่า” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยถาม
“เสียเวลา” สวีชิงเฉินเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ แน่นอนว่าเขาสามารถจัดการตระกูลมู่หรงทั้งตระกูลได้ แต่นั่นจำเป็นต้องใช้เวลา มิใช่เพียงสิบวันหรือครึ่งเดือน เกรงว่าภายในสามปีห้าปีก็อาจจะไม่สำเร็จได้โดยง่าย แต่ในยามนี้ หากม่อซิวเหยายอมปล่อยสวีชิงเฉินออกมานานถึงเพียงนั้นเพื่อจัดการกับตระกูลมู่หรง เกรงว่าเขาคงยินดีที่จะจุดไฟเผาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลมู่หรงให้ราบคาบเสียมากกว่า หากคุณชายชิงเฉินไปแล้ว ผู้ใดจะช่วยเขาจัดการงานราชการ ใช้สมองจัดการชีวิตของชาวบ้านและประชาชนเล่า
เจิ้นหนานอ๋องหลุบตาลงใคร่ครวญถึงคำพูดของสวีชิงเฉิน หากเป็นไปได้ เขาไม่มีทางยอมร่วมมือกับสวีชิงเฉินเป็นอันขาด การร่วมมือนั้นก็เท่ากับว่า ประโยชน์ที่ได้รับจะไม่สามารถนำมาใช้แต่เพียงผู้เดียวได้ แต่ผลประโยชน์โดยมากของตระกูลมู่หรงล้วนอยู่ในซีหลิง เดิมทีก็เป็นของซีหลิงอยู่แล้ว แต่หากไม่เห็นด้วย เจิ้นหนานอ๋องก็ไม่นึกสงสัยแม้แต่น้อยว่า ต่อให้สวีชิงเฉินไม่ยินดีเป็นเขยที่แต่งเข้าตระกูลมู่หรง เขาก็มีทางที่จะทำลายตระกูลนั้นลงด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีต้าฉู่อยู่ หากบีบตระกูลมู่หรงจนไปเข้ากับต้าฉู่ เช่นนั้นก็คงยิ่งได้ไม่คุ้มเสีย
ครู่ใหญ่ เจิ้นหนานอ๋องถึงได้เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามว่า “คุณชายชิงเฉินอยากได้สิ่งใด”
สวีชิงเฉินเผยรอยยิ้มสบายๆ ออกมาด้วยความพอใจ “กิจการทั้งหมดของตระกูลมู่หรงที่อยู่ในซีเป่ย ให้ตกเป็นของตำหนักติ้งอ๋องทั้งหมด ส่วนที่อยู่ในอาณาเขตซีหลิง…ข้าน้อยก็มิได้ต้องการมากมาย เพียงสามส่วนเป็นของตำหนักติ้งอ๋อง หนึ่งส่วนเป็นของสำนักเยี่ยนอ๋อง”
เจิ้นหนานอ๋องหน้าบึ้งลงเล็กน้อย “ความกระหายของคุณชายชิงเฉินดูจะมากเกินไปสักหน่อยกระมัง” แค่เอ่ยปาก ก็ต้องการทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรงถึงสี่ส่วนเสียแล้ว เช่นนั่นก็เท่ากับกิจการถึงสองส่วนของทั้งซีหลิงทีเดียว
สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ความหมายของเจิ้นหนานอ๋องก็คือ ท่าน ตำหนักเจิ้นหนานอ๋องสามารถล้มตระกูลมู่หรงได้ด้วยตัวคนเดียว? หรือว่าเจิ้นหนานอ๋องสามารถมั่นใจได้ว่า ต้าฉู่ หนานจ้าวและเป่ยหรงจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง? ถึงแม้ครานี้ ราชวงศ์ของเป่ยหรงจะมิได้ส่งผู้ใดมา แต่ทว่า…ยามนี้อยู่ในถิ่นของเจิ้นหนานอ๋อง ข้าน้อยไม่เชื่อว่าเจิ้นหนานอ๋องจะไม่รู้ถึงความเคลื่อนไหวของเป่ยหรง แต่ถึงกระนั้น เจิ้นหนานอ๋องก็ยังมั่นใจว่าสามารถต่อกรกับมู่หรงสยงได้หรือ”