ลูเซียนพยายามเรียบเรียงคำพูด “ข้าไม่มีความรู้ด้านโหราศาสตร์เลยสักนิด จึงทำได้เพียงอนุมานจากการเปรียบเทียบกับบทกวีและวรรณกรรมที่บรรยายถึงเหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้ แน่นอนว่ามันอาจเป็นบทกวีแห่งการพยากรณ์ก็ได้ หากเป็นเช่นนั้น ทุกๆ คำในนั้นก็จะเป็นเพียงคำอ้างอิงเลื่อนลอยและไม่มีทางจะเดาอะไรได้เลย”
ความจริงแล้วลูเซียนในตอนนี้มีความรู้ด้านโหราศาสตร์ลึกซึ้งมาก และเขารู้ดีว่ามีกลุ่มดาว ณ จุดที่เกิดสุริยคราสซึ่งถูกตั้งชื่อว่า ‘ธานอส’ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ ‘ราชันย์แห่งสุริยา’
“มันไม่ใช่บทกวีแห่งการพยากรณ์แน่ๆ ชาวบ้านบอกว่ามันเป็นบทกวีที่แพร่หลายใกล้ๆ กับนครอัลโต้นี้เอง” เดโรนีตอบกลับอย่างหนักแน่น
ลูเซียนเรียบเรียงคำพูดช้าๆ “เนื่องจากเกิดสงครามกลางเมืองและการแบ่งแยกกันในจักรวรรดิเวทมนตร์ รวมทั้งศาสนจักรก็นำเหล่าอัศวินมายังทิศตะวันตก ด้วยเหตุนี้ ภาวะสงครามในหลายร้อยปีที่ผ่านมาจึงทำลายล้างเมืองได้เหมือนกับปรากฏการณ์อย่างดาวหางพุ่งตกลงมา แผ่นดินไหว และดินถล่ม มีเรื่องราวที่บรรยายไว้คล้ายคลึงกันอย่างน้อยสองสามร้อยเรื่องอยู่ในตำรา ‘บทกวีพื้นบ้านในยุคมืด’ ‘สงครามแห่งซีราคิวส์’ ‘นครศักดิ์สิทธิ์’ ‘คำสารภาพ’ ‘บันทึกทวีปศักดิ์สิทธิ์’ และอื่นๆ อีกหลายเล่มเลยขอรับ”
“การต่อสู้ระหว่างผู้ที่มีพลังระดับตำนานก็ทำให้เกิดผลลัพธ์นี้ได้เช่นกัน แม้ว่าจะเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ได้ยากในช่วงสามร้อยปีหลังมานี้ แต่ช่วงที่เกิด ‘สงครามแห่งรุ่งอรุณ’ ระหว่างศาสนจักรกับพวกนอกรีต การต่อสู้ในระดับนี้ถือว่าเป็นเรื่องสามัญ” นาตาซาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของลูเซียน
“เพราะเหตุนี้กระหม่อมจึงนึกสงสัยมาตลอดว่าเป็นสงครามครั้งใดที่บทกวีนี้บรรยายถึงพะยะค่ะ” เดโรนีแสดงสีหน้าผิดหวัง
ลูเซียนหัวเราะเบาๆ “แต่คำบรรยายที่คล้ายกับ ‘สายน้ำสีแดงสดไหลปริ่มถึงขอบแล้ว’ หาได้ยากมากขอรับ ในห้องทำงานของพระองค์ มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ชื่อ ‘ต้นฉบับของมาเรียส’ เพียงชิ้นเดียวที่บันทึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนครอัลโต้เอาไว้”
“เมื่อหนึ่งร้อยห้าสิบปีก่อนปีนักบุญ ไม่ทราบว่าเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือฝีมือมนุษย์ แต่ยามกลางวันวันหนึ่ง จู่ๆ ท้องฟ้าเหนือนครอัลโต้ก็พลันมืดมิด แล้วดาวหางลูกใหญ่ก็ตกลงมาจากฟ้ามากมาย ทำลายล้างภูเขาแถบตะวันตกเฉียงเหนือและเมืองเวทมนตร์ที่ชื่อ ‘เอลซินอร์’ ไปเสียสิ้น จากนั้นแผ่นดินก็แยกตัวออก ของเหลวสีแดงแปลกประหลาดที่ไม่ใช่ลาวาพลันหลั่งไหลขึ้นมาบนผืนดิน และท่วมไปทั่วบริเวณ เอกสารและบทกวีบันทึกเรื่องนี้ว่าเป็นปรากฏการณ์หายากมากๆ เพราะของเหลวสีแดงเลือดนี้หายไปอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ”
เดโรนีมีสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย “ลูเซียน เจ้าหมายความว่า บทกวีนี้บรรยายเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดทะเลสาบเอลซินอร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนครอัลโต้งั้นหรือ แล้วดวงอาทิตย์จะไปเยือนพระราชวังแห่งธานอสอย่างไรเล่า”
“ว่ากันว่าตอนที่ ‘ราชันย์แห่งสุริยา’ ธานอสเลื่อนขั้นขึ้นเป็นระดับตำนาน เมืองหลวงของจักรวรรดิเวทมนตร์ต้องตกอยู่ในความมืดถึงสามวัน ข้าว่าคำบรรยายนี้คงใช้ได้กับท้องฟ้ามืดๆ ในตอนนั้น” นาตาซาเสริมลูเซียนด้วยเหตุผล “และรูปแบบภาษาที่ใช้ในบทกวีนี้ก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับรูปแบบในยุคนั้น”
เดโรนีพยักหน้าเบาๆ “ดูเหมือนว่าบทกวีนี้คงจะแต่งขึ้นโดยผู้เหลือรอดจากเมืองเอลซินอร์ในตอนนั้น ฝ่าบาท ลูเซียน พวกท่านยังเห็นอะไรจากบทกวีนี้อีกหรือไม่”
ลูเซียนกับนาตาซาส่ายหน้าพร้อมกัน ส่วนที่เหลือนั้นเป็นเพียงการบรรยายภาพทั่วๆ ไปเท่านั้น
“โอ้” เดโรนีดูผิดหวัง แต่เขาก็กลับมายิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าได้ทราบยุคสมัยและปูมหลังของบทกวีนี้ แค่นี้ก็พอใจแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบคุณนะ ลูเซียน ฮ่าๆ เจ้าเป็นนักประวัติศาสตร์ ‘ตัวจริง’ ข้าเคยปรึกษาเรื่องนี้กับท่านเบคมาก่อน แต่เขาก็ยังไม่รู้เลย”
ลูเซียนตอบกลับอย่างถ่อมตน “ข้าเพียงบังเอิญได้อ่านต้นฉบับนี้ขอรับ และข้าก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำ”
ซิลเวียค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างสุภาพและแย้มยิ้มเล็กน้อย “เอาเป็นว่า ขอบคุณที่ทำให้พ่อข้าหายสงสัย ตอนนี้อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันต่อเลย เพราะมื้อค่ำพร้อมแล้วเจ้าค่ะ เราไปรับประทานอาหารให้อร่อยกันดีกว่า”
“ลูเซียน เจ้าต้องชิมทุกจาน พ่อครัวคนหนึ่งของซิลเวียมาจากเมืองเทรีย ทำอาหารซีราคิวส์ได้เลิศรสยิ่ง ถ้าเทียบกับอาหารจากเทรียแล้ว อาหารของอัลโต้น่ะจืดชืดและน่าเบื่อเกินไป มีแต่สตูหัวมัน สเต็กเนื้อ ไส้กรอก และห่านกับไก่อบ…” เจ้าหญิงนาตาซาทรงแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งต่ออาหารของนครอัลโต้ ดูเหมือนว่าพระองค์จะเป็นผู้ชื่นชอบการกินไม่น้อย
คำพูดนั้นทำให้ลูเซียนรู้สึกหิวขึ้นมาทันใด “กระหม่อมจะลองกินดูพะยะค่ะ” ลูเซียนถือเป็น ‘นักชิม’ คนหนึ่ง ทว่านับแต่ที่มายังโลกนี้ สถานการณ์ก็ไม่ค่อยอำนวยให้เขาได้ลิ้มลองอาหารใหม่ๆ เลย
แม้แต่พ่อครัวในบ้านเขาตอนนี้ก็มีฝีมือเพียงปานกลาง และอาหารที่ทำก็ซ้ำไปซ้ำมาจนลูเซียนรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง
นาตาซากระตือรือร้นและบ่นเพิ่มว่า “จริงๆ แล้วอาหารของอัลโต้ก็ถือว่าไม่แย่ อาหารจากเมืองเรนเทตในโฮล์มสิ แต่ละวันมีเพียงปลาย่าง สเต็กเนื้อ มันทอด และสลัด มันเป็นอาหารที่แย่ที่สุดในทวีป ข้าเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่งตอนยังเล็กและไม่คิดอยากจะไปอีกเลย”
โฮล์ม? เรนเทต? ใช่อาณาจักรที่อยู่อีกฝั่งของช่องแคบมรสุมที่ไม่ค่อยมีบันทึกทางประวัติศาสตร์สักเท่าไรไหม ลูเซียนคิดในใจ
อาหารของซิลเวียนั้นเลิศรสสมคำอวดอ้าง ภาชนะเครื่องเคลือบวางอยู่บนผ้าสีขาว แก้วไวน์สามแก้วใช้ใส่ทั้งน้ำเปล่า ไวน์แดง และไวน์ขาว จานแรกคือฟัวกราส์ จานที่สองเป็นซุปปลาจากเมืองเทรีย และจานหลักเป็นขาแกะอบกับสตูไวน์ขาวเครื่องใน แล้วตบท้ายด้วยสลัดผักกับเค้กพุดดิ้งจากอาณาจักรซีราคิวส์
ลูเซียนเจริญอาหารอย่างยิ่ง และเพราะหลังจากที่เลื่อนขั้นขึ้นเป็นอัศวิน ความอยากอาหารของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า ทำให้เขากินอาหารจานหลักไปถึงสามจาน
โชคดีที่ซิลเวียทราบถึงสถานการณ์ของลูเซียนจากปากเจ้าหญิงนาตาซาแล้ว อาหารที่เตรียมไว้สำหรับเขาจึงใหญ่เป็นพิเศษเหมือนกับของนาตาซาและคามิล
ส่วนเดโรนีนั้นไม่พูดอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
…
สายลมเย็นยะเยือกใน ‘เดือนแห่งน้ำแข็ง’ (ธันวาคม) พัดผ่านหวีดหวิวขณะที่ลูเซียน เจ้าหญิงนาตาซา และคามิลเดินไปตามถนนบนเขตเกซู
ซิลเวียอยากจะตามมาส่งทั้งสาม แต่นาตาซาโน้มน้าวให้นางกลับเข้าไปในบ้าน ด้วยอากาศเช่นนี้ไม่เหมาะกับร่างกายอันบอบบางของนางสักนิด
“หากเป็นที่ป้อมปราการทางตอนเหนือ หิมะคงจะตกลงมาแล้ว” นาตาซายื่นมือเรียวขาวนวลออกมาสัมผัสกับสายลมเย็นขณะกล่าวกับลูเซียนด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย
ลูเซียนเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์สีเงิน “กระหม่อมยังไม่เคยเห็นหิมะตกหนักๆ เสียที และอัลโต้ก็แทบไม่มีแม้แต่เกล็ดหิมะเลยพะยะค่ะ”
นี่คือการอธิบายตามแบบฉบับของ ‘นักประวัติศาสตร์’
นาตาซายังคงมีสีหน้าเศร้าสร้อยขณะที่เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ลูเซียน เปียโนโซนาตาของเจ้าเป็นอย่างไรแล้วบ้าง เจ้าคิดว่าจะแต่งให้เสร็จก่อนวันที่สามเดือนเมษายนไหม หากทำได้ ข้าอยากจะแนะนำให้เจ้าจัดแสดงดนตรีในโรงละครซาล์มฮอลช่วงเทศกาลดนตรีนครอัลโต้”
เทศกาลดนตรีนครอัลโต้จะจัดขึ้นทุกๆ สามปี ตั้งแต่วันที่สามถึงห้าเมษายน นักดนตรีจากทั่วทุกสารทิศจะเดินทางมาร่วมงาน แม้แต่เอล์ฟจันทราและคนแคระทองคำที่เปลี่ยนมาศรัทธาในศาสดาแห่งความจริง นี่นับเป็นเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป ซึ่งจะมีคอนเสิร์ตจัดแสดงในโรงละครซาล์มฮอลทุกวัน
ในช่วงเวลานี้ ผู้ที่จัดแสดงดนตรีในโรงละครซาล์มฮอลได้จะมีชื่อเสียงโด่งดังและกลายเป็นนักดนตรีผู้ทรงอิทธิพล
“น่าจะเสร็จทันพะยะค่ะ” ลูเซียนครุ่นคิดแล้วตอบด้วยท่าทางจริงจัง หากว่าคอนเสิร์ตที่จัดประสบความสำเร็จในเทศกาลอันยิ่งใหญ่ เช่นนั้นเขาก็ถือว่าได้ทำตามข้อกำหนดที่ไรน์บอกแล้ว
เจ้าหญิงนาตาซาแย้มยิ้ม หยุดทำสีหน้าเศร้าสร้อย “ข้าเชื่อในตัวเจ้า ข้าจะแนะเรื่องนี้กับท่านคริสโตเฟอร์ให้เอง ฮ่าๆ เจ้าไม่ต้องเล่นเพลงเซเรเนดที่งานเลี้ยงวันปีใหม่แล้ว ข้าอยากให้เจ้ามีสมาธิกับการแต่งเพลงและเพื่อให้แน่ใจว่าบทเพลงของเจ้าจะได้แสดงครั้งแรกในโรงละครซาล์มฮอล ความสดใหม่มักจะทำให้ผู้คนตื่นตกใจอย่างยิ่ง”
“ช่วงปีใหม่ข้าจะเล่นเพลง ‘แด่ซิลเวีย’ เพื่อเพิ่มความลึกลับให้กับการแสดงเปียโนของเจ้ายิ่งขึ้น” อย่างไรเสีย ลูเซียนก็เคยขึ้นแสดงเพียงในงานเลี้ยงวันเกิดของเฟลิเซียเท่านั้นในตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา
“กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังพะยะค่ะ” ลูเซียนมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าสับสน หลังจากเทศกาลดนตรีจบลง เขาควรจะไปจากที่นี่หรือไม่
หลังจากมั่นใจในเรื่องนี้ จู่ๆ นาตาซาก็ถอนหายใจ “หลังจากที่ข้าเล่นเพลง ‘แด่ซิลเวีย’ เมื่อคืนก่อน ข้าก็นึกถ้อยคำหวานซึ้งไม่ออกเลย ทำได้เพียงชื่นชมความงามของซิลเวีย ลูเซียน เจ้าลองคิดภาพดูนะ หลังจากบทเพลงแสนไพเราะจบลง ทว่าท่วงทำนองหวานยังดูราวกับดังแว่วอยู่รอบๆ ในขณะที่สุภาพบุรุษยืนขึ้นจากเปียโน เดินไปหาท่านหญิงผู้งดงาม แล้วประคองมือนางขึ้นช้า ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่ง หากว่าในเวลานี้จะมีถ้อยคำฝากรักหวานซึ้งสักนิด มันจะต้องทำให้นางปะทับใจและจดจำช่วงเวลานี้ไปตลอดกาลเป็นแน่”
“กระหม่อมไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลยพะยะค่ะ” ลูเซียนตอบพร้อมอาการเหม่อลอย หัวข้อการสนทนามุ่งมายังทิศทางนี้ได้อย่างไรกัน
นาตาซาไม่ได้หันมาสบตากับเขา กลับถามต่อไปว่า “ลูเซียน เจ้าช่วยคิดหน่อยสิ ในเวลาแบบนี้ คำพูดใดจะหวานซึ้งตรึงใจที่สุด”
ลูเซียนหันไปมองเจ้าหญิงด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเวลาแบบนี้ มีแค่ประโยคเดียวที่หวานซึ้งตรึงใจที่สุดพะยะค่ะ”
“อะไร” นาตาซาสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง
“แต่งงานกับข้านะ” ลูเซียนมองนาตาซาด้วยใบหน้ายิ้มๆ
นาตาซา “…นี่แหละปัญหา แต่ข้าจะลองแก้ไขดู ลูเซียน เจ้าควรจะพยายามหาคนถูกใจหน่อยนะ เอ๊ะ ข้าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังหรือไม่”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย ไม่นานระยะห่างระหว่างบ้านของซิลเวียกับลูเซียนก็สิ้นสุดลง
…
วันอาทิตย์แรกของเดือนแห่งการเริ่มต้น (มกราคม)
‘ดนตรีวิพากษ์’ ฉบับที่สามของปีก็ตีพิมพ์ออกมาพร้อมพาดหัวว่า
‘หนึ่งบทเพลงแลกคฤหาสน์หนึ่งหลัง’
‘ในงานเลี้ยงวันปีใหม่แสนพลุกพล่านมีชีวิตชีวา ข้าโชคดีได้ยินบทเพลงจากเปียโนที่ไพเราะงดงามและบริสุทธิ์ ทว่ามันกลับเป็นเหมือนน้ำพุที่หลั่งรินผ่านหัวใจของผู้ฟังทุกคน บทเพลงนี้แตกต่างจากผลงานชิ้นอื่นๆ ทั้งก่อนหน้าและหลังจากนี้ มันเรียบง่าย ให้ความรู้สึกงดงาม และทำให้ผู้คนจดจำมิรู้คลาย…’
‘นี่เป็นงานประพันธ์ชิ้นใหม่ของลูเซียน อีวานส์ นักดนตรีอัจฉริยะแห่งนครอัลโต้ของเรา เพลงนี้มีชื่อว่า “แด่ซิลเวีย” แต่ในความคิดของข้า ควรจะชื่อ “แด่นาตาซา” เพื่ออุทิศให้กับเจ้าฟ้าหญิงเสียมากกว่า ด้วยเหตุนี้พระองค์หญิงจึงทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง จนถึงขั้นมอบคฤหาสน์นอกเมืองให้กับท่านอีวานส์!’
‘นี่อาจเป็นบทเพลงที่มีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี ใช่ว่านักดนตรีทุกคนจะได้ครอบครองคฤหาสน์สักหลังในช่วงชีวิตพวกเขา’
‘แน่นอนว่าข้าหาได้ริษยา “การเดินทาง” ของท่านลูเซียน อีวานส์ ไม่ เพราะบทเพลงนี้ทำให้ข้าระลึกถึงความทรงจำมากมายในอดีต เป็นความสามารถของเขาที่โน้มน้าวตัวข้า’
ด้วยเพราะการมอบคฤหาสน์พร้อมที่ดินเป็นรางวัลนั้นถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ‘ดนตรีวิพากษ์’ และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ต่างนำเสนอเรื่องนี้ จึงเป็นอีกครั้งที่ลูเซียนได้รับสายตามากมายท่วมท้น
แต่สิ่งที่ทำให้ลูเซียนเหนื่อยใจที่สุดคือการที่คนในสมาคมเริ่มเรียกเขาว่า ‘นักประวัติศาสตร์’ อย่างชวนขัน โดยที่เขาไม่รู้เลยว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อใด
และพวกเขาก็มาถามลูเซียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ บทกวี และปัญหาอื่นๆ ที่พวกเขาพบเจอระหว่างแต่งเพลงจริงๆ ทั้งยังได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากปากลูเซียน นักดนตรีมากสามารถผู้ ‘เป็นมิตรและอ่อนโยน’ ดังนั้น ‘นักประวัติศาสตร์’ จึงกลายเป็นชื่อเล่นของลูเซียนที่คนในนครอัลโต้ต่างรู้กัน
……………………………………….