ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 28 จิ้งจอกม่วง

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกจนไม่กล้าหายใจเท่าไร อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางราวกับยืนไม่อยู่ รีบยัดกระบี่ตนใส่มือนางให้เป็นไม้เท้าชั่วคราว พลางกล่าวเบาๆ ว่า “อย่าได้สู้กับนาง ข้าดูแล้วเงาร่างนางไม่เหมือนจริง อาวุธไม่อาจทำร้ายนางได้ คิดว่าร่างจริงนางไม่อยู่ที่นี่ นี่เป็นเพียงร่างมายาของนาง”

 

 

เป็นเพียงร่างมายาก็ร้ายกาจเพียงนี้ เช่นนั้นหากเป็นร่างจริงไม่ยิ่งตายแน่หรือ เสวียนจีอดรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้

 

 

สาวงามชุดม่วงกล่าวน้ำเสียงนุ่มละมุนว่า “จริงๆ แล้วพวกเจ้าไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่เคยฆ่าคน เพียงแต่ต้องการอาศัยเลือดและจิตพวกเจ้าเล็กน้อย ช่วยเพิ่มพลังให้ข้าเท่านั้น”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนาน กล่าวว่า “เจ้าคือปีศาจดูดพลังหยางเสริมพลังหยิน…คิดว่าไม่ใช่งูก็เป็นจิ้งจอก ใช่หรือไม่”

 

 

นางยิ้มเล็กน้อย “จอมยุทธ์ท่านนี้รู้ไม่น้อยนี่ ไม่ผิด ข้าคือจิ้งจอกม่วง”

 

 

จิ้งจอกม่วง? ทุกคนอดไม่ได้ต้องหันมองนางอีกสักครั้ง รู้สึกว่านางท่วงท่าอรชรจนไม่อาจละสายตาไปได้จริงๆ ในความงามอรชรนั้นก็มีความยั่วยวนอย่างที่สุดอยู่ด้วย ที่แท้นี่ก็คือปีศาจจิ้งจอกที่มีชื่อเสียง

 

 

“ในเมื่อเจ้าสามารถบำเพ็ญจนสำเร็จผลแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ที่ผ่านมาย่อมลำบากอย่างยิ่ง เหตุใดพอเป็นมนุษย์ได้แล้วกลับทำความชั่ว”

 

 

จิ้งจอกม่วงเพียงยิ้ม ไม่กล่าวอันใด ผ่านไปครู่หนึ่ง ราวกับรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง โยนกระบี่เสวียนจีทิ้งลงพื้น กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่ชอบฟังหลักการคุณธรรม โดยเฉพาะจากปากมนุษย์ เรื่องพวกเจ้าเองที่ปากอย่างใจอย่าง แอบแทงข้างหลังอย่าง ใช่ว่าน้อยเสียเมื่อไร”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งอดนิ่งเงียบไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่ง ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกข้าเป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญเซียน?”

 

 

จากศาลาเชิญเทพมาถึงที่นี่ พวกเขามั่นใจว่าไม่ได้เปิดเผยช่องโหว่อันใด และไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่สี่คนที่จิ้งจอกม่วงเลือกไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าตอนกราบไหว้ฟ้าดิน ถึงกับถูกนางเปิดโปง แท้จริงเปิดช่องโหว่นั้นออกไปตอนไหน

 

 

จิ้งจอกม่วงกล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าถามมากเช่นนี้ คิดยื้อเวลาหรือ”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถูกนางมองทะลุใจ ถึงกับอึ้งไปทันที ปีศาจนี่รู้มากดังคาด ต่อหน้านางวิธีการอุบายอันใดล้วนไม่อาจนำมาใช้ได้ วันนี้คงต้องพลีชีพที่นี่จริงๆ แล้ว

 

 

“ช่างเถอะ อย่างไรก็ไม่มีคนคุยกับข้ามานานแล้ว” จิ้งจอกม่วงยิ้ม “ในเมื่อข้าเลือกใช้พลังหยางเสริมพลังหยิน ย่อมต้องคัดเลือกพลังหยางแรงกล้า หน้าตารูปโฉมเป็นอันดับรอง สำคัญที่สุดก็คือวันเดือนปีเกิด…”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งฉลาดระดับใด นางเพียงเปิดทาง เขาก็เดาได้ทันที รีบกล่าวว่า “คนที่ถูกเจ้าเลือกล้วนเป็นคนที่เกิดวันและเวลาหยาง ดวงชะตามีอักษรธาตุไฟ!”

 

 

“เจ้าฉลาดจริง” จิ้งจอกม่วงเผยรอยยิ้มบางมองหน้าเขา ราวกับแรกรักผลิบาน “ข้าทำใจลงมือกับเจ้าไม่ลงจริงๆ ไม่สู้เลี้ยงไว้ในสวนดอกไม้ เป็นเพื่อนเล่นข้าแล้วกัน”

 

 

กล่าวจบนางนางก็ก้าวลงมายื่นมือจะเข้าประคองเขา อวี่ซือเฟิ่งรีบหลบมือนางถอยหลังไปหลายก้าว

 

 

จิ้งจอกม่วงเองก็ไม่บีบบังคับเขา เอียงหน้าหันไปมองจ้องเขาครู่หนึ่ง กล่าวว่า “หน้ากากเจ้า ข้าเคยเห็น ที่แท้พวกเจ้าเป็นศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ เจ้าตำหนักบัดซบพวกเจ้านั่น ถึงกับยังยึดถือธรรมเนียมควรตายนั่นอีกหรือ ข้ายังคิดว่าเขาเลิกมันไปนานแล้ว อ้อ เดี๋ยวนะ…”

 

 

นางมองหน้ากากบนใบหน้าอวี่ซือเฟิ่งละเอียดอีกรอบ พลันเผยรอยยิ้มเยาะ กระซิบว่า “ยากแท้ ไม่ได้เห็นหน้ากากเช่นนี้นานแล้ว คิดไม่ถึง…เจ้าสามารถสละ…”

 

 

“หุบปาก” เขาตัดบทนางน้ำเสียงเยียบเย็น “ในเมื่อเจ้ารู้จักตำหนักหลีเจ๋อ ก็ควรรู้ว่าไม่ควรล่วงเกินคนตำหนักหลีเจ๋อ เจ้าครองภูผาตั้งตัวเป็นใหญ่ ก่อกรรมทำชั่ว ยังไม่รีบยอมมอบตัวอีก!”

 

 

จิ้งจอกม่วงถึงกับเริ่มคิดมาก ร่างกระตุกเบาๆ โดดกลับไปแท่นสูงด้านหลัง พลางยิ้มกล่าวว่า “พลังดีมากนี่ ไม่ว่ามนุษย์หรือปีศาจโดนฝ่ามือดับพลังหยางไป อย่างน้อยสามวันไม่อาจเคลื่อนพลังวัตรได้ เจ้าทำอะไรได้? แต่ข้าจะไว้หน้าเจ้า ปล่อยแม่นางน้อยนั่นไปแล้วกัน พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้า”

 

 

กล่าวจบ แขนเสื้อกว้างของนางก็สะบัดทีหนึ่ง เสวียนจีรู้สึกเพียงลมหอบพัดมา กลิ่นอายปีศาจล้อมรอบกายนาง ทำเอานางไม่อาจขยับเขยื้อน ไม่รู้นานเท่าไร กลิ่นอายปีศาจนั่นในที่สุดก็สลายไป เสวียนจีค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบกว่าในตำหนักว่างเปล่า ทั้งจิ้งจอกม่วงและพวกซือเฟิ่งล้วนหายไปไร้ร่องรอย เหลือเพียงนางคนเดียว กุมกระบี่อวี่ซือเฟิ่งยืนอยู่ที่เดิมอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

 

 

 

 

**********

 

 

 

 

พวกเสวียนจีสี่คนถูกพาตัวขึ้นเขาเกาซื่อซาน เหลือเพียงหลิงหลงตามสังเกตการณ์มาด้านหลังคนเดียว ก่อนหน้านี้นางยังตามอยู่หลังรถม้าไกลๆ มาจนถึงศาลาเชิญเทพ เห็นพวกเขาเปลี่ยนชุดแต่งงาน ถูกเกี้ยวมงคลยกลอยขึ้นไป นางอดร้อนใจไม่ได้

 

 

กลางท้องฟ้าไม่มีที่หลบ หากนางเหินกระบี่ตามไป ก็ย่อมมีคนเห็น เช่นนั้นที่ทำมาทั้งหมดก็ไร้ความหมาย แต่หากไม่ตามไป นางก็รู้สึกรับไม่ได้ กำลังร้อนใจอย่างมากอยู่นั่นเอง พลันได้ยินด้านหลังมีคนหัวเราะขึ้นเบาๆ เสียงทุ้มต่ำยิ่ง เป็นชาย

 

 

นางตกใจสะดุ้ง รีบหันกลับไปชักกระบี่ต้วนจินตั้งกระบวนท่า ผู้ใดจะรู้ว่าด้านหลังมีเพียงเสียงลมหวีดหวิว ต้นไม้สูงดำทะมึน ไหนเลยมีเงาร่างคน!

 

 

หลิงหลงมองไปรอบๆ เป็นนาน ได้แต่คิดว่าหูฝาด ค่อยๆ ถอนหายใจเงียบๆ แต่กลับไม่กล้าเก็บกระบี่ต้วนจินเข้าฝัก ได้แต่เดินไปเดินมารอบๆ ครุ่นคิดว่าขั้นต่อไปทำเช่นไรดี

 

 

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว บนศีรษะพลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังแว่วมาอีก ยังคงเป็นเสียงนั้น ในใจหลิงหลงตื่นตระหนก ตวาดดุดันออกไปว่า “ผู้ใดกัน!?” กระบี่ต้วนจินในมือไม่ลังเลที่จะตวัดวาดไป เห็นเพียงแสงทองเปล่งประกายสายหนึ่ง ลำต้นไม้ขนาดเท่าปากชามด้านหน้าก็หักเป็นสองท่อน ล้มครืนลงกับพื้น ใบไม้กิ่งก้านปลิวกระเด็นไปทั่วบริเวณ แต่ยังคงไม่เห็นเงาร่างผู้ใด

 

 

แสงจันทร์นวลผ่อง กลางป่ามีเสียงนกฮูกร้องดังมาเป็นระยะ รอบๆ เงียบเชียบอย่างมาก เงียบจนทำให้นางรู้สึกขนลุก

 

 

“เป็น…เป็นคน หรือ เป็นผี?! ออกมานะ!” นางตวัดกระบี่ใส่อีก ต้นไม้ด้านหน้าก็โดนล้มไปอีกต้น ถูกนางตวัดกระบี่มั่วไปมา ไม่รู้ว่าล้มไปกี่ต้นแล้ว

 

 

หลิงหลงฟันอยู่เป็นนาน หาไม่เจอแม้เส้นขน ตนเองเหนื่อยจนหอบไม่หยุด

 

 

“ยังขี้โมโหเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด”

 

 

น้ำเสียงนั้นพลันดังขึ้นด้านหลังนาง หลิงหลงไม่ได้หันหน้าไป หากหันไปทั้งตัวทันที ส่งกระบี่ต้วนจิน แทงออกไปสุดแรง เห็นเพียงเงาดำด้านหลังโดดหลบรวดเร็ว กระบี่ต้วนจินเฉียดไหล่เขาไปปักอยู่กลางต้นไม้ใหญ่ หลิงหลงรีบก้าวเข้าไป กำลังจะชักกระบี่ออก พลัน ท่ามกลางความมืดใต้แสงจันทร์คนผู้นั้นก็ลอยตัวออกมาราวกับอีกาตัวหนึ่ง มายืนบนกระบี่อย่าไร้ซุ่มไร้เสียง ก้มลงมองนาง

 

 

ท่ามกลางแสงจันทร์คืนเดือนมืดกลางป่า นางก็มองไม่ชัดว่าคนผู้นี้แท้จริงหน้าตาเป็นเช่นไร เพียงรู้สึกว่าประกายแววตานั้นราวดวงดาวคู่หนึ่ง คุ้นเคยอยู่สักหน่อย พลันคิดไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเป็นผู้ใด

 

 

คนผู้นั้นหัวเราะเสียงต่ำ กล่าวเบาๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าเขาทำงานได้รวดเร็วเพียงนี้ เจ้าไปกับข้าก็แล้วกัน”

 

 

หลิงหลงโมโหหนัก ยกมือคิดกระชากกระบี่ หากกระชากอย่างไรก็ไม่ออก หลิงหลงที่สูญเสียกระบี่ต้วนจินไปก็เท่ากับนกที่ถูกมัดปีกไว้ตัวหนึ่ง จะจัดการฟันทิ้งอย่างไรก็ได้ นางยิ่งร้อนใจพยายามจะกระชากกระบี่ออกอย่างแรง คนผู้นั้นแตะปลายเท้าราวกับไร้น้ำหนัก ลอยตัวขึ้นอีก

 

 

หลิงหลงครั้งนี้ใช้แรงมากไป กระบี่ต้วนจินถูกกระชากออก แต่นางกลับรับแรงสะท้อนไม่อยู่ กระเด็นถอยหลังใกล้จะล้มลง

 

 

ไหล่นางพลันถูกคนประคองไว้ นางรู้ตัวใช้กระบี่แทงเขา ผู้ใดจะรู้ว่าคนผู้นั้นลงมือเร็วราวสายฟ้า สกัดจุดที่ไหล่ขวานาง กระบี่ต้วนจินร่วงลงพื้นเสียงดังเคร้ง

 

 

หลิงหลงตกใจส่งเสียงร้องดังเสียงหนึ่ง กลับถูกคนผู้นั้นอุดปากไว้

 

 

เขาเข้าใกล้ใบหูนาง จูบแก้มนางเบาๆ ทีหนึ่ง เป็นจูบแสนเย็นเยียบ

 

 

“จับเจ้าได้แล้ว” เขากล่าว

 

 

หลิงหลงรู้สึกท้ายทอยถูกตีเบาๆ ทันใดนั้นก็หน้ามืดสลบไปทันที