ในห้องสมุดห้วงจิต ลูเซียนเปิดตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ ไปทีละหน้าและแปลข้อความที่เป็นภาษาซิลวานาสโบราณที่เขารู้จักทีละคำๆ

‘เอ่อ ข้าพอจะเข้าใจความหมายแล้ว…’ หลังจากที่แปลในส่วนของวันนี้เสร็จ ลูเซียนก็พบว่าหลายๆ ประโยคถ้าไม่สมบูรณ์ก็จะเป็นส่วนที่ไม่ค่อยมีความสำคัญนัก ซึ่งไม่ส่งผลอันใดต่อการตีความ

ส่วนศัพท์เฉพาะทางเวทมนตร์หลายๆ คำนั้นลูเซียนได้เรียนรู้จากบันทึกของแม่มดเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับระดับฝึกหัดเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว เขาจึงเริ่มอ่านตำราเวทมนตร์โบราณนี้อย่างจริงจัง

ตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ พูดถึงวิธีการเข้าฌานขั้นสูงหลากหลายวิธี แต่ลูเซียนที่ได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์แม่มดแล้วยังไม่คิดลองทำ อย่างไรเสีย จุดแข็งของเขาก็คือองค์ความรู้มากกว่าพลังจิต

‘ระหว่างเข้าฌาน ให้ใช้ดิน ไฟ ลม น้ำ ธาตุทั้งสี่นี้ในการสร้างสัญลักษณ์มนตราประทับบนดวงจิตโดยตรง แล้วจะทำให้เรียกใช้เวทได้โดยไม่ต้องใช้สื่อกลางหรือคาถาเลยงั้นหรือ’ ลูเซียนข้ามส่วนของวิธีการเข้าฌานไปอ่านส่วนที่บอกวิธีการเลื่อนระดับเป็นนักเวท ซึ่งมีอธิบายวิธีการสร้างสัญลักษณ์มนตราไว้อย่างละเอียด แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ลูเซียนเกิดความสงสัยขึ้นและคาดเดาไปต่างๆ นานา

ลูเซียนรู้สึกมึนงงเกี่ยวกับปัญหานี้มาตั้งแต่ที่เขาเริ่มเรียนเวทมนตร์ หากว่าหลักการการเรียกใช้เวทมนตร์โดยไม่ต้องร่ายคาถาสามารถอธิบายได้ด้วยการเปลี่ยนความถี่ของพลังจิต เช่นนั้นเหตุใดนักเวทจึงไม่ต้องใช้สื่อกลางใดๆ หลังจากสร้างสัญลักษณ์มนตราได้แล้ว

เวทมนตร์แต่ละบทต้องใช้วัตถุดิบหรือ ‘ธาตุ’ ที่แตกต่างกันไป เช่น ‘เวทสาดพิษ’ ที่ต้องใช้ผงกำมะถัน หากว่าไม่ต้องใช้สื่อกลาง แล้วพิษจะก่อตัวขึ้นจากอะไรในระหว่างการเรียกใช้

ลูเซียนสันนิษฐานได้ค่อนข้างหลายข้อ หากไม่ใช่ว่าอากาศมีธาตุทั้งสี่ประกอบอยู่เพื่อให้นักเวทเรียกใช้เวทมนตร์ได้ทันที ก็ต้องใช้สิ่งสำคัญ เช่น พลังเวท เพื่อเปลี่ยนพวกมันเสียก่อน ทว่า หลังจากที่อ่านคำบรรยายนี้ในตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ ลูเซียนก็สันนิษฐานไปไกลกว่านั้น

‘ดูเหมือนว่านักเวทโบราณจะใช้ธาตุดิน ไฟ ลม น้ำ เป็นสี่ธาตุหลัก เพราะมันสามารถสร้างเวทมนตร์ได้ทุกบท และนี่ก็เพิ่งจะยืนยันข้อสันนิษฐานของข้าว่าแรงพื้นฐานทั้งสี่เกี่ยวข้องกับธาตุดิน ไฟ ลม น้ำ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากธาตุหรือธรรมชาติในโลกนี้ต่างเป็นข้อบ่งชี้ภายนอกของแรงพื้นฐานทั้งสี่ การใช้พวกมันย่อมสร้างเวทมนตร์ได้ทุกบทโดยไม่ต้องใช้สื่อกลางใดๆ’

‘ถ้าข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง นั่นหมายความว่าโลกนี้อาจมีความคล้ายคลึงกันกับโลกก่อนในระดับจุลภาค แต่ก็ยังแตกต่างกันทางอนุภาคสินะ บางทีพวกมันอาจจะเป็น “เทพธิดาแห่งเวท” ที่นักเวทโบราณพูดถึงก็ได้’

‘แต่จะเอาทฤษฎีแรงพื้นฐานในธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ได้โดยตรงเลยหรือ เหมือนอย่างแรงโน้มถ่วงที่ใช้กับเวท “บ่วงคุ้มภัย” นั่นน่ะ’

ในเมื่อตอนนี้ลูเซียนยังไม่อาจทดลองอะไรได้ จึงทำได้เพียงตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยพิสูจน์พวกมันทีหลัง

หลังจากอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างสัญลักษณ์มนตราบนดวงจิตซ้ำหลายๆ ครั้งเพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ลูเซียนก็เปลี่ยนไปอ่านเกี่ยวกับตัวบทเวท

ตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ คือมรดกตกทอดจาก ‘จอมเวทชั้นตำนาน’ ในจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ บรรพบุรุษของแม่มดคือศิษย์จอมเวทชั้นตำนานคนนั้น ดังนั้นเนื้อหาในตำราเวทมนตร์นี้ส่วนใหญ่จึงบันทึกบทเวททางโหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์ตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงเก้า และมีเวทมนตร์ระดับฝึกหัดจนถึงระดับห้าของศาสตร์อื่นๆ

ในจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ เวทมนตร์ถูกแบ่งออกเป็นประเภทพื้นฐานและพิเศษ เวทมนตร์พื้นฐานคือเวทที่ทางจักรวรรดิเป็นผู้คิดค้นขึ้นซึ่งจะมีโครงสร้างและแสดงผลเหมือนกันหมด ส่วนเวทมนตร์พิเศษคือเวทที่ตกผลึกมาจากความรู้ของนักเวทผู้ทรงพลังทั้งหลาย เป็นเวทมนตร์ที่ทั้งพิเศษและแตกต่าง และในตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ ตั้งแต่เวทมนตร์ระดับสามขึ้นไปก็มีเวทมนตร์พิเศษอยู่สองสามบทในแต่ละระดับ

เมื่อเปิดไปที่บทเกือบท้ายสุด ลูเซียนก็เห็นหัวข้ออันน่าตื่นตาตื่นใจ

‘วิธีขั้นสูงสำหรับเวทมนตร์ชั้นตำนานสองบท’

นั่นทำให้ลูเซียนกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด ชั้นตำนานถือเป็นระดับสูงสุดในโลกนี้ แต่ยิ่งลูเซียนอ่าน ก็ยิ่งพบว่านอกจากภาษาที่ใช้จะไม่ใช่ภาษาซิลวานาสทั่วไปแล้ว โครงสร้างเวทมนตร์ของทั้งสองบทยังซับซ้อนเข้าใจยากสุดขีดจนเหมือนกับมันได้สูบพลังชีวิตลูเซียนไปจนหมด ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าและมึนงงอย่างยิ่ง

เขาต้องดึงตัวเองออกมาจากห้วงจิตครู่หนึ่ง ก่อนกลับไปเปลี่ยนบทใหม่อ่าน ลูเซียนถึงจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

จากการอ่านคำศัพท์ที่พอรู้ ลูเซียนจึงทราบว่าเวทมนตร์ชั้นตำนานทั้งสองบทนี้คือ ‘ผู้ควบคุมธาตุ’ ของศาสตร์ธาตุเวทมนตร์ และ ‘ศาสดาพยากรณ์’ ของโหราศาสตร์

‘แค่ชื่อก็รู้สึกว่าทรงพลังมากๆ แล้ว…’ ลูเซียนค่อยๆ ฟื้นคืนพลังกลับมา ‘การจะเลื่อนระดับขึ้นเป็นชั้นตำนานได้คงจะต้องเตรียมวัตถุดิบล้ำค่าและแปลกประหลาดมากมายมหาศาลแน่ แล้วจากนั้นก็ต้องทำพิธีกรรมทางเวทมนตร์ครั้งใหญ่ และดูเหมือนว่ามันจะมีเวทมนตร์ชั้นตำนานมากกว่าหนึ่งบทในแต่ละศาสตร์’

บทสุดท้ายของตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ มีสูตรสำหรับน้ำยาเวทมนตร์อยู่มากมาย

หลังจากอ่านตำราเวทมนตร์ทั้งเล่ม ลูเซียนก็เลือกเวทมนตร์ที่เขาควรจะสร้างเมื่อเป็นนักเวทฝึกหัดระดับสูง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตัวเลือกของลูเซียนนั้นเหมือนกับของแม่มด และพวกมันต่างเป็นเวทป้องกัน แต่แม่มดเลือกที่จะพยายามวิเคราะห์เวท ‘เกราะวิเศษ’ ส่วนลูเซียนเลือกเวท ‘เกราะแสงดารา’

หลังจากคัดลอกคำแปลและโครงสร้างเวทมนตร์ลงในบันทึกเสร็จ ลูเซียนก็เริ่มพยายามวิเคราะห์แยกแยะโดยใช้ข้อสันนิษฐานเมื่อครู่เป็นพื้นฐาน

ทว่า หลังจากวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและเข้าใจในเวทมนตร์บทนี้แล้ว ลูเซียนก็ยังเลือกเวทมนตร์บทอื่นๆ เตรียมไว้ด้วย เพราะการเป็นนักเวทนั้นไม่เพียงแต่ต้องสร้างสัญลักษณ์มนตราบนดวงจิต แต่การสร้างแต่ละครั้งนั้นต้องใช้เวลานานมาก

เมื่อเทียบกับเวทมนตร์ระดับฝึกหัดทั้งหมดที่มีโครงสร้างเป็นแบบสองมิติ เวทมนตร์ระดับหนึ่งจะเปลี่ยนเป็นแบบสามมิติ ทำให้มีความซับซ้อนมากขึ้น และลูเซียนก็พยายามใช้ข้อสันนิษฐานของตน ทำให้การวิเคราะห์คืบหน้าไปช้ามาก จนกระทั่งเสียงระฆังยามเช้าตรู่ดังขึ้น เขาก็ยังเข้าใจเพียงน้อยนิด

ขณะลูบหน้า ลูเซียนก็ยืนขึ้นจากเก้าอี้โยกด้วยความรู้สึกอ่อนล้าเพลียแรงอย่างยิ่งยวด นี่เป็นเพราะเขาใช้เวลาอ่านตำราเวทมนตร์และวิเคราะห์โครงสร้างนานเกินไป

หลังจากเดินออกจากห้องนั่งเล่นเพื่อกลับไปยังห้องนอนหลัก เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม แต่เขากลับเหนื่อยเกินกว่าจะผ่อนคลาย ลูเซียนจึงนอนไม่หลับ แม้แต่การสะกดจิตตนเองก็ยังใช้ไม่ได้ผล

ลูเซียนจึงลุกขึ้น เดินไปยังห้องเปียโนเล็กที่เป็นส่วนหนึ่งของห้องนอน นั่งลงตรงหน้าเปียโน เปิดฝา แล้วเล่นเพลงเพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายลง

หลังจากที่เรียนดนตรีมากว่าสี่เดือน ลูเซียนก็คุ้นชิ้นกับการเล่นเครื่องดนตรีแล้ว และพบว่าเวลาเล่นเปียโน เขาจะสามารถลืมเลือนความวิตกกังวลทั้งหลายไปได้ชั่วคราว และหลงลืมตนไปกับโลกแห่งเสียงเพลงเพื่อให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย เขาจึงใช้วิธีแสนมีประสิทธิภาพนี้เพื่อพักผ่อน

นิ้วมือของเขาขับอย่างรวดเร็วไร้กรอบอยู่บนคีย์บอร์ด ลูเซียนหยุดคิดทุกอย่าง ปล่อยให้ท่วงทำนองดำเนินไป มันเป็นการเล่นสดที่ไร้แบบแผนแต่แสดงถึงทักษะของผู้เล่น เป็นการแสดงออกถึงอารมณ์ภายในใจ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย

ทุกตัวโน้ตแห่งอารมณ์ดังก้องสะท้อนไปทั่วห้องเปียโน และลูเซียนก็ค่อยๆ นิ่งสงบขึ้น จิตใจเริ่มผ่อนคลายลงในที่สุด และความง่วงงุนก็เริ่มคืบคลานเข้ามา

แต่ในตอนที่เขาลุกขึ้น กำลังจะปิดฝาครอบคีย์บอร์ด ลูเซียนก็พลันได้ยินเสียงปรบมือดังมาจากระเบียง

ลูเซียนหันขวับไปมองด้วยความตื่นตัว แต่แล้วเสียงที่ฟังดูสุขุมเกียจคร้านก็พลันดังขึ้น “ข้าไม่นึกเลยลูเซียน ว่าเจ้าจะมีมุมเศร้าสร้อยเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่ในใจด้วย”

“ฟู่ ฝ่าบาท คงเป็นการดีที่สุดหากพระองค์จะเคาะประตูเวลามาเยี่ยมเยือนกลางดึก และการเดินตรงมาที่ระเบียงจะทำให้ผู้อื่นตกใจนะพะยะค่ะ” ลูเซียนรู้สึกไม่เต็มใจที่เห็นว่านาตาซากับคามิลยืนอยู่ตรงระเบียง นางอยู่ในชุดอัศวินสีดำและกำลังปรบมืออยู่หลังบานหน้าต่าง

นาตาซาแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นักประวัติศาสตร์ของข้า ไม่ใช่ว่าเจ้าอ่านนิยายเกี่ยวกับอัศวินมาตลอดหรอกหรือ อัศวินแต่ละคนมักจะลอบเข้าหาหญิงผู้เป็นที่รักทางหน้าต่างและระเบียงอย่างไรเล่า”

เนื่องจากความทรงจำของลูเซียนนั้นดีเป็นเลิศ เขาจึงจำเนื้อหาที่อยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ได้ดีมากจนพอเขาได้สนทนากับเบค แล้วแสดงให้เห็นว่าลูเซียนสามารถตอบข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่นักประวัติศาสตร์หลายๆ คนจำไม่ได้ได้อย่างรวดเร็วและไหลลื่น เบคจึงแปลกใจและแอบไปบอกนาตาซา

แต่นาตาซาไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ หลังจากที่ได้เป็นอัศวิน ความทรงจำของพระองค์ก็ดีขึ้นเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีอัศวินคนใดที่ปลุกพรในสายเลือดขึ้นได้คิดอยากจะเป็นนักประวัติศาสตร์ และนางก็รู้มาจากวิกเตอร์แล้วว่าความทรงจำของลูเซียนนั้นเป็น ‘ของจริง’ ดังนั้นพระองค์จึงไม่นึกสงสัยอะไรเกี่ยวกับลูเซียน เพียงเรียกลูเซียนว่า ‘นักประวัติศาสตร์คนใหม่’ อย่างขบขัน

“มันก็แค่นิยายพะยะค่ะ…” ลูเซียนเดินไปเปิดหน้าต่างตรงระเบียง “ฝ่าบาท พระองค์มาเสียดึกดื่น มีอะไรหรือเปล่าพะยะค่ะ”

นาตาซาไม่สงวนท่าทีอันใด กลับเดินเข้ามาในห้องเปียโนเล็ก พลางแย้มยิ้มขณะกล่าว “ท่วงทำนองที่เจ้าเล่นเมื่อครู่นี้ฟังดูทั้งยอดเยี่ยมและย่ำแย่ มันอาจมองได้ว่าเป็นเพียงการด้นสด แต่มันกลับสะท้อนสภาพอารมณ์ภายในใจของเจ้าออกมาทั้งหมด เพราะข้าเองยังค่อนข้างรู้สึกโศกเศร้าและเจ็บปวดไปด้วย”

“กระหม่อมเพียงนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตบางอย่างน่ะพะยะค่ะ” ลูเซียนเพิ่งนึกได้ตอนนี้เองว่าเขาคิดถึงพ่อแม่ ญาติๆ และเพื่อนในโลกเก่าในตอนที่เขาผ่อนคลายที่สุด

นาตาซาไม่ได้ถามต่อ กลับฮัมเป็นท่วงทำนองนั้น “มันงดงาม ให้ความรู้สึกราวกับแสงจันทร์ ลูเซียน เจ้าสมควรจดบันทึกท่วงทำนองนี้ไว้แล้วประพันธ์ต่อให้จบในภายหลังนะ”

พอได้ยินท่วงทำนองนั้น ลูเซียนก็รู้สึกขัดเขินเล็กน้อยและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เมื่อครู่นี้ เขาด้นสดด้วยความรู้สึกก็จริง แต่เขายังนำท่อนแรกของบทเพลงมูนไลต์โซนาตาของลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน มาเล่นอีกด้วย

หลังจากสนทนาต่ออีกเล็กน้อย นาตาซาก็เริ่มแสดงท่าทางกระอักกระอ่วน ก่อนจะกระแอมไอสองครั้ง “ข้าเพิ่งมาจากบ้านซิลเวีย”

ซิลเวียเองก็อาศัยอยู่ในเขตเกซู

“ฝ่าบาท พระองค์พร้อมจะทำให้ท่วงทำนองนั้นสมบูรณ์หรือยังพะยะค่ะ” ลูเซียนเข้าใจสิ่งที่พระองค์ต้องการจะสื่อในทันที ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่าน นาตาซาพยายามจะประพันธ์เซเรเนด แต่กลับไม่พอใจเลยสักนิด “พระองค์เป็นคนไม่ยอมแพ้ต่อเรื่องยากลำบากไม่ใช่หรือพะยะค่ะ”

นาตาซาขบฟันแล้วกลอกตามองลูเซียน รู้สึกอับอายที่ต้องมาพูดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกมาราวกับกำลังปฏิญาณตนต่อตัวเอง “นี่ไม่ใช่การฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างเราหรอกนะ และมันก็ไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ต่อเรื่องยากลำบากด้วย เอาล่ะ ข้าขอฟังบทเพลงที่เจ้าประพันธ์หน่อยสิ หรือว่าเจ้าจะบอกว่ายังไม่ได้ทำ”

ความรู้ที่ได้รับจากห้องทำงานของนาตาซานั้นมากมายนัก ลูเซียนเองก็ไม่อยากจะยกเลิกข้อตกลงตอนนี้ เขาจึงเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้หน้าเปียโนแล้วเริ่มเล่น

ท่วงทำนองแว่วหวานชวนผ่อนคลายดังขึ้น เสียงเปียโนที่ระดับเสียงกว้างและใสสะอาดนั้นเป็นเหมือนกับหยดน้ำจากน้ำพุที่พรั่งพรูออกมา มันเรียบง่ายและงดงาม ราวกับหญิงสาวผู้งดงามและใจดี

เทคนิคการเล่นนั้นเรียบง่าย ทว่าท่วงทำนองกลับงดงามยิ่ง นาตาซาผ่อนคลายลงในทันใดแล้วเฝ้าฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่คามิลที่ไม่ยิ้มแย้มยังมีสีหน้าอ่อนโยนขึ้นเมื่อได้ยินท่วงทำนองแสนงดงามในค่ำคืนนี้

ต่อจากทำนองหลักทำนองแรกเป็นทำนองรองแสนสดใส ดึงเอาความร่าเริงและสนุกสนานออกมา ทำให้นาตาซาแย้มยิ้ม จากนั้นทำนองหลักก็วนกลับมาอีกครั้ง

“เป็นรูปแบบรอนโด[1] สินะ” นาตาซาพยักหน้าเล็กน้อย ขณะเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกแสนงดงามที่ได้รับจากทำนองหลักอันไพเราะ

ทำนองรองนั้นฟังดูแผ่วเบาและอ้างว้าง แต่กลับกลั่นออกมาด้วยความแน่วแน่ จากนั้นทำนองหลักแสนสดใสและรวดเร็วยิ่งก็กลับมาอีกครั้ง แล้วบทเพลงก็จบลงด้วยบรรยากาศแสนสดใสมีความสุข

นาตาซามองไปทางลูเซียนด้วยความพึงพอใจ “แม้ว่าจะเป็นเพลงรักยามราตรีที่เรียบง่าย มันกลับไม่ทำให้ความไพเราะงดงามลดลงเลย ทั้งยังมีความนุ่มนวลอ่อนโยนและความงดงามแห่งรัก ลูเซียน…” พระองค์แสดงสีหน้าครุ่นคิด

“อะไรหรือพะยะค่ะ” ลูเซียนถามด้วยความงุนงง

นาตาซาลูบคางตนเองด้วยสองนิ้ว “เหตุใดเจ้าจึงแต่งเพลงสำหรับเปียโนได้อย่างง่ายดายและงดงาม แต่ข้ากลับทำไม่ได้กันเล่า เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มิใช่หรือ ความรักในจินตนาการนั้นงดงามกว่ารักแท้เช่นนั้นหรือ”

ลูเซียนนิ่งเงียบด้วยความขัดเขินเล็กน้อย จากนั้นจึงถอนหายใจขณะจ้องสบตากับนาตาซา “ได้โปรดอย่าพูดความจริงเลยพะยะค่ะ”

……………………………………………..

[1] Rondo form เป็นลักษณะของการเน้นที่แนวทำนองหลัก หรือเป็นลักษณะของเพลงที่มีบทดอกสร้อย กล่าวคือ แนวทำนองหลักทำนองแรกจะวนกลับมาอยู่ระหว่างแต่ละส่วนที่ต่างกัน