นาตาซาพอใจกับบทเพลง ‘แด่ซิลเวีย’ ที่ลูเซียนร่างไว้ แต่นางก็ไม่ได้ห้ามปรามลูเซียนจากการเข้าไปอ่านหนังสือในห้องทำงาน บัดนี้นางมั่นใจในความสามารถด้านความสร้างสรรค์ของลูเซียนอย่างยิ่งและหวังว่าลูเซียนจะได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมคลาสสิก ตำนาน บทกวีเกี่ยวกับวีรบุรุษทั้งหลาย เอกสารทางประวัติศาสตร์ และนิยายเกี่ยวกับอัศวินจนสามารถรังสรรค์ผลงานแสนยอดเยี่ยมออกมาอีก

ดังนั้นทุกๆ วันอังคารและวันพฤหัสบดี ลูเซียนจะไปพระราชวังราเตเชียเพื่ออ่านหนังสือตอนเก้าโมงเช้า และตอนสิบเอ็ดโมง เขาก็ไปพบเจ้าหญิงนาตาซาเพื่อทำหน้าที่ในฐานะที่ปรึกษาด้านดนตรี

“อีวานส์ เจ้าทำอะไรอยู่หรือ” ในห้องทำงานนั้น เบคที่ทำงานแปลภาษาจากตำรามาสักพักแล้ว กำลังเดินไปมาเพื่อลดความเหนื่อยล้า บังเอิญเห็นว่าลูเซียนกำลังคัดลอกและแยกแยะเนื้อหาจากตำราต่างๆ อยู่

ลูเซียนใช้วิธีการจดเป็นแถวสวยงามด้วยตัวหนังสือเป็นระเบียบบนกระดาษขาว เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบเบค “ข้ากำลังแยกเนื้อหาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์กับบทกวีพวกนี้เพื่อความสะดวกต่อการกลับมาหาแรงบันดาลใจในอนาคตขอรับ”

แม้ว่าทั้งสองจะรู้จักและอยู่ในห้องเดียวกันมากว่าสองเดือน แต่ลูเซียนกลับไม่ได้สนิทสนทกับอีกฝ่ายเลยเพราะความหัวเก่าของเบค

เมื่อเบคได้ยินว่าลูเซียนกำลังแยกเนื้อหา เขาจึงขอกระดาษมาดูใกล้ๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “อีวานส์ วิธีการแยกเนื้อหาของเจ้าแปลกมาก มันเหมือนกับว่าเจ้าเรียงตามช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคมืดจนมาถึงปีปฏิทินนักบุญ แล้วเจ้ายังเขียนชีวประวัติเกี่ยวกับนักบุญ จักรพรรดิ ราชา ดยุก และเอิร์ลทั้งหลาย ไหนจะยังมีเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและวัฒนธรรมอีกด้วย”

“นั่นเป็นเพราะเรื่องราวของบุคคลระดับตำนานแต่ละท่านสำคัญต่อการประพันธ์บทเพลงของข้ามากกว่า ดังนั้นการแยกเช่นนี้จะทำให้ชัดเจนและให้แรงบันดาลใจได้ง่ายกว่าขอรับ” ลูเซียนตอบยิ้มๆ

เมื่อไม่นานมานี้ เบคสงสัยในความทรงจำเป็นเลิศของลูเซียนและแอบไปบอกกับเจ้าหญิงนาตาซา นั่นทำให้ลูเซียนระแวดระวังตัวขึ้น จริงอยู่ว่าหลังจากได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นอัศวินหรือนักเวท การมีความทรงจำดีขึ้นนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ทว่าการที่ความทรงจำของเขาดีมากนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะห้องสมุดห้วงจิต เรื่องนี้อยู่เหนือความปกติธรรมดา เขาจึงจำเป็นต้องกลบเกลื่อนด้วยการแสดงให้ถึงทักษะในการจัดการกับเนื้อหาและความคิดที่เป็นเอกลักษณ์

ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงทำเป็นแยกเนื้อหาตามยุคสมัยอยู่ในห้องทำงานของเจ้าหญิงนาตาซา แต่นี่เป็นวิธีการที่เขาหยิบยืมมาจาก ‘ตำราประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่[1]’ ในโลกก่อนเท่านั้น

เมื่อได้ยินคำอธิบายของลูเซียน เบคก็พยักหน้าและยอมรับว่าตัวเอกที่โดดเด่นนั้นเป็นวิธีนำเสนอหลักๆ ในละครโอเปร่า นิยาย และการประพันธ์บทเพลง การแยกเนื้อหาเช่นนี้เพียงต้องเปลี่ยนความคิดเล็กน้อยเท่านั้น

เบคก้มลงอ่านเนื้อหาบนกระดาษอีกครั้งด้วยสีหน้าสุขุมจริงจัง “วิธีการนี้ถือเป็นการจดบันทึกที่แปลกใหม่ในวงการประวัติศาสตร์ทีเดียว ไม่แปลกใจเลย อีวานส์ ที่เจ้าสามารถจดจำข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน เจ้ามีความสามารถด้านนี้จริงๆ”

การบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในตอนนี้ยังเป็นแบบจดหมายเหตุ โดยแยกตำราชีวประวัติของบุคคลสำคัญและตำนานสงครามออกมา รูปแบบการจดบันทึกของลูเซียนถือเป็นเรื่องที่ใหม่มาก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับน่าตื่นตาตื่นใจ

ในตอนนั้นเอง นาตาซาเดินเข้ามาในห้องและได้ยินคำพูดของเบคพอดี นางถามด้วยความสงสัย ก่อนจะหัวเราะร่า “ลูเซียน ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยากเป็นนักประวัติศาสตร์จริงๆ สินะ แต่จะเป็นการดีที่สุดหากแยกบุคคลที่มีสถานะแตกต่างกัน เช่น แยกนักบุญ จักรพรรดิ และดยุกจากสามัญชน เพราะธรรมเนียมการแบ่งแยกชนชั้นนั้นเป็นเรื่องเข้มงวดและจะนำมาปะปนกันไม่ได้”

“พะยะค่ะ” ลูเซียนไม่คิดว่าตนจะอยากตีพิมพ์ตำราประวัติศาสตร์ เพียงเพื่อจะกลบเกลื่อนปัญหาเกี่ยวกับนวัตกรรมในรูปแบบของการเรียบเรียงขึ้นใหม่ “ฝ่าบาท ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสิบเอ็ดโมงเลย พระองค์มาที่ห้องทรงงานทำไมหรือพะยะค่ะ หรือว่ามาตามตัวกระหม่อม”

หลังจากที่นาตาซาส่งสัญญาณบอกให้เบคกลับไปทำงานแปลต่อ นางก็ลากตัวลูเซียนไปยังมุมหนึ่งของห้องด้วยรอยยิ้มสว่างสดใส ก่อนจะมีสีหน้าที่บอกว่า “เจ้าก็รู้ดีนี่” ด้วยความบึ้งตึงเล็กน้อย “เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดซิลเวีย แต่นางไม่ได้จัดงานเลี้ยง มีเพียงสองเรา นางพอใจกับบทเพลง ‘แด่ซิลเวีย’ อย่างยิ่ง นางบอกว่านี่คือบทเพลงแสนงดงามบริสุทธิ์ที่นางพยายามตามหามานานแล้ว เช้านี้ หลังจากที่ข้าบอกว่านั่นเป็นผลงานของเจ้า นางไม่ได้โกรธอะไร ตรงกันข้ามเลยต่างหาก นางบอกว่านางซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้า ข้าจึงคิดจะชวนเจ้าไปเยี่ยมเยือนบ้านนางคืนนี้ มันจะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ที่มีแค่ข้า ท่านป้าคามิล ซิลเวีย และพ่อของนางเท่านั้น”

“กระหม่อมคิดว่าเรื่องแบบนี้ ซิลเวียควรจะงอนบ้างนะพะยะค่ะ” ลูเซียนถกประเด็นนี้กับเจ้าหญิงนาตาซาด้วยท่าทาง ‘ปกติ’ “ผลงานที่สร้างขึ้นโดยคนรักนั้นแตกต่างจากงานที่สร้างโดยผู้อื่นนะพะยะค่ะ โดยเฉพาะเมื่อพระองค์ไม่ได้ชี้แจงก่อน หากนางไม่รู้สึกโกรธ ก็อาจหมายความว่า…”

นาตาซาเอ่ยขัดคำพูดของลูเซียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ความใจดีและอ่อนโยนแบบนี้แหละที่ทำให้ข้าชอบซิลเวีย เมื่อคืนนางประทับใจมากจริงๆ และข้าก็ไม่ได้ทำผิดข้อตกลงเลยสักนิด นี่ ลูเซียน เจ้าทำตัวอย่างกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก แต่นอกเหนือจากตอนเต้นรำแล้ว เจ้าก็ไม่เคยจับมือผู้หญิงเลยนี่”

“…” ลูเซียน “อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้ตลอดเวลาสิพะยะค่ะ”

“เอาล่ะ นักประวัติศาสตร์ของข้า เจ้าจะไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้หรือไม่” เจ้าหญิงนาตาซายิ้มกว้างขณะดึงหัวข้อสนทนากลับมาที่เดิม และเชิญชวนลูเซียนด้วยท่าทางจริงจัง

ลูเซียนไม่ปฏิเสธ อย่างไรเสียเขาก็อาศัยอยู่ในเขตเกซู บ้านของซิลเวียจึงอยู่ไม่ไกลจากบ้านเขา ย่อมไม่ส่งผลอะไรต่อการเรียนช่วงกลางคืน

เวลาสิบเก้านาฬิกา ณ บ้านสองชั้นสีเหลืองอ่อน เลขที่เจ็ดสิบแปด เขตเกซู

บ้านหลังนี้ตกแต่งด้วยสีสันสดใสและอ่อนโยน ทั้งยังมีดอกไม้หลากพันธุ์อยู่ในสวนโดยไม่หวาดเกรงต่อความหนาวเย็น

“ยินดีต้อนรับ ลูเซียน” ซิลเวียและพ่อของนางเปิดประตูบ้านออกมาต้อนรับ

นางสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวดูสง่างามสูงส่ง รับกับผมสีเข้มนุ่มสลวยที่ปล่อยสยายคลุมบ่า แผ่รัศมีอันมีเอกลักษณ์และบริสุทธิ์ แบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ใฝ่ฝันอยากให้เป็นคนรัก

พ่อของนางสวมชุดสูททางการสีดำ หนวดเคราสีเข้มนั้นตัดแต่งอย่างประณีต แม้จะดูแก่ชราและหม่นหมองเล็กน้อย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสมัยหนุ่มๆ เขาคงจะเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีไม่น้อย ด้วยเครื่องหน้าที่ราวกับแกะสลักออกมาเช่นนี้

ลูเซียนยื่นของขวัญชิ้นเล็กที่เขาตั้งใจนำมาให้ซิลเวีย “สุขสันต์วันเกิดขอรับ ท่านหญิงซิลเวีย สวัสดีขอรับ ท่านเดโรนี” ลูเซียนงุนงงเล็กน้อยที่เขาเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในตัวพ่อของซิลเวีย และเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

“สวัสดี ลูเซียน แม้ว่าเราจะอาศัยอยู่ในเขตเกซูเหมือนกัน ข้ากลับเพิ่งจะได้เห็นเจ้าเป็นครั้งแรกในวันนี้ เจ้าดูอ่อนเยาว์กว่าที่ข้าคิดไว้นะ ฮ่าๆ แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ข้าได้ยินทำนองแรกของเซเรเนด จีเมเจอร์ ของเจ้าตามงานเลี้ยงอยู่บ่อยๆ มันไพเราะสนุกสนานมาก ทุกคนต่างคาดเดาว่าเมื่อไหร่เจ้าจะเขียนทำนองต่อไปเสร็จกัน” เดโรนีแย้มยิ้มสุภาพทว่าแฝงนัยบางอย่าง

ซิลเวียพาลูเซียนเดินไปยังห้องนั่งเล่น และบนโซฟาในห้องนั้นก็มีนาตาซากับคามิลนั่งอยู่ก่อนแล้ว “จริงๆ ข้าแต่งจนจบแล้วล่ะขอรับ เป็นแบบสตริงควินเตท[2]”

“เช่นนั้นข้าก็หวังว่าจะได้ฟังบทเพลงนี้ในวันงานเลี้ยงปีใหม่ จากนั้นเจ้าก็เล่น ‘แด่ซิลเวีย’ ระหว่างพัก และข้าก็จะได้…” นาตาซาขยิบตาให้ลูเซียนด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม ทว่าในเขตการปกครองนี้ไม่เคยมีงานเลี้ยงปีใหม่ จะมีก็แต่ ‘เทศกาลดนตรีนครอัลโต้’

ลูเซียนรู้ดีว่านางต้องการจะสื่อถึงอะไร นั่นก็คือ เพื่อหาข้ออ้างในการมอบคฤหาสน์ให้กับเขา แต่ความจริงแล้วลูเซียนอยากได้รางวัลเป็นดาบ ‘อะเลิร์ต’ มากกว่า “‘แด่ซิลเวีย’ ควรจะเป็นผลงานส่วนบุคคลมากกว่านะพะยะค่ะ กระหม่อมไม่เห็นควรในการเล่นที่งานเลี้ยงวันปีใหม่สักเท่าไหร่”

“แต่นี่คือผลงานที่เจ้ารังสรรค์ขึ้นนะ ลูเซียน เป็นการดีที่สุดที่จะหาโอกาสในการเผยแพร่มันออกไป และงานเลี้ยงวันปีใหม่ก็ถือเป็นโอกาสอันดี” ซิลเวียเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา ทว่าแหบพร่าและเย้ายวนเล็กน้อย “และชื่อเพลง ‘แด่ซิลเวีย’ ก็ดูจะไม่เหมาะสมเสียเท่าไหร่ ผู้อื่นอาจคิดว่าเจ้ากำลังเกี้ยวพาข้าอยู่ก็เป็นได้”

นาตาซาแย้มยิ้มแล้วเอ่ยขัด “ทำไมจะไม่ได้กันเล่า นักดนตรีชายโสดส่วนใหญ่ในสมาคมก็ตามจีบเจ้ากันทั้งนั้น เหอะๆ ไหนจะยังผู้ที่แต่งงานแล้วอีกมากมาย แต่หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดของเฟลิเซีย พวกผู้ชายน่าสะอิดสะเอียนเหล่านั้นก็หายไปกันหมด อ้อ ลูเซียน เรากำลังคุยกันเรื่องบทกวีและตำนานเรื่องเล่ารอบเขตการปกครองก่อนเจ้าจะมาน่ะ เจ้า ‘เชี่ยวชาญ’ ทางด้านนี้ และข้าก็หวังว่าเจ้าจะ ‘ชี้นำ’ เราได้”

“เชี่ยวชาญงั้นหรือพะยะค่ะ” เดโรนีหันไปมองลูเซียนที่นั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

ขณะนั้นลูเซียนนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว และเขาก็ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มเล็กๆ “ข้าเพียงชอบจดบันทึก และช่วงนี้ก็ได้อ่านตำราเกี่ยวกับด้านนี้พอสมควรน่ะขอรับ ฝ่าบาทชอบหยอกล้อข้าเรื่องนี้อยู่เรื่อย”

“ทำไมกันเล่า แม้แต่ท่านเบคยังคิดว่าเจ้ามีความสามารถมากพอจะเป็นนักประวัติศาสตร์เชียวนะ ไม่ใช่สิ เจ้าน่ะเป็นนักประวัติศาสตร์ไปแล้ว” เจ้าหญิงนาตาซากำลังอารมณ์ดีจึงเอ่ยกึ่งๆ หยอกเย้า “ท่านลุงเดโรนีคือพ่อค้าผู้ประสบความสำเร็จและเป็นหัวหน้าสมาคมเครื่องประดับของนครอัลโต้ เขาเดินทางไปทั่วเขตปกครองตลอดทั้งปีและรู้จักบทกวีกับตำนานมากมาย จะต้องมีสักเรื่องที่เราสามารถถกประเด็นกันได้แน่”

ภายใต้การนำของนาง คนทั้งสี่จึงพูดคุยกันอย่างมีความสุขเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนจะถึงเวลารับประทานอาหาร คามิลเองยังคอยเสริมอยู่สองสามคำ ดูเหมือนว่านางจะเคยท่องเที่ยวไปทั่วเขตการปกครองนี้ในฐานะนักผจญภัยและทหารรับจ้างตอนยังเป็นสาวๆ

อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลามื้อค่ำ แต่เดโรนีกลับแย้มยิ้มขณะมีสีหน้าครุ่นคิด “กระหม่อมนึกว่าฝ่าบาทเพียงพูดเล่น แต่หลังจากได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน กระหม่อมถึงรู้ว่าลูเซียนเป็นนักประวัติศาสตร์ตัวจริง ถึงกับบอกยุคสมัยและปูมหลังของบทกวีและตำนานเหล่านี้ได้ กระหม่อมบังเอิญไปได้ยินบทกวีของชาวบ้านที่เล่าต่อๆ กันในวงเล็กๆ และนึกสงสัยมาตลอดว่ามันบรรยายถึงเหตุการณ์ใดและเกิดขึ้นที่ไหนในเขตการปกครองแห่งนี้”

“ท่านลุงเดโรนี เล่ามาเถิด ข้าจะได้ช่วยคิด” นาตาซารู้สึกว่าตนอ่านตำราและเอกสารทางประวัติศาสตร์มามากพอสมควรเช่นกัน จึงเหลือบมองไปทางลูเซียนด้วยความอยากจะช่วย

นี่เป็นเพียงการพูดคุยกันธรรมดา ลูเซียนจึงตอบกลับไปง่ายๆ ว่า “ข้าจะพยายามขอรับ”

เดโรนีนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังครุ่นคิด และหลังจากนั้นไม่นานก็ค่อยๆ ท่องออกมา

“เมื่อสุริยามาเยือนพระราชวังแห่งธานอส

ลูกไฟมหึมาพลันตกลงมาจากท้องนภา

ธรณีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

นครที่น่าเกรงขามและหอคอยแสนงดงามพลันกลายเป็นเถ้าธุลี

นภาและธรณีเต็มไปด้วยเถ้าถ่าน

ความหมองมัวเข้าปกคลุมป่าเขา

ความมืดเป็นดั่งปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในนรกโลกันตร์

ดูเถิด เร็ว สายน้ำสีแดงสดไหลปริ่มถึงขอบแล้ว

.……”

หลังจากท่องจบ เดโรนีก็มองลูเซียนด้วยความคาดหวังเล็กน้อย “มันเป็นเพียงบทกวีของชาวบ้าน จึงไม่ค่อยคล้องจองเสียเท่าไหร่ แต่ข้าสนใจในสิ่งที่มันบรรยายเอามากๆ ฝ่าบาท ลูเซียน พวกท่านเดายุคสมัยและตำแหน่งของมันได้ไหม”

เจ้าหญิงนาตาซาขมวดคิ้วนิดๆ “พระราชวังแห่งธานอสน่าจะหมายถึงตำแหน่งเฉพาะของดวงอาทิตย์ ที่ที่จะแสดงให้เห็นถึงภาพอันเป็นเอกลักษณ์”

ทว่า ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ คำว่าธานอสยังหมายถึง “ราชันย์แห่งสุริยา” ผู้เป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายการปกครองของจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณอีกด้วย

……………………………………….

[1] งานเขียนในสมัยฮั่นตะวันตก เรียบเรียงโดย ซือหม่าเชียน (司馬遷) เรียกสั้นๆ ว่าบันทึกประวัติศาสตร์

[2] นักดนตรีมี 5 คน เป็นไวโอลิน 2 คัน วิโอลา 1 คัน เชลโล 1 คันและดับเบิลเบส 1คัน