[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 411: ไฉเจี๋วย!
“ไปหาข้าวเช้ากินกันดีกว่า!”
หลิงหยุน หนิงหลิงยู่ เสี่ยวเม่ยหนิง ถังเม่ง ทั้งสี่คนต่างก็แยกย้ายไปขึ้นรถของตัวเอง และขับออกจากอพาร์ทเมนท์
เมื่อขึ้นไปบนรถ หนิงหลิงยู่เพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าเสื้อของหลิงหยุนตรงไหล่นั้นเปียกไปด้วยน้ำตาของเธอ เธอจึงรู้สึกเก้อเขินและกระอักกระอ่วนอย่างมาก
หลิงหยุนลูบไหล่ของหนิงหลิงยู่เบาๆพร้อมกับพูดปลอบใจ “ไม่เป็นไร.. วันนี้พี่ใหญ่จะพาเธอไปซื้อเสื้อผ้านะ!”
จะว่าไปแล้ว ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น หลิงหยุนค่อนข้างยุ่งมาก และไม่มีเวลาได้อยู่กับหนิงหลิงยู่เลย เขาจึงค่อนข้างรู้สึกผิด และต้องการที่จะชดเชยให้กับเธอ
“หลิงยู่.. เธออยากรู้ใช่ไม๊ว่าวันๆพี่ใหญ่หายไปทำอะไรบ้าง? วันนี้พี่จะพาเธอไปกับพี่ทั้งวัน เธอจะได้รู้ว่าพี่ทำอะไรยังไงบ้าง?”
หนิงหลิงยู่ได้ฟังก็ตาเป็นประกายพร้อมกับพยักหน้าอย่างตื่นเต้น..
ระหว่างที่ทานอาหารเช้าอยู่นั้น หลิงหยุนก็ได้โทรหาตี้เสี่ยวอู๋สั่งให้เขาเขาขับรถแลนด์โรเวอร์มาที่นี่
หลังจากที่ทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนก็ยิ้มและพูดกับเสี่ยวเม่ยหนิงว่า
“หนิงน้อย.. วันนี้เป็นวันจันทร์ เธอควรจะกลับไปเรียนนะ”
เสี่ยวเม่ยหนิงที่กลัวอยู่แล้วว่าหลิงหยุนจะไล่เธอกลับไปที่โรงเรียน จึงรีบแย้งขึ้นมาทันที
“อะไรกัน?! พี่กับพี่หลิงยู่ แล้วก็ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ยังโดดเรียนกันได้เลย แล้วทำไมถึงให้ฉันกลับไปเรียนอยู่คนเดียว? ฉันไม่ไปหรอก ฉันจะไปกับพวกพี่!”
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับอธิบายว่า “หนิงน้อย.. อาทิตย์ที่แล้วเธอก็ขาดเรียนไปตั้งสองสามวัน แล้วก็ไม่ได้ส่งการบ้านอีกตั้งหลายชิ้น มัธยมต้นกับมัธยมปลายไม่เหมือนกันนะ มัธยมปลายก็แค่ทบทวนบทเรียน แต่มัธยมต้นครูจะสอนเรื่องใหม่ๆ เอาล่ะ.. เชื่อฟังผม แล้วกลับไปเรียนซะ!”
หนิงหลิงยู่รู้ดีว่าเสี่ยวเม่ยหนิงไม่อยากไปโรงเรียน เธอจึงยิ้มและอธิบายว่า “หนิงน้อย ที่พี่ใหญ่พูดก็ถูกนะ! ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กเฉลียวฉลาดอยู่แล้ว แต่การเรียนให้จบมัธยมก็เป็นเรื่องสำคัญ อีกอย่างถ้าเธอไม่ขยันเรียนตอนนี้ จะต้องไปเรียนหนักในช่วงปิดเทอมแทนนะ”
หนิงหลิงยู่เป็นนักเรียนระดับหัวกะทิของโรงเรียนมัธยมจิงฉู และสอบได้ที่หนึ่งมาตลอด เธอจึงพูดออกมาจากประสบการณ์ของตัวเธอเอง เสี่ยวเม่ยหนิงไม่มีทางเลือกจึงได้แต่เลิกต่อต้าน และพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก
“พี่หลิงหยุน.. พี่ต้องเปิดมือถือไว้ตลอดล่ะ ฉันคิดถึงพี่เมื่อไหร่จะได้โทรหาได้!”
หลิงหยุนพยักหน้าและให้สัญญาก่อนจะส่งเสี่ยวเม่ยหนิงกลับไป
“พวกเราไปหาเตาฉีกัน.. ตี้เสี่ยวอู๋ นายโทรบอกเตาหยงด้วยว่าพวกเรากำลังจะไปพบเขา!”
“พี่ใหญ่คะ.. เตาฉีเป็นใครกัน?” หนิงหลิงยู่ถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เขาก็คือคนที่มีแผลเป็นบนใบหน้า แล้วก็เป็นคนที่พาลูกน้องไปถล่มคลีนิคของแม่ครั้งนั้นไงล่ะ!”
“คนนั้นเองเหรอ..”
หนิงหลิงยู่ยังจำได้ว่าตอนนั้นเตาฉีเอาแต่หัวเราะ และอันธพาลหลายคนก็รุมล้อมหลิงหยุนไว้
แต่หลิงหยุนกลับพูดด้วยท่าทางสบายๆ “หลิงยู่ ไม่ต้องตกใจไป! อะไรที่เธอเคยพบเคยเห็น อย่าได้เก็บมันไว้ในใจ แล้วคืนนี้พี่ใหญ่จะอธิบายเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจให้ฟัง!”
หนิงหลิงยู่เอนหัวลงซบไหล่ของหลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบไปว่า “ค่ะพี่ใหญ่..”
เมื่อใดก็ตามที่มีพี่ใหญ่ของเธออยู่ด้วย หนิงหลิงยู่จะรู้สึกอบอุ่น และมีความสุขอย่างมากทุกครั้ง
และในช่วงเวลานั้น.. อะไรๆ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป!
…………
สี่สิบนาทีต่อมา.. รถของหลิงหยุนก็มาจอดอยู่หน้าบ้านของเตาฉีซึ่งตั้งอยู่บนถนนหลินเจียง
เตาฉีพร้อมด้วยลูกน้องทั้งสี่คน ได้ออกมายืนเตรียมรอต้อนรับหลิงหยุนอยู่ด้านนอกแล้ว และทันทีที่หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่เดินลงมาจากรถแลนด์โรเวอร์ พวกเขาก็เดินเข้าไปหาด้วยท่าทางที่เคารพนบนอบพร้อมกับเอ่ยทักทาย
“นายน้อยหลิง!”
ลูกน้องทั้งสี่คนของเตาฉีได้เห็นกับตาตัวเองว่า หลิงหยุนเพียงคนเดียวแต่กลับสามารถทุบบ้านหลังใหญ่โตของเถียนป๋อเตาสองหลัง และสำนักงานของกู่เหลียงซันจนพังราบเป็นหน้ากองได้ อีกทั้งท่ามกลางตำรวจหลายร้อยนายที่เล็งปืนเข้าใส่เขานั้น ไม่เพียงหลิงหยุนจะมีท่าทีที่สงบนิ่งเยือกเย็น แต่ยังสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาสร้างความอับอายให้กับหัวหน้ารักษาความมั่นคงแทนได้ เช่นนี้แล้ว.. ยังจะไม่มีเหตุผลเพียงพอให้คนทั้งห้าออกมายืนรอต้อนรับหลิงหยุนด้วยตัวเองหรืออย่างไร?
หลังจากที่มังกรได้มารายงานเตาฉีว่าหลิงหยุนจะมาพบเขาด้วยตัวเองนั้น เขาก็ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว และได้พาลูกน้องทั้งสี่ออกมายืนต้อนรับด้วยตัวเอง
ในความคิดของเตาฉีนั้น แม้แต่หลัวจ้งซึ่งเป็นถึงผู้อำนวยการของสำนักงานรักษาความมั่นคง ยังถูกหลิงหยุนสร้างความอัปยศให้ได้ถึงเพียงนั้น อีกทั้งหัวลูกสาวของหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวยังออกหน้าจัดการเรื่องข้อกฏหมายให้กับหลิงหยุนด้วยตัวเอง เช่นนี้แล้วจะหมายความว่าอย่างไรได้?
ทุกอย่างแสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า ใครกันแน่ที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองจิงฉูตัวจริง!
หลิงหยุนบอกว่าจะมาหาเขาด้วยตัวเอง นี่เท่ากับว่าเป็นการให้หน้าเตาฉีอย่างมาก! เช่นนี้แล้วเขาจะไม่รู้สึกยินดีได้อย่างไร?!
และก่อนที่หลิงหยุนจะมาถึงนั้น เตาฉีและลูกน้องทั้งสี่คนก็ได้นั่งคุยกันว่าควรจะเรียกหลิงหยุนว่าอย่างไรดี!
เพราะหากจะเรียกชื่อหลิงหยุนเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ดีและไม่เหมาะสมนัก แต่หากจะให้เรียกว่าพี่ใหญ่ก็ดูไม่เข้าท่า ทั้งห้าคนนั่งปรึกษากัน และสุดท้ายต่างก็ลงความเห็นว่าควรจะเรียกหลิงหยุนว่า ‘นายน้อยหลิง’
ทันทีที่ได้ยินเตาฉีและคนอื่นๆทักทายเขาว่า ‘นายน้อยหลิง’ ความรู้สึกแปลกใจวูบขึ้นมาในแววตาของเขาเล็กน้อย แต่หลิงหยุนก็เพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ
“เข้าไปคุยข้างในจะดีกว่า!”
เตาฉีตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าจะวางไม้วางมือไว้ที่ใหน เขารีบเชื้อเชิญหลิงหยุนและคนอื่นๆเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางที่เคารพนบนอบ และถึงกับรินน้ำชาให้หลิงหยุนด้วยตัวเอง จากนั้นก็โบกมือให้ลูกน้องทั้งสี่คนออกไปข้างนอกก่อน
หลิงหยุนยกมือห้ามไว้พร้อมกับสั่งว่า “ไม่ต้อง.. ทุกคนถือว่าเป็นคนกันเองแล้ว ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้!”
“คนกันเอง?! นี่หมายความว่า..”
เมื่อเตาฉีและลูกน้องทั้งสี่ได้ยิน ต่างคนต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และงุนงง ดูเหมือนทุกคนกำลังอึ้งและเต็มไปด้วยความสงสัย
หลิงหยุนหัวเราะหึหึก่อนจะพูดต่อว่า “พวกเจ้าคงจะรู้จักตี้เสี่ยวอู๋กับถังเมิ่งแล้ว..”
จากนั้นก็ผายมือไปทางหนิงหลิงยู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับแนะนำว่า “ส่วนนี่คือน้องสาวของข้าเอง – หนิงหลิงยู่”
หนิงหลิงยู่สวยงามราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย เธอดูสวยงามชวนฝันและชวนเคลิบเคลิ้ม เตาฉีได้แต่พยักหน้า แต่ก็ไม่กล้ามองหนิงหลิงยู่ ตอนนี้ทั้งเตาฉีและลูกน้องทั้งสี่ต่างก็ดูสงบเสงี่ยมราวกับกำลังอยู่ต่อหน้าหลวงจีนอายุมาก
หลังจากที่แนะนำหนิงหลิงยู่แล้ว หลิงหยุนก็ไม่อ้อมค้อมอะไรอีก และพูดเข้าประเด็นทันที
“ที่ข้ามาวันนี้ ก็ตั้งใจจะมาถามความสมัครใจของทุกคนว่า พวกเจ้าจะยินดีติดตามน้องชายของข้าทั้งสองคนหรือไม่?”
เตาฉีและลูกน้องทั้งสี่คนต่างก็ฟังด้วยความยินดี เตาฉีรับพยักหน้าและตอบกลับไปอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ข้ายินดี..! เร็วเข้าพวกเจ้ายังจะยืนซื่อบื้ออะไรกันอยู่อีก ยังไม่รีบมาทักทายลูกพี่อีก!”
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่ใช่ข้า.. จากนี้ไปตี้เสี่ยวอู๋จะเป็นลูกพี่ของพวกเจ้า ทุกคนต้องฟังคำสั่งของเขา ข้าไม่สนใจว่าจากนี้ไปพวกเจ้าจะหาเงินด้วยวิธีใหน แต่ต้องไม่ใช่การรังแกข่มเหงผู้คน!”
โอกาสดีๆแบบนี้ ถังเมิ่งรู้สึกว่าหลิงหยุนคงจะลืมเขาไป จึงรีบร้องเตือนหลิงหยุนว่า “พี่หยุน.. แล้วฉันล่ะ?”
หลิงหยุนกรอกตาก่อนจะเหลือบมองถังเมิ่ง “เมื่อเช้านายบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าต้องการทำธุรกิจ..”
ตี้เสี่ยวอู๋เคยอยู่กับแก๊งมังกรเขียวมาก่อน เขาจึงรู้กฎเกณฑ์ของแก๊งต่างๆดี จึงเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นหัวหน้าเตาฉี
ถังเมิ่งเป็นเด็กหนุ่มเจ้าสำราญ หลิงหยุนไม่ต้องการให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเส้นทางนี้มากนัก และวันนี้หลิงหยุนก็ได้จัดการแบ่งหน้าที่ให้ทั้งสองคนอย่างชัดเจนแล้ว!
คนหนึ่งอยู่ในเส้นทางดำ ส่วนอีกคนอยู่บนเส้นทางสีเขา เช่นนี้แล้วทุกอย่างก็จะราบรื่น!
หลังจากที่ได้รับชัยชนะในเมืองจิงฉูครั้งนี้ หลิงหยุนได้ตั้งใจแล้วว่า เขาจะต้องสร้างอำนาจอิทธิพลและเครือข่ายของตัวเองขึ้นมา
ในการจะสร้างอำนาจและอิทธิพลได้นั้น จำเป็นที่จะต้องมีลูกน้อง และเตาฉีเองก็มีลูกน้องหลากหลายอยู่ในมือราวสองร้อยคน หลิงหยุนดูแล้วเห็นว่าตี้เสี่ยวอู๋น่าจะเอาอยู่
“จากนี้ไปกลุ่มของพวกเราจะใช้ชื่อว่า – ไฉเจี๋วย”
หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบ เขาก็กวักมือเรียกเตาฉีให้เข้ามาหา “เจ้ามานี่!”
เตาฉีรีบเดินเข้าไปยืนตรงหน้าหลิงหยุน หลิงหยุนจัดการคลายจุดที่เหลือให้กับเตาฉีอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยิ้มให้เขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ.. ข้าจัดการคลายจุดทั้งหมดที่เหลือให้เจ้าแล้ว! ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันที่ 8 มิถุนายนแล้ว!”
เตาฉีพยักหน้าอย่างตื่นเต้นพร้อมกับโค้งหัวทำความเคารพหลิงหยุนพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณท่านมาก.. นายน้อยหลิง!”
หลิงหยุนหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นยืนและสั่งเตาฉีว่า “เจ้าเงยหน้าขึ้นซิ!”
เตาฉียืดตัวตรงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง หลิงหยุนจัดการวางยันต์บำบัดลงบนใบหน้าของเตาฉีพร้อมกับตะโกนสั่งยันต์ให้ทำงาน
ยันต์บำบัดระดับหนึ่งของหลิงหยุนชุดนี้ ดีกว่าชุดที่ปลุกเสกก่อนหน้านี้ เพราะให้ผลในการรักษาที่รวดเร็วกว่าหลายเท่า
และแล้วปาฏิหาริย์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน ทั้งมังกร เสือ และคนอื่นๆต่างก็ถึงกับอึ้งไปเมื่อเห็นแผลเป็นบนใบหน้าของเตาฉีหายไปต่อหน้าต่อตา ใบหน้าของเตาฉีในตอนนี้ ไม่ได้น่ากลัวและสยดสยองเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“โอ้ว.. นี่มัน..”
“ห๊ะ.. ลูกพี่..”
ลูกน้องทั้งสี่คนของเตาฉีถึงกับตกใจ และตื่นเต้นเมื่อได้เห็นทุกอย่างด้วยตาตัวเอง!
“พี่ใหญ่..”
หนิงหลิงยู่เห็นทุกอย่างได้ชัดเจนที่สุด เพราะเธอนั่งอยู่บนโซฟาข้างหลิงหยุน และทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เธอถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ!
“เกิดอะไรขึ้น..?!”
เตาหยงมองอากัปกิริยาที่ตกอกตกใจของทุกคน ด้วยสัญชาติญาณ.. เขาจึงรีบยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเอง และก็ต้องอึ้งไปทันที!
เขาพบว่าแผลเป็นบนใบหน้าของตัวเองนั้นได้หายไปแล้ว!
หลังจากช็อคไปนาน เตาฉีถึงกับทรุดลงกับพื้น พร้อมกับโค้งหัวลงคำนับหลิงหยุนครั้งแล้วครั้งเล่า..
“นายน้อยหลิง.. ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านมาก! จากนี้ไปไม่ว่านายน้อยหลิงจะสั่งอะไร ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้า-เตาฉีก็ยินดีทำตามคำสั่งทุกอย่าง!”
หลิงหยุนยอมรับการแสดงความเคารพของเตาฉี พร้อมกับพูดเสียงเรียบ “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ หากข้าเดาไม่ผิด.. เจ้าคงลำบากใจมากที่ต้องตัดสินใจเมื่อวานนี้ แต่นับว่าเจ้าตัดสินใจได้ถูกต้อง!”
เตาฉีดีใจอย่างมาก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก..
“เอาล่ะ.. ลุกขึ้นได้แล้ว มีเรื่องต้องไปสะสางนิดหน่อย!”
หลิงหยุนสั่งให้เตาฉีลุกขึ้นพร้อมกับหันไปลูบไหล่ของหนิงหลิงยู่เพื่อให้เธอนั่งลง เขายกน้ำชาขึ้นจิบก่อนจะพูดว่า
“บริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นติดหนี้ข้าจำนวนหนึ่ง นี่เป็นเอกสารกู้ยืม.. วันนี้พวกเจ้าตามข้าไปทวงหนี้กับพวกมัน ถ้าพวกมันไม่จ่าย จัดาการพังบริษัทของพวกมันได้เลย!”
เมื่อได้ยินว่าลูกพี่คนใหม่ของเขาจะไปทวงหนี้ เตาฉีและลูกน้องทั้งสี่คนต่างก็ตื่นเต้น และกระตือรือร้นอย่างมาก
หลิงหยุนส่งเอาสารกู้ยืมให้กับตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับพูดยิ้มๆ “เอาล่ะ.. ตอนนี้พวกเราก็กลับเข้าเมืองไปที่บริษัทชิงหยุนกันได้แล้ว!”
วันที่ 14 เมษายน เป็นวันที่หลิงหยุนสร้างเครืองข่ายของตนเองขึ้นมาในเมืองจิงฉูชื่อว่า – ไฉเจี๋วย
เวลาเก้าโมงเช้า หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่นั่งอยู่บนรถแลนด์โรเวอร์กับถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ ส่วนเตาฉีและลูกน้องขับรถฮัมเมอร์ตามมา..