ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 27 เปลี่ยนแปลงกะทันหัน

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ขณะที่ในใจกำลังเต้นโครมครามอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงไพเราะของเซียนหญิงผู้นั้นดังขึ้น ราวกับกำลังขับร้องบทเพลง

 

“ข้ามีบุญอันใดสั่งสมมา ไยจึงได้มีวาสนากราบไหว้ฟ้าดินกับศิษย์บำเพ็ญเซียนสำนักใหญ่ใต้หล้าได้”

 

เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งล้วนสะดุ้งวาบ จงหมิ่นเหยียนปฏิกิริยาไวที่สุด เห็นว่าถูกเปิดโปงแล้ว จึงยกมือดึงผ้าคลุมหน้าออกอย่างไม่พอใจ เขาอัดอั้นมานานแล้ว ต้องมาทนกับชุดแต่งงานที่เหลวไหลน่าขันสิ้นดีเช่นนี้

 

เบื้องหน้าพลันมีเงาสีม่วงวูบผ่าน มีเงาคนราวกับภูตผีผ่านมาหยุดตรงหน้าเขา จงหมิ่นเหยียนรู้สึกเหมือนถูกคนใช้มือลูบใบหน้าเบาๆ ฝ่ามืออ่อนนุ่มลื่นละมุน ถูกลูบไปทีหนึ่งเหมือนพาใจตามไปด้วย เขาสะดุ้งโหยง มองไปด้านหน้าเห็นเป็นสาวงามชุดม่วง ทั้งร่างราวกับปกคลุมด้วยลำแสงงดงาม เรียวคิ้วกระจ่างราวภาพวาด งามจนทำให้ไม่กล้าสบตา

 

ปฏิกิริยาตอบสนองเฉกเช่นผู้ชายทั่วไป เขาพลันไม่ได้ลงมือโจมตี หากอึ้งไปทันที จากนั้นในชั่วขณะหนึ่งก็ไม่เห็นว่านางจะลงมือ แต่เขากลับรู้สึกแน่นหน้าอก พลันพลังวัตรเปลี่ยนทิศตาลปัตร ตกใจถอยหลังไปหลายก้าว สองขาอ่อนแรงล้มลงคุกเข่ากับพื้น เลือดสดไหลออกจากมุมปาก

 

“หมิ่นเหยียน!” พวกหรูอี้ก็พากันดึงผ้าคลุมหน้าออก ชักอาวุธที่ซ่อนไว้ในเสื้อด้านในออกมาจะเข้าไปช่วย

 

สาวงามชุดม่วงหัวเราะคิกคัก หันร่างมาราวกับหมอกสีม่วงหอบหนึ่ง ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าเขาทั้งสามคน เสวียนจีได้ยินเสียงเจ็บปวดของหรูอี้และอวี่ซือเฟิ่ง ถึงกับยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ทั้งสี่ก็ถูกนางทำร้ายบาดเจ็บไปถึงสาม นางไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ชักกระบี่ก้าวขึ้นหน้ามา พลันกลุ่มหมอกสีม่วงนั้นก็ลอยมาตรงหน้านาง เสวียนจีเห็นเพียงใบหน้าที่งดงามจนไม่อาจถ้อยคำใดมาบรรยายขยายใหญ่อยู่ตรงหน้า อดตะลึงไม่ได้เช่นกัน

 

ตามมาด้วยการลูบใบหน้านางทีหนึ่ง ลื่นละมุน ยังมีกลิ่นหอมเย้ายวนจิตวิญญาณอีกวูบหนึ่ง เสวียนจีคิดว่าตนเองต้องบาดเจ็บเช่นกัน ขยับขาคิดหนี ผู้ใดจะรู้ว่าไม่อาจขับเคลื่อน พลังวัตรภายในไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย นางไม่อาจถอยกลับ ได้แต่บุกเข้าไป ตวัดกระบี่ออกไป สาวงามชุดม่วงตรงหน้าพลันสลายไปราวกับกับหมอกควัน เห็นชัดว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด

 

เสวียนจีเห็นหมอกควันนั้นลอยไปบนแท่นตรงกลางก็ไม่ไล่ตาม รีบยกชุดแต่งงานแสนหนักวิ่งไปทางพวกอวี่ซือเฟิ่ง ชักกระบี่มาขวางบรรดาหญิงแต่งกายแบบนางกำนัลในวังพวกนั้นไว้ คิดว่าพวกนี้ก็คงเป็นมารปีศาจที่สำเร็จตบะแล้ว ทำงานรับใช้เซียนหญิง

 

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” เสวียนจียกกระบี่ปัดป้องการโจมตีจากหลายคน พลางหันกลับไปถาม มงกุฎหงส์บนศีรษะหนักยิ่ง นางกระชากทิ้งลงพื้นทันที

 

สีหน้าจงหมิ่นเหยียนซีดเผือด ปรับลมหายใจอยู่เป็นนาน ก่อนกระซิบว่า “วิชาร้ายกาจมาก…พลังวัตรข้าถึงกับเปล่งไม่ออก”

 

แม้ว่าอวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ข้างๆ สวมหน้ากากมองไม่เห็นสีหน้า แต่แค่คิดก็พอคิดออกว่าคงไม่ได้ดีไปกว่าจงหมิ่นเหยียนสักเท่าไร

 

“เสวียนจี เจ้ารีบหนีไป!” อวี่ซือเฟิ่งใช้กระบี่ยันตัวลุกขึ้นยืน เข้ารับดาบหนึ่งที่โจมตีมาทางด้านหลังนาง เนื่องจากไม่มีพลังวัตร จึงรู้สึกเจ็บแปลบที่จุดง่ามนิ้วหัวแม่มือ ตอนกระแทกจู่โจมเกือบทำกระบี่หลุดจากมือ

 

“เร็ว! รีบไป!” จงหมิ่นเหยียนกับหรูอี้เองก็ฝืนต่อสู้กับบรรดาปีศาจน้อย จงหมิ่นเหยียนเหงื่อออกเต็มหน้า ดูท่าแล้วเจ็บปวดอย่างมาก หากยังคำรามเฉียบขาด “เจ้ารีบไป! หลิงหลงน่าจะกำลังเร่งมาที่นี่ เจ้า…เจ้าพานางรีบหนีไป!”

 

เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ยามนี้ยังกล่าววาจาเหลวไหล! ข้าทนดูพวกเจ้าตายไม่ได้!”

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าดูแล้วนางปีศาจนี่ไม่เหมือนว่าต้องการสังหารพวกข้า เจ้ากับหลิงหลงหนีไปก่อน กลับไปสำนักเส้าหยางหาพวกเจ้าสำนักมารับมือ…นางร้ายกาจเกินไป พวกเราล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้นาง!”

 

เสวียนจีรู้สึกว่าที่เขาว่ามาก็มีเหตุผล แต่หากให้ตนเองฉวยโอกาสหนีไปก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด

 

จงหมิ่นเหยียนโมโหกล่าวว่า “เจ้าเด็กบ้า ถึงตอนนี้แล้วยังดื้อดึงเช่นนี้อีก! บอกให้เจ้าเชื่อฟังข้า เจ้าทำราวกับไม่ได้ยิน! เจ้ารีบไสหัวไป! ได้ยินไหม?!”

 

เสวียนจีขยับปากกำลังจะกล่าว กลับได้ยินสตรีชุดม่วงบนแท่นด้านบนหัวเราะดัง กล่าวอ่อนโยนว่า “จริงๆ แล้ว จอมยุทธ์ท่านนี้กล่าวได้ถูกต้อง ข้าไม่สังหารพวกเจ้า ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่ชีวิตน้อยๆ ของพวกเจ้าก็คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว”

 

นางยังมองไปทางเสวียนจีอีกครั้ง ใบหน้านางเหงื่ออกอย่างมาก ทำเอาสีดำที่ทาไว้เริ่มจางลง เผยผิวขาวละเอียด หนวดบนใบหน้าก็หลุดไปข้าง เห็นชัดว่าเป็นหญิงงดงามสะคราญตาคนหนึ่ง

 

สตรีชุดม่วงยิ้มกล่าวว่า “ที่แท้เป็นสตรี มิน่าพลังฝ่ามือดับพลังหยางจึงไม่มีผลต่อเจ้า”

 

แม้ว่าไม่รู้ว่าฝ่ามือดับพลังหยางคืออันใด แต่พริบตาก็ทำร้ายบาดเจ็บไปสามคนได้ ก็ย่อมมีอานุภาพไม่น้อย ได้ยินชื่อก็ราวกับไว้รับมือกับผู้ชาย เสวียนจีเป็นหญิง ดังนั้นจึงรอดพ้นมาได้

 

อวี่ซือเฟิ่งท่องคาถา ตวัดกระบี่บีบให้ปีศาจน้อยด้านหน้าเปิดทาง ก่อนจะอ้อมไปด้านหลังเสวียนจี ใช้แรงผลักนางทีหนึ่ง กล่าวว่า “หนีไปเร็ว! อย่าอยู่ต่อ!”

 

ตอนนี้พลังวัตรเขาสูญสิ้น ไหนเลยจะผลักนางขยับได้ ตนเองกลับเกือบกระเด้งล้ม เสวียนจีรีบเข้ามาประคองเขาไว้ หูได้ยินเสียงสตรีชุดม่วงยิ้มกล่าวอ่อนโยนว่า “สตรีก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียน ช่วยข้าได้ครึ่งหนึ่ง ไม่อนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้น ต้องอยู่ต่อทั้งหมดเพื่อข้า”

 

นางกล่าวว่าต้องอยู่ต่อทั้งหมดเพื่อข้า น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับกำลังออดอ้อน ทำให้เหมือนว่าไม่อาจไม่ทำตามคำสั่งนาง ต้องอยู่เพื่อนาง ทุกคนรู้สึกเหมือนหน้ามืด สาวงามชุดม่วงผู้นั้นถึงกับแปลงร่างออกเป็นเงาร่างมากมาย ล้อมพวกเขาทุกคนไว้ราวกับวงแหวนเล็ก ยามนี้เสวียนจีแม้มีสามเศียรหกกรก็หนีไม่พ้นแล้ว

 

อวี่ซือเฟิ่งเห็นเรื่องเลวร้ายมาถึงขั้นนี้ ได้แต่แอบทอดถอนใจ ไม่รู้ปีศาจสาวตนนี้จะทำอันใดกับพวกเขา

 

เสวียนจีเก็บกระบี่ กล่าวว่า “ชาวเมืองจงหลีบูชาเจ้าเป็นดังเทพเซียน ให้ความเคารพเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง ไยเจ้าจึงได้ทำเรื่องเกินเลยเช่นนี้ได้”

 

สาวงามชุดม่วงผู้นั้นหัวเราะคิกคัก ไม่กล่าวอันใด สั่งการว่า “พวกเจ้า นำพวกเขาไปขังไว้ก่อน ผู้หญิงก็ไปคุกใต้ดิน ผู้ชายส่งไปห้องนอนข้า”

 

จงหมิ่นเหยียนพอได้ยินว่าคำว่าห้องนอนก็ตกใจสีหน้าซีดเผือด คิดถึงว่าปีศาจตนนี้คงจะดึงพลังหยางไปเสริมพลังหยินตน มิน่าปีหนึ่งต้องใช้ชายหนุ่มอายุน้อยถึงสี่คน ครั้งนี้หากถูกนางส่งเข้าห้องนอน เสียทีนางไป เกรงว่าก็คงกลายเป็นคนก็ไม่คน ผีก็ไม่ผีแล้ว แม้คิดสู้ตาย แต่มือเท้าอ่อนแรง ตอนนี้ได้แต่ถลึงตาใส่

 

ปีศาจน้อยรอบๆ กรูกันเข้ามานำพวกเขาแยกกันไป แบกบ้าง ลากบ้าง หัวเราะกันคิกคัก พลันได้ยินเสียงกระบี่ราวเสียงมังกรคำราม ลำแสงกระบี่พลันส่องประกายวาบ ปีศาจน้อยพวกนั้นไม่รู้ความร้ายกาจ พริบตาก็เลือดตกยางออก ในเวลากระชั้นชิดนี้เองก็ตกใจจนส่งเสียงร้องดังกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางไม่กล้าเข้ามาแบกคนอีก

 

เสวียนจีท่องคาถากระบี่ ดึงพลังกระบี่กลับคืนมา ถลึงตาใส่สาวงามชุดม่วงผู้นั้น เป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้คิดแตะต้องพวกเขา นังปีศาจ”

 

สาวงามชุดม่วงยิ้มกล่าวว่า “แม่นางผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา กระบี่ก็หล่อไม่เบา ยืมข้าชมสักหน่อย?”

 

กล่าวจบ เสวียนจีก็เห็นแค่รอบกายมีเงาสีม่วงหลายสายกรูกันเข้ามา นางตวัดกระบี่รับ บรรดาเงาเหล่านั้นพอถูกกระบี่ฟันก็กลายเป็นหมอกควันหายไปทันที สักครู่ก็กลับมารวมตัวกันใหม่ สังหารอย่างไรก็ไม่หมดไม่สิ้น เสวียนจีตวัดซ้ายรับขวา พละกำลังเริ่มถดถอย พลันได้ยินเสียงหรูอี้ดังมาเบาๆ ว่า “ระวังหลัง!”

 

นางรีบตวัดกระบี่ไปรับด้านหลัง ผู้ใดจะรู้ว่าด้านหน้าพลันมีเงาสีม่วงหนึ่งพุ่งมา ยกฝ่ามือฟาดใส่กลางหน้าอกนาง เสวียนจีพลันหน้ามืด หายใจไม่ออก ลำคอรู้สึกได้ถึงรสหวาน โลหิตสดกระอักขึ้นมาอย่าง ยั้งไม่อยู่ได้แต่ฝืนกลืนกลับไป กระบี่ในมือถูกแย่งชิงหนีกลับไปยังแท่นด้านบนนานแล้ว

 

สาวงามชุดม่วงยกกระบี่มาดู มองซ้ายมองขวา น้ำเสียงแผ่วกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “แม่นางน้อย ยังอ่อนหัดนัก”