พี่สะใภ้รองจ้าวชะงัก “น้องหกให้พี่เขยคนนั้นยืมกระต่ายเหรอ?”

“ใช่น่ะสิ ตอนที่ฉันมาก็เห็นกับตาเลยนะ ดูเหมือนว่าจะให้หลายตัวเลยด้วย ใส่ในกรงขนขึ้นหลังรถไปแล้ว!” หลี่เฟินพยักหน้า

ปากบอกว่าเห็นด้วยตา แต่อันที่จริงแล้วหล่อนก็แค่ได้ยินมาอีกที ไม่ได้เห็นด้วยตัวเองสักหน่อย

พี่สะใภ้รองจ้าวเองก็เชื่อสนิทใจ มีความเป็นไปได้ที่พี่เขยหลิวจะนำกระต่ายกลับไป จ้าวเหวินเทาเลี้ยงกระต่ายไว้เยอะขนาดนั้น ขายให้พี่เขยหลิวสักสามสี่ตัวก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีเงินก็ค้างจ่ายไว้ก่อนได้ เขาเองก็ชอบค้างจ่ายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ

“ถ้าพี่เขยของฉันเปลี่ยนนิสัยเดิมก่อนหน้านี้ได้ อยู่บ้านตั้งใจเลี้ยงกระต่ายให้ดี ๆ ก็ไม่เลวนะ เมื่อเทียบกับไปเล่นพนัน ฉันว่ามันก็เป็นธุรกิจที่ดี” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดด้วยท่าทางของสะใภ้ใหญ่

ถึงอย่างไรกระต่ายก็ไม่ใช่ของหล่อน หล่อนย่อมเต็มใจที่จะทำตัวเป็นคนดีอยู่แล้ว

หลี่เฟินกลับพูดว่า “โรคติดการพนันนั่นไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของเธอก็น่าสงสารจริง ๆ ตอนนั้นทำไมถึงได้หาสามีแบบนั้นได้นะ? แถมยังรออีกตั้งสิบปี ผู้หญิงอย่างพวกเราชีวิตนี้จะมีเวลาอีกกี่สิบปีกันเชียว?”

พี่สะใภ้รองจ้าวก็ถอนหายใจ “ตอนที่ฉันเข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้ ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นก็แต่งงานออกไปแล้ว ฉันได้ยินแม่เล่าให้ฟังว่า ลุงของหล่อนเป็นคนหามาให้ บอกว่าที่บ้านจน มีพี่น้องหลายคน การแต่งงานเป็นเรื่องที่ดี เธอคงยังไม่รู้สินะ ตอนนั้นยิ่งจนยิ่งดี ยิ่งมีพี่น้องเยอะก็ไม่ถูกรังแก ถือว่าเป็นครอบครัวที่ดีจริง ๆ แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะติดการพนัน?”

หลี่เฟินกลับแต่งงานเข้ามาก่อนหล่อน จึงพอจะมีความทรงจำอยู่บ้าง หล่อนถอนหายใจ “ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของเธอดีมากเลยนะ เป็นพี่ใหญ่ ทำได้หมด แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับต้องเป็นแม่หม้ายถึงสิบปี ตอนแรกความจนก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่หรอก ตอนนี้ล่ะ ความจนไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย”

พี่สะใภ้รองจ้าวเองก็ถอนหายใจ “ชีวิตของคนเรามันคือโชคชะตา ไม่ยอมรับโชคชะตาไม่ได้หรอก!”

หลี่เฟินกล่าว “ใช่ไง ไม่งั้นบนเวทีแสดงจะพูดว่า ‘ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว และไม่มีใครสามารถตัดสินได้’ เหรอ? พวกเราก็ต้องยอมรับโชคชะตานั่นแหละ ไม่จริงจังไม่ได้หรอก เธอดูอย่างน้องสะใภ้คนนั้นของเธอสิ พ่อแม่ประคบประหงมตั้งแต่เด็ก ๆ มีให้กินให้ดื่มไม่ขาด พอแต่งงานกับน้องหกของเธอ แม้แต่ที่นาก็ไม่ต้องลงไปทำ ลูกคนแรกก็เป็นลูกชายอีก ตอนนี้ได้อยู่ในบ้านดี ๆ แบบนั้น แต่ละวันก็ทำแค่กล่อมลูกทำกับข้าว เรื่องดี ๆ อะไรก็เป็นของหล่อนหมด แล้วเธอหันไปดูน้องสะใภ้สี่คนนั้นสิ พ่อแม่ไม่รักตั้งแต่เด็ก ๆ มีลูกก็ดันได้ลูกสาวหมดทั้งสามคน ลูกยังเล็กก็ต้องลงไปทำนา ชีวิคคนเอามาเทียบกันไม่ได้จริง ๆ”

พวกหล่อนทั้งสองคนพูดออกนอกทะเลโดยไม่รู้ตัว

พี่สะใภ้รองจ้าวกลับเห็นด้วย “ใช่ ก็เหมือนกับพวกเราตอนนั้นนั่นแหละ คลอดลูกออกมาครึ่งเดือนไม่ต้องทำอะไรเลย แบบนั้นก็เรียกว่าดีถมเถแล้ว คนอื่นคลอดเสร็จวันรุ่งขึ้นต้องไปทำงานใช่ว่าจะไม่มี ถ้าพูดอย่างมีมโนธรรม แม่สามีของฉันก็ถือว่าดีแล้วนะ ยังจะมีอะไรไม่ดีอีก เฮ้อ แต่งงานก็เหมือนกับกระโดดลงไปในกองไฟจริง ๆ นั่นแหละ มีแต่ต้องทนทุกข์ล่ะมั้ง”

หลี่เฟินเริ่มถอนหายใจกับชีวิตตัวเอง “ไม่ต้องพูดให้ไกลขนาดนั้นหรอก ดูอย่างฉันเป็นตัวอย่างสิ ตอนแรกที่คลอดได้ลูกสาว ออกแรงไปตั้งเยอะ แม่สามีคนนั้นของฉันกลับรังเกียจที่ฉันได้ลูกสาว พูดพล่อย ๆ ว่าจมูกไม่ใช่จมูกหน้าไม่ใช่หน้า ตอนที่นั่งอยู่ไฟก็ได้ยินหล่อนขว้างหม้อด้วย หล่อนคงไม่รู้ว่าตอนนั้นฉันแอบนั่งปาดน้ำตาไปเท่าไหร่”

พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “ตอนนี้ก็ดีมากเลยไม่ใช่เหรอ”

หลี่เฟินแค่นเสียง “ตอนนี้ยังจะไม่ดีได้อีกเหรอ ตอนนี้ฉันไม่กลัวแล้ว!”

พี่สะใภ้สี่จ้าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ในหมู่บ้านของพวกเรามีขึ้น ๆ ลง ๆ ลูกสะใภ้หน้าเก่า ลูกสะใภ้หน้าใหม่ เมื่อเทียบกันแล้ว ดวงของน้องสะใภ้หกดีจริง ๆ ตอนที่ฉันไปดูตอนลูกของหล่อนอายุครบเดือน เด็กคนนั้นคือตัวขาวสะอาด สมกับชื่อว่าเสี่ยวไป๋หยางเลยจริง ๆ ไหนจะน้องสะใภ้หกอีก ไม่ได้ดูมอมแมมเหมือนคนเพิ่งคลอดลูกเลย น่าอิจฉาจริง ๆ”

ไม่เพียงแค่อิจฉา ยังแอบรู้สึกปวดใจด้วย

“นั่นสิ ฉันเองก็เห็นแล้ว ผิวขาวสะอาดทั้งแม่และลูกเลย ไม่งั้นจะพูดว่า ‘คนเทียบคนต้องตาย ของเทียบของต้องโยนทิ้ง’ ได้ยังไงล่ะ คำพูดของคนโบราณนี่ไม่ผิดเลยจริง ๆ เทียบไม่ได้ เทียบไม่ได้เลย” หลี่เฟินพูดว่าเทียบไม่ได้หลายครั้งติดต่อกัน

ภายในใจของพี่สะใภ้รองจ้าวคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ปากก็พูดไปว่า “เทียบไม่ได้พวกเราก็ไม่ต้องเทียบ ใช้ชีวิตให้ดีก็พอแล้ว!”

นี่มันอะไรกัน ใคร ๆ ก็เข้าใจเหตุผลได้ แต่น่าเสียดายที่ทำไม่ได้

“พอพูดถึงการใช้ชีวิต ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะใช้ชีวิตยังไง” หลี่เฟินถอนหายใจ “จะกินจะดื่มจะใส่เสื้อผ้าฉันก็ยังเสียดายเลย ผลลัพธ์ที่ได้ล่ะ? ยิ่งใช้ชีวิตก็ยิ่งสู้ไม่ได้ ขนาดเมิ่งต้าที่เป็นแบบนั้นยังซื้อที่ดินสร้างบ้านเลย แม้แต่ชุยต้าก็ซื้อที่ดินแล้ว สองคนนี้คนหนึ่งเป็นลูกติด ส่วนอีกคนก็จนขนาดที่ต้องไปขอข้าวเขากิน ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี กลับมีที่ดินสร้างบ้านแล้ว เธอว่า นี่มันเพราะอะไรกันล่ะ?”

ไม่ใช่ว่าหลี่เฟินจะดูถูกเมิ่งต้าและชุยต้าหรอก อันที่จริงสองคนนี้จนเกินไปด้วยซ้ำ จนถึงขั้นที่ว่าชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันที่จะลืมตาอ้าปากได้

แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แบบนี้จะให้พวกหล่อนที่มีบ้านเล็ก ๆ ทำใจยอมรับได้อย่างไรกัน?

“วันนี้ฉันเห็นพ่อชุยคนนั้นด้วย ดูดีมากเลย เดินบนถนนนี่เชิดหน้าขึ้นฟ้าเชียว คุยกับเขาเขายังไม่สนใจเลยด้วย แถมยังพูดด้วยนะ ปีหน้าลูกชายจะสร้างบ้านแล้ว เขากำลังยุ่งอยู่!” หลี่เฟินพูดพลางถ่มน้ำลายหนึ่งเสียง ทั้งยังพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “เขาจะไปยุ่งอะไร? ยุ่งอยู่กับการขนของไปให้น้องชายน่ะสิ? ลืมช่วงเวลาที่ขนถุงใบเล็กไปขอข้าวที่ทีมผลิตแล้วสินะ นั่นคืออาหารของพวกเราเลยนะ ไม่ใช่ของเล่น ๆ!”

พี่สะใภ้รองจ้าวฟังหลี่เฟินบ่นด้วยความไม่พอใจ ส่วนมือก็ยังตัดข้าวโพดไม่หยุด ในใจก็รู้สึกไม่ดี “ค้างจ่ายทั้งนั้นแหละ ขอแค่เธอค้างจ่ายก็มีปัญญาซื้อที่ดินสร้างบ้านเหมือนกัน และเธอก็สร้างบ้านได้ด้วย ของพวกนี้มีอะไรต้องอิจฉา พ่อของชุยต้าคนนั้นเป็นพวกมีตาแต่ไม่มีแวว เธอจะเอาตัวเองไปเทียบกับเขาทำไม?”

คำพูดปลอบใจนี้ไม่รู้ว่าปลอบใจหลี่เฟินหรือตัวเองกันแน่

“ต่อให้ค้างจ่ายก็ต้องมีคนยอมให้ค้างจ่ายด้วยนะ ดูสภาพของเมิ่งต้ากับชุยต้านั่นสิ?” หลี่เฟินกลอกตา ในคำพูดนั้นแฝงด้วยความดูถูก

“เด็กสองคนนั้นก็นิสัยดีมากนะ” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดสบาย ๆ “เมิ่งต้าเป็นคนไม่ค่อยพูด ส่วนชุยต้าก็เป็นคนซื่อตรง อนาคตมีภรรยาก็สร้างครอบครัวได้แล้ว แถมยังเลี้ยงครอบครัวได้ดีกว่าพ่อของเขาด้วย”

หลี่เฟินมีเหรอที่จะไม่รู้ว่าในหัวของพี่สะใภ้สี่จ้าวกำลังคิดอะไร พวกหล่อนคบกันมานานหลายปีแล้ว

หัวข้อสนทนาได้ถูกย้ายมาที่จ้าวเหวินเทา

“พวกเขาสามารถค้างจ่ายเพื่อซื้อที่ดินสร้างบ้านได้ก็เป็นเพราะน้องหกของเธอนั่นแหละ เธอเดาดูสิว่าน้องหกของเธอได้เงินมาเท่าไรกันแน่?” หลี่เฟินมองพี่สะใภ้รอง

เรื่องที่จ้าวเหวินเทาได้เงินมาเท่าไรนั้นเป็นประเด็นในหมู่บ้านมานานแล้ว ทั้งยังเป็นหัวข้อที่คนพูดถึงอยู่บ่อย ๆ

ก่อนหน้านี้จ้าวเหวินเทาเอาแต่คุยโวโอ้อวด เอะอะก็เอาแต่เรียกตัวเองว่าครัวเรือนหมื่นหยวน ทุกคนก็พากันหัวเราะเยาะเย้ย ภายหลังจ้าวเหวินเทาก็เริ่มปฏิบัติการอย่างดุเดือด ทุกคนที่ได้เห็นก็รู้สึกราวกับขึ้นรถไฟเหาะ

ดังนั้นครัวเรือนหมื่นหยวนจึงเท่ากับการ ‘ติดหนี้’ ไปแล้ว แต่คน ‘ติดหนี้’ กลับไม่เคยล้มเลย ทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยในใจ หรือว่าเขาจะได้เงินก้อนใหญ่จริง ๆ?

ทำเอาพวกเขาที่ครุ่นคิดถึงกับเกาหัว หลี่เฟินเองก็คือหนึ่งในนั้น รวมถึงพี่สะใภ้รองจ้าวด้วย

พวกหล่อนต่างก็สงสัยใคร่รู้ว่าเขาได้เงินมาเท่าไรกันแน่?

เพียงแต่พี่สะใภ้รองจ้าวไม่มีทางยอมรับกับคนนอก หล่อนยังคงพูดด้วยท่าทางปกติว่า “คงได้เงินมาส่วนหนึ่งบ้างแหละ นี่ก็ออกไปค้าขายเป็นปีแล้ว จะไม่ได้เงินสักเฟินเลยเหรอ? แต่ได้เงินมามากก็จ่ายออกไปมากเหมือนกัน เธอดูบ้านหลังนั้นของเขาสิ ทั้งด้านในและด้านนอกมีส่วนไหนบ้างที่ไม่ใช้เงิน? ฉันว่านะ เขาเองก็คงเป็นหนี้ค้างจ่ายหมดนั่นแหละ นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็อาจจะลากไปคืนปีหน้าอีกปี ต่อให้รถคันเล็กนั้นเร็วกว่านี้ และไม่ได้อดอยากปากแห้ง แต่เงินค่าน้ำมันรถก็เป็นเงินไม่ใช่เหรอ? ไหนจะเงินทุนค่าของอีก? ฉันเองก็ขายรองเท้ามาสองสามวันแล้ว ฉันรู้ดี ทำมาค้าขายไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ถึงจะดูเหมือนว่าได้เงิน แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ ขายออกไปอาจจะไม่ได้เงินก็ได้!”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เขาถึงว่าอย่าเพิ่งติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ได้ทรงเครื่องไงล่ะ ถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่นินทาไว้ก็จะกลายเป็นสุนัขดี ๆ นี่เอง

ไหหม่า(海馬)