ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 29 หยินหยาง

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ในตำหนักว่างเปล่า เสวียนจีหาคนอยู่เป็นนานก็หาทางออกไม่เจอ ที่นี่มีทางแยกมากมาย ระเบียงทางเดินเป็นทิวแถว เหมือนว่าทุกห้อง ทุกระเบียงทางเดิน นางล้วนหาหมดแล้ว ด้านในไม่มีแม้เงาคน ไม่รู้ว่าจิ้งจอกม่วงนั่นเอาคนไปไหนกันแน่

 

 

ตอนนั้นพวกนางล้วนถูกคลุมหน้านำทางเข้ามา มองไม่เห็นอันใด รู้สึกเพียงแค่ที่นี่กว้างใหญ่มาก แต่เสวียนจีค้นพบอย่างรวดเร็วว่า แม้ไม่ได้คลุมศีรษะนางไว้ นางก็คงแยกทางไม่ออก เพราะว่าห้องที่นี่หน้าตาเหมือนกันหมด ทางเดินแต่ละส่วน ความสั้นยาวกว้างแคบเหมือนกันไปหมด ยากยิ่งกว่าเขาวงกตเสียอีก

 

 

นางคนเดียว ฝืนความเจ็บปลาบที่หน้าอก เดินหาไปถึงครึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดก็รู้สึกทนไม่ไหว คว้าเชิงเทียนทองสัมฤทธิ์อันหนึ่งค่อยๆ ไถลตัวลงนั่งกับพื้น หน้าอกพลันปวดแปลบรุนแรง ราวกับกำลังจะระเบิดออก ข้างในเหมือนเต้นรุนแรง หากนางไม่พยายามฝืนกลืนเลือดก้อนนั้นลงไป เกรงว่าคงได้พ่นออกมาสิ้นใจตายไปแล้ว

 

 

นางหลับตาลง ค่อยๆ เคลื่อนพลังวัตรขจัดก้อนเลือดที่อุดตันตรงหน้าอกให้สลายไป

 

 

ไม่รู้ทำไมพอคิดถึงตอนอยู่ยอดเขาเสี่ยวหยาง ทุกวันตอนเช้าในหน้าหนาวนางแทบอยากห่อตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ออกไปไหน บางครั้งสวมเสื้อมากไป ตนเองรู้สึกยุ่งยาก ดังนั้นอาจารย์จึงสอนวิธีขี้เกียจให้นาง ทำให้หน้าหนาวอุ่นหน้าร้อนเย็นสบายได้

 

 

ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว นั่นไม่ใช่วิธีการขี้เกียจ แต่เป็นวิชาหยางเชวี่ยกง วิชาสูงสุดของสำนักเส้าหยาง นางใช้เวลาราวปีกว่า ในที่สุดก็เริ่มเห็นผล หน้าหนาวปีที่สองมาถึง นางสวมชุดฤดูใบไม้ผลิได้อย่างสบาย เหินกระบี่ท่ามกลางหิมะ สีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน

 

 

พอรู้ว่านางฝึกวิชาหยางเชวี่ยกงเป็น วันนั้นอาจารย์ดีใจมาก ลากนางไปดื่มสุรามากมาย สุดท้ายเหมือนว่าดื่มมากไป พึมพำกล่าวว่า “เสวียนจีเอ๊ย เห็นเจ้าแล้ว อาหงก็นึกถึงตัวเองตอนเด็ก หลายคนต่างคิดว่าข้าโง่เขลา มีเพียงอาจารย์อยากสอนสั่งข้าให้ดี สุดท้ายในที่สุดก็เรียนสำเร็จ ดีที่ไม่ได้ทำให้ท่านอาจารย์เสียหน้า แต่ทว่าอาหงตอนนั้นไม่เหมือนเจ้า เจ้ามีสหายมากมาย ยังมีพี่สาวที่แสนดี ตอนนั้นข้าไปไหนมาไหนคนเดียว ผู้คนเรียกว่าจอมยุทธ์โดดเดี่ยว!”

 

 

ตอนนั้นนางฟังไม่เข้าใจ ได้แต่เบิกตาจ้องมองนาง ดังนั้นอาจารย์จึงยิ้ม “ชมเจ้า! เด็กโง่ คนคนหนึ่งตัวคนเดียวบนโลก จริงๆ แล้วน่าสงสารมาก ดังนั้นมีเพื่อนก็ต้องรักษาไว้ให้ดี ดีต่อพวกเขามากๆ อย่าได้ทำผิดต่อพวกเขา อาหงโตมาจึงได้เข้าใจหลักการเหล่านี้ แต่ก็สายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่าได้เป็นแบบข้า โลกนี้จะหาสหายที่ยอมทุ่มเทเพื่อเจ้านั้น เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง”

 

 

ต่อมาก็ผ่านมานานเช่นนี้ นางลืมวาจาสนทนาวันนั้นไปนานแล้ว ตอนนี้ไยจึงนึกขึ้นมาได้

 

 

อวี่ซือเฟิ่ง จงหมิ่นเหยียน หรูอี้ หลิงหลง พวกศิษย์พี่ใหญ่…แม้กระทั่งลู่เยียนหราน ทุกคนนับว่าเป็นสหายนางใช่หรือไม่ ทุกคนเผชิญภัยมาด้วยกัน หัวเราะมาด้วยกัน ยามเกิดภัย พวกเขาขวางอยู่หน้านาง ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ตนเองพึ่งพาพวกเขาดูแลนาง พวกเขาดูแลอย่างไม่ต้องการผลตอบแทน

 

 

นางพลันเข้าใจวาจาอาจารย์ นางเรียนรู้มานานเพียงนี้ ในที่สุดก็เรียนรู้จนมีความสามารถ นั่นไม่ใช่จะนำมาใช้เพื่ออวดเบ่ง

 

 

ดังความตั้งใจแรกสุดที่นางไปบำเพ็ญเพียรบนยอดเขาเสี่ยวหยาง ก็เพราะหวังว่าทุกคนจะมีชีวิตที่เรียบง่ายและอบอุ่นเช่นนี้ตลอดไปได้ นางมีกำลังปกป้องพวกเขาได้ จะได้ไม่เพิ่มภาระให้กับผู้ใด

 

 

ตอนนี้ควรถึงเวลาที่นางจะได้ตอบแทนมิตรสหายแล้ว

 

 

เสวียนจีลืมตาขึ้น ความปวดปลาบในทรวงอกเหมือนค่อยๆ ทุเลาลง นางกัดฟันฝืนลุกขึ้นยืน มองไปรอบๆ ทุกภาพเหมือนกัน เชิงเทียนที่ถูกนางคว้าไว้อยู่ตอนนี้ นางจำได้ว่าเดินผ่านมาเป็นครั้งที่สี่แล้ว

 

 

จะหาพวกซือเฟิ่งพบได้อย่างไรกัน

 

 

เสวียนจีถือกระบี่เดินไปมาอยู่ในตำหนัก ตอนผ่านแท่นสูง พลันได้กลิ่นไม่เหมือนปกติ

 

 

กลิ่นอายปีศาจ! ในใจนางพลันวูบไหว เดินตามกลิ่นไป พลันเห็นกำบังด้านหลัง มีทางแยกเล็กทางหนึ่ง กลิ่นอายปีศาจลอยออกมาจากตรงนี้

 

 

มิน่านางหาอยู่เป็นนาน ล้วนวนอยู่ในเขาวงกต ที่แท้ตำหนักใหญ่นี้ใช้เพื่อหลอกผู้คน ด้านหลังมีทางลับตรงไปยังรัง คิดว่าจิ้งจอกม่วงนำคนเข้าไปทางนี้ นางพลันรวมพลังตวัดกระบี่ตัดกำบังผลึกแก้วขนาดใหญ่ขาดเป็นสองท่อน ดังคาด ด้านหลังมีทางลับ น่าจะไปอย่างรีบร้อน จึงปิดไปแค่ครึ่งเดียว นางถือกระบี่กระโดดตามกลิ่นอายปีศาจเข้าไป

 

 

 

 

*******************

 

 

 

 

พวกจงหมิ่นเหยียนถูกจิ้งจอกม่วงจับตัวไป รู้สึกตลอดทางดูพร่ามัว บัดเดี๋ยวสว่าง บัดเดี๋ยวมืด มองทางไม่เห็นกระจ่างนัก สุดท้ายราวกับเดินไปถึงห้องมืดห้องหนึ่ง เท้าเหยียบเข้ากับพื้นนิ่ม เป็นเตียงใหญ่ ขณะกำลังตื่นตกใจ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงสวบสาบ เบื้องหน้าพลันสว่างวาบ เป็นจิ้งจอกม่วงนั่นจุดเทียนขึ้น

 

 

ทุกคนเห็นนางท่าทางนวยนาดอรชร ใต้แสงเทียนยิ่งทำให้น่าตื่นตายิ่งขึ้น พากันอดหลับตาลงไม่ได้ เกรงว่ามองมากไปก็จะทำให้จิตใจวุ่นวาย

 

 

ได้ยินจิ้งจอกม่วงหัวเราะเบาๆ นั่งลงข้างเตียง ยกมือไปลูบแก้มจงหมิ่นเหยียน พลางกล่าวอ่อนโยนว่า “อย่าได้หวาดกลัว ช่วงเวลาดีบรรยากาศงามเช่นนี้ ไยไม่ปล่อยใจให้สบาย เจ้าและข้าร่วมอภิรมย์เช่นสามีภรรยาคู่หนึ่งกันเถิด”

 

 

ไหนเลยเป็นคู่! จงหมิ่นเหยียนไม่กล้ากล่าว ไม่กล้าขยับ นอนตัวตรงแหน็วแกล้งตายอยู่ตรงนั้น ในหัวคิดถึงนิทานที่ศิษย์พี่รองเฉินหมิ่นเจวี๋ยเคยเล่าว่าเมื่อก่อนที่ละแวกเขาชิงชิวมีปีศาจจิ้งจอกออกอาละวาด มักจะแปลงร่างเป็นยอดสาวงามหลอกล่อพวกชายชีกอให้ร่วมอภิรมย์กับนาง ดูดเอาวิญญาณอีกฝ่ายไปเป็นพลังวัตรตนเอง และชายที่ถูกดูดพลังหยางไปพวกนั้น แม้ว่าไม่ตาย แต่ก็กลายเป็นคนพิการ ผอมหนังติดกระดูกราวกับผีตายซาก อยู่ต่อไม่นานนักก็ตาย

 

 

ตอนนั้นเขาอายุยังน้อย พอได้ยินก็ขนลุกไปทั้งตัว แอบนึกถึงชายที่ร่างกลายเป็นซากศพแห้งกรังพวกนั้นก็นอนไม่หลับ ต่อมามีครั้งหนึ่งอาจารย์ได้ยินเข้า ด่าศิษย์พี่รองไปยกใหญ่ เขาเองหวาดกลัวจนวิ่งไปถามอาจารย์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อาจารย์ไม่ปฏิเสธ กล่าวเพียงว่าวันหน้าท่องยุทธภพก็ย่อมต้องระวังสตรีที่งดงามเหมือนนางจิ้งจอกยั่วยวนให้ดี

 

 

คิดไม่ถึงวันนี้เขาถึงกับมาเจอเรื่องเช่นนี้เอง กลัวอะไรเจออย่างนั้นจริงๆ ครั้งนี้มือนางปีศาจลูบหน้าอกเขา เห็นว่ากำลังจะสอดเข้าไปแล้ว เขาได้แต่ตกใจตัวแข็งทื่อ ในใจส่งเสียงตะโกนเรียกคนช่วยชีวิตไม่หยุด

 

 

หรูอี้ข้างๆ พลันกล่าวว่า “ในเมื่อจะเป็นสามีภรรยา ก็ควรต้องมีความจริงใจ เจ้าพาข้าสองคนมาอยู่ที่นี่ด้วยทำไมกัน หรือว่าต้องการให้พวกข้าถลึงตาฟาดฟันกันเองหรือ”

 

 

จงหมิ่นเหยียนรู้สึกว่ามือปีศาจหดกลับไป ในเวลากระชั้นชิด ในใจก็พลันโล่ง พี่หรูอี้ บุญคุณยิ่งใหญ่!

 

 

จิ้งจอกม่วงยิ้มอ่อนโยนกล่าวว่า “จอมยุทธ์ทุกท่านช่างมีใจ ยังไม่ทันเป็นสามีภรรยาก็รู้จักดื่มน้ำส้มแล้ว เพียงแต่ข้ามีสายสัมพันธ์กับตำหนักหลีเจ๋อ จึงไม่คิดลงมือกับพวกเจ้าตอนนี้ ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้ายังต้องเกรงอันใดอีก”

 

 

กล่าวจบนางก็เลิกม่านไปรัดไว้ด้านข้าง นำจงหมิ่นเหยียนไปวางไว้นอกเตียง ตนเองมุดเข้าไป ก็ไม่รู้ว่าด้านในเล่นอันใดกัน

 

 

ได้ยินเสียงอวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “ช้าก่อน เมื่อครู่ตอนอยู่ในโถงกลางเจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า รู้ได้อย่างไรว่าพวกข้าเป็นศิษย์บำเพ็ญเซียน”

 

 

จิ้งจอกม่วงในมุ้งฉอเลาะกล่าวว่า “ยามนี้ไยต้องพูดทำลายบรรยากาศ เอาเถอะ ตามใจเจ้า ล้วนตามใจเจ้า วันตกฟากพวกเจ้า ข้าเห็นทะลุปรุโปร่งแล้ว ไม่ใช่ตกฟากเวลาหยางแต่พลังวัตรภายในหนักแน่น ครั้งก่อนไปศาลบรรพชนถูกข้าพบเข้า…อืม เจ้าว่า ไม่ใช่วาสนาหรือ”

 

 

ที่แท้นางรู้แผนการพวกเขาก่อนแล้ว ถึงกับไม่เปิดโปง รอพวกเขามาติดกับเอง! นางปีศาจเฒ่าสำเร็จผลมาหลายพันปีไม่ธรรมดาจริงๆ ด่านสาวงามวันนี้เกรงว่าหลบไม่พ้นแล้ว

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยังคิดหาเรื่องยื้อเวลากับนางต่อ พลันในลำคอเหมือนมีคนกดไว้ สกัดจุดใบ้พูดไม่ออก เขาร้อนใจ ได้ยินน้ำเสียงจิ้งจอกม่วงไพเราะเสนาะอยู่ข้างหู ออดอ้อนจนทำให้รู้สึกอ่อนยวบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า

 

 

“คนเจ้าเล่ห์…สามีที่รักของข้า กล่าวน้อยหน่อยแล้วกัน”

 

 

เขาได้แต่รู้สึกถึงร่างกายนุ่มนิ่มแนบเข้ามา ปลายจมูกได้กลิ่นหอมลอยมา ในใจพลันเริ่มเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ