ในเดือนแห่งชีวิต (มีนาคม) อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น และกองคาราวาน รถม้า และผู้คนมากมายต่างเดินทางมายังนครอัลโต้มากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อย่างเข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ราวกับว่าทุกผู้คนจากเมืองและอาณาจักรรอบๆ นี้ต่างเดินทางมายังนครอัลโต้ ทำให้เมืองใหญ่ทางตะวันตกของทวีปแห่งนี้อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลากตา นั่นก็เพราะในอีกไม่กี่วัน ‘เทศกาลดนตรีแห่งนครอัลโต้’ ที่จะจัดขึ้นทุกๆ สามปีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทั้งนักดนตรี กวีขับลำนำ ขุนนาง และพ่อค้าวาณิชแม่ค้าผู้ชื่นชอบในเสียงเพลงจึงรีบเร่งมายังนครอัลโต้อย่างไม่ขาดสาย

แต่แรกเมืองใหญ่แห่งนี้ก็มีนักผจญภัยและทหารรับจ้างเดินทางเข้ามาอยู่ตลอดเพื่อผ่านทางไปยังเทือกเขาไร้แสง ดังนั้นในช่วงเวลานี้ นครอัลโต้จึงเต็มไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง

แม้ในยามบ่ายแก่ๆ ประตูเมืองทางเขตโนแลนก็ยังมีผู้คนแออัดยัดเยียด และมีเด็กผู้หญิงผมสีชมพูคนหนึ่งนามว่าลิลิธกำลังดึงตัวซาลา พี่ชายของนางฝ่าฝูงชนเข้ามาในเมืองอย่างทุลักทุเล

“พี่มองอะไรอยู่ เดินดีๆ หน่อยสิ!” ลิลิธขบกรามแน่นแล้วตวาดใส่ซาลา แต่ก็ไม่ได้ใช้เสียงดัง เพราะพูดเบาจนติดเป็นนิสัย คล้ายกับกลัวว่าผู้คนรอบๆ นั้นจะหันมาสนใจพวกตน

เด็กสาววัยสิบหกปีนั้นมีใบหน้างดงามสดใส ทว่าแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศก ซึ่งทำให้ดูน่าหลงใหลจนลิลิธกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในหมู่บ้าน แม้แต่ขุนนางหนุ่มยังถึงกับยอมสละยศถาบรรดาศักดิ์เพื่อนาง ไม่ยอมแต่งงานเพื่อสืบสายเลือดชนชั้นสูง

ซาลาลูบหลังคอตัวเองด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ลิลิธ ดูนั่นสิ นั่นคือเอล์ฟจันทรา พวกนางช่างงดงามอ่อนช้อยยิ่ง! ใบหูขยับเองได้เหมือนกับที่ตำนานบอกเล่าเลย น่ารักเหลือเกิน!” เขาชี้ไปทางเอล์ฟสาวที่อยู่ไม่ไกลออกไปพลางเอ่ยกับน้องสาวตน

ด้วยความสงสัย ลิลิธจึงเขย่งเท้าชะเง้อมอง

ภาพที่เห็นคือเอล์ฟสาวที่มีสีผิวคล้ายแสงจันทร์ ใบหน้างดงามวิจิตร บนลำคอมี ‘ลวดลายแห่งชีวิต’ อันเป็นความลับแห่งความงามซ่อนอยู่ นิ้วมือของพวกนางเรียวยาวและใบหูชี้แหลมโบกสะบัดเบาๆ ซึ่งทำให้เอล์ฟจันทรามีเสน่ห์อย่างแปลกประหลาด

“สวยกว่าข้านิดหน่อยเอง” ลิลิธพึมพำเมื่อกลับมายืนเต็มเท้า จากนั้นจึงตวัดสายตาไปมองซาลา “พี่ ทำตัวดีๆ หน่อย อย่าทำตัวเหมือนคนลามกแบบนี้สิ ที่นี่คือนครอัลโต้ เมืองที่พระเจ้าเฝ้ามองอยู่นะ!”

เมื่อพูดว่า ‘พระเจ้าเฝ้ามองอยู่’ ลิลิธก็ลดระดับเสียงลงโดยสัญชาตญาณและเหลือบมองฝูงชนด้วยความระแวดระวังทันที

ซาลาที่มีผมสีชมพูเหมือนกับน้องสาว มีรูปร่างค่อนข้างอ่อนช้อยคล้ายผู้หญิง เขาถอนสายตากลับมาอย่างเสียดาย แล้วก็ได้เห็นว่าตนเข้ามาในตัวเมืองเป็นที่เรียบร้อย จึงรีบดึงตัวน้องสาวไปยังมุมไกลๆ ปลอดผู้คน “ลิลิธ อย่าเครียดนักเลย เจ้าคิดหรือว่าถ้าเจ้าทำตัวไม่เป็นที่สนใจและประหม่ากลัว หรือถ้าข้าทำตัวกระตือรือร้นและผ่อนคลายเกินไป จะทำให้ทางโบสถ์สงสัยเรามากขึ้นเช่นนั้นหรือ”

“แต่อย่างไรเสีย… เราก็เป็นนักเวทฝึกหัดนะ” ลิลิธเหลือบมองซ้ายขวา และเอ่ยคำว่านักเวทฝึกหัดด้วยเสียงกดต่ำอยู่ในลำคอ

ซาลาแบมือยักไหล่ “แล้วอย่างไรเล่า ในนครอัลโต้หาได้มีผู้ใดรู้จักเราเสียหน่อย เราจะหานักวิชาการสักคนแล้วไปจากที่นี่หลังจากปรึกษาหาคำตอบสองสามอย่าง”

“เราจะไม่รอร่วมงานเทศกาลดนตรีนครอัลโต้หรือ พี่” ลิลิธรู้สึกผิดหวัง

ซาลาแสดงสีหน้าจริงจังแล้วส่ายศีรษะ “ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์จากการตีความ หากช่วงเวลากระชั้นชิด เราก็จะต้องจากไปทันที ลิลิธ เจ้ายังมาร่วมงานเทศกาลดนตรีนี้ได้ในอีกสามปีข้างหน้า แต่นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตที่เราจะได้เป็นนักเวทจริงๆ นะ! อย่าเอาแต่ใจสิ เราจะต้องกลายเป็นนักเวทผู้ยิ่งใหญ่และลึกลับให้ได้”

คำว่านักเวทที่ซาลาเอื้อนเอ่ยนั้นดังอยู่เพียงในลำคอเขา

“ข้ารู้แล้วว่าเทศกาลดนตรีนครอัลโต้จะจัดขึ้นทุกๆ สามปี” ลิลิธผู้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ถูกกดดันและต้องคอยหวาดกลัวว่าทางศาสนจักรจะจับได้และสังหารพวกนางเมื่อไหร่ก็ได้นั้น ทำให้นางเข้าใจดีนางไม่อาจทำอะไรตามใจ “เราจะต้องกลายเป็นนักเวทผู้ยิ่งใหญ่และลึกลับ”

ในร้านร้านคอปเปอร์โคโรเน็ต นักผจญภัยและทหารรับจ้างมากมายพูดคุยเสียงดังและเสียงยานคางเป็นครั้งคราว บางคราก็จะมีคนสองคนที่มองสบตากันแล้วไปเจอกันตรงมุมด้านหลังประตูร้าน ห้องพักบนชั้นสอง หรือที่อื่นๆ เพื่อจัดการปัญหาทางกายหรือทางการเงิน

ลิลิธเติบโตมาในเมืองเล็กๆ แม้ว่าจะมีอันธพาลหลายคนในร้านเหล้า แต่ก็ไม่เคยมีใครที่ดูดุร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้ หลังจากที่พยายามหลบเลี่ยงมือไม้ที่พยายามเอื้อมมาจะแตะต้องอย่างยากลำบาก นางก็พาซาลาเบียดเสียดมาด้านหน้าบาร์ได้สำเร็จในที่สุด

“ไง ดื่มอะไรดี” คนแคระโคห์นยังคงเมามายอยู่เช่นเดิม

ลิลิธพยายามข่มใจไม่ใช้เวทมนตร์สังหารผู้ชายทั้งหมดที่อยู่ด้านหลัง พลางพยักหน้าให้โคห์น คงเพราะทราบกฎของร้านเหล้าดี “ขอเบียร์ให้เราสองแก้ว”

โคห์นโห่ร้อง “อึ๊ก ข้าชอบเจ้า ช่างเป็นเด็กสาวที่กล้าหาญเสียจริง ข้าให้เจ้าอีกหนึ่งแก้ว ไม่คิดเงิน”

แก้วทั้งสามที่มีฟองฟอด ส่งกลิ่นหอมมอลต์ถูกนำมาวางตรงหน้าซาลากับลิลิธอย่างรวดเร็ว

หลังจากจ่ายด้วยเหรียญทองแดง ซาลาก็ยกแก้วขึ้นจิบ “เบียร์ดี”

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ขายเหล้าเบียร์ที่เขาไม่ชอบหรอก” ดวงตาขุ่นมัวของโคห์นเปล่งประกายขึ้นวูบหนึ่ง “พวกเจ้าต้องการอะไรหรือเปล่า”

“ท่านลุงคนแคระ เรามาจากเมืองเล็กๆ ใกล้กับอัลโต้ บังเอิญว่าไม่นานมานี้เราได้รับเอกสารโบราณบางอย่าง ข้าจึงอยากจะหานักวิชาการสักคนมาช่วยตีความเนื้อหาน่ะเจ้าค่ะ” ลิลิธพูดถึงที่มาของตนและพี่ชายอย่างคลุมเครือ “ท่านจะช่วยแนะนำนักวิชาการให้เราหน่อยได้ไหมเจ้าคะ”

โคห์นเรอออกมา “เป็นภาษาโบราณในช่วงยุคอาณาจักรเวทมนตร์หรือว่าเป็นภาษาสามัญกันล่ะ หรือว่าเป็นภาษาเอล์ฟ ภาษาคนแคระ ภาษามังกร หรือภาษาปีศาจ”

“เอกสารที่เราได้มาไม่ใช่ต้นฉบับจริงๆ และแปลออกมาเป็นภาษาสามัญแล้วขอรับ” ซาลาและน้องสาวเหลือบมองกันแล้วพยักหน้า “แต่เพราะว่ามันไม่มีเอกสารก่อนหน้าหรือหลังจากนั้นต่อ เราจึงไม่เข้าใจเลยสักนิด ข้าจึงอยากหานักวิชาการมาช่วยตีความ”

โคห์นหัวเราะขัน “เอกสารนี้เกี่ยวข้องกับขุมทรัพย์ไหม” หลังจากเป็นเจ้าของร้านเหล้าแหล่งรวมนักผจญภัยมาหลายปี เขาจึงเคยเห็นอะไรคล้ายๆ กันนี้มานักต่อนัก บางคนก็ได้กลายเป็นเศรษฐีและกว้านซื้อที่ดิน แต่บางคนกลับหายสาบสูญไป

“เราไม่ทราบเลย เพราะเขาไม่เข้าใจเลยสักนิดเจ้าค่ะ” ลิลิธปิดซ่อนส่วนสำคัญเอาไว้และพยายามเค้นรอยยิ้มจริงใจออกมา

โคห์นรินเบียร์ให้ตัวเอง “ที่ข้ายังมีชีวิตอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะข้าไม่เคยถามความลับของลูกค้า เอกสารของพวกเจ้าจะมีเพียงนักวิชาการเท่านั้นที่ได้อ่าน แต่นักประวัติศาสตร์คงจะดีกว่า ในนครอัลโต้มีนักประวัติศาสตร์ดังๆ อย่างเบค อัลฟองโซ…”

“ผู้ใดที่ท่านคิดว่าดีที่สุดหรือเจ้าคะ” ลิลิธถามด้วยความอยากรู้ “หรือว่าผู้ใดคือผู้ที่เก่งที่สุดกันเจ้าคะ”

โคห์นส่ายหน้าจนเคราเปียยาวสีทองของเขาสะบัด “ไม่มีผู้ใดเหมาะสำหรับงานนี้เพราะพวกเขาเป็นชนชั้นสูง! มีเพียงชนชั้นสูงและบาทหลวงเท่านั้นที่อ่านภาษาโบราณกับเอกสารทางประวัติศาสตร์ได้อย่างคล่องแคล่ว และรู้เกี่ยวกับความลับมากมาย หากพวกเจ้านำเอกสารนั้นไปให้พวกเขาดู ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเกิดปัญหา”

“ไม่มีผู้ใดเหมาะกับงานนี้เลยจริงๆ หรือ” ลิลิธกับซาลาผิดหวังอย่างยิ่ง แต่ก็ยอมรับว่าโคห์นพูดถูก การถือเอกสารโบราณไปหาชนชั้นสูง อาจทำให้พวกเขาสงสัยได้ง่ายๆ และเมื่อใดก็ตามที่ถูกสงสัย ศาสนจักรและขุนนางชั้นสูงผู้ทรงอำนาจก็จะรู้เรื่อง สองพี่น้องไร้ที่มาก็อาจถูกจับกุมตัวไปสอบสวนได้ “ไม่มีนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่ชนชั้นสูงเลยหรือ”

นักประวัติศาสตร์เช่นนั้นไม่สามารถเข้าถึงเอกสารลับได้เท่าไหร่และไม่ค่อยรู้เรื่องนักเวทกับพวกลัทธินอกรีตเท่าใด

โคห์นส่ายศีรษะอีกครั้ง “หากไม่ใช่ชนชั้นสูงก็ยากที่จะเป็นนักประวัติศาสตร์ได้ แต่เดี๋ยว…” ฉับพลันนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก “ข้ารู้สึกนักวิชาการที่มาจากชนชั้นต่ำ เขาเองก็เป็น ‘นักประวัติศาสตร์’”

“ท่านผู้นั้นคือใครหรือเจ้าคะ” ลิลิธเอ่ยถามอย่างคาดหวัง ซาลาเองก็มีสีหน้าเดียวกัน

โคห์นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นักวิชาการผู้นี้คือลูเซียน อีวานส์ นักดนตรีอัจฉริยะและ ‘นักประวัติศาสตร์’”

“ท่านอีวานส์ผู้ประพันธ์เพลง ‘แด่ซิลเวีย’ กับ ‘ซิมโฟนีแห่งชะตาชีวิต’ นั่นน่ะหรือ” ลิลิธอ้าปากค้าง สีหน้านางดูพิลึกด้วยความประหลาดใจ คลั่งใคล้ ตกใจ และเหลือเชื่อ “ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ด้วยงั้นหรือ”

แต่สีหน้าของซาลานั้นดูดีกว่าของน้องสาวมาก

โคห์นกระดกเครื่องดื่มของตนจนหมด “เจ้าไม่เชื่องั้นหรือ ข้ารู้จักลูเซียนและเฝ้ามองเขาเติบโตมาเป็นชายหนุ่มมากความสามารถและเฉลียวฉลาก อึ๊ก เอาเป็นว่า ข้าได้ยินมาจากคนในสมาคมนักดนตรีว่านักดนตรีหลายๆ คนมักไปขอคำปรึกษาจากลูเซียนเกี่ยวกับประเด็นทางประวัติศาสตร์เวลาแต่งเพลงกับละครโอเปร่า และต่างเรียกเขาว่า ‘นักประวัติศาสตร์’ นั่นเพราะหลังจากที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าฟ้าหญิง เขาก็ได้เข้าไปอ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์มากมายในพระราขวังราเตเซีย เจ้าฟ้าหญิงยังถึงกับขอให้ท่านเบคช่วยแปลตำราและเอกสารโบราณให้เขาเลยเชียวนะ”

“แต่ถึงกระนั้น ท่านอีวานส์ก็เพิ่งเรียนประวัติศาสตร์ได้เพียงห้าหรือหกเดือนเองมิใช่หรือขอรับ” ซาลายังคงไม่เชื่อ

โคห์นแสดงท่าทางไม่พอใจ “ฮึ่ม เจ้าฟ้าหญิงและท่านเบคต่างชื่นชมความสามารถอันยอดเยี่ยมในการจัดเรียงและสรุปข้อมูลของเขา เพราะเขามีความคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ และยังมีความทรงจำที่ดีมาก เพียงห้าหรือหกเดือนเขาก็เป็นนักประวัติศาสตร์ที่คุณสมบัติครบได้ เขาเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย!”

นับแต่ที่โด่งดังขึ้นเพราะลูเซียน คำเรียกของวิกเตอร์ก็กลายเป็นที่รู้กันในนครอัลโต้

‘หากว่าไม่มีนักวิชาการคนใดเหมาะสมอีก เราก็อาจจะได้ไปพบท่านอีวานส์’ ลิลิธมองไปทางพี่ชายตนอย่างระมัดระวังและคาดหวัง

โคห์นเห็นสีหน้าของนาง “แม่หนู เจ้าอยากไปเจอลูเซียนเช่นนั้นหรือ”

“แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าชอบบทเพลงของท่านอีวานส์มากๆ โดยเฉพาะ ‘แด่ซิลเวีย’ ที่แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์งดงามของบทเพลงได้ด้วยท่วงทำนองเรียบง่าย” ลิลิธตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “ข้าอยากมาร่วมงานเทศกาลดนตรีนครอัลโต้ก็เพื่อจะพบกับท่านอีวานส์และฟังท่านเล่นดนตรีเจ้าค่ะ”

“ท่านลุงคนแคระ ในเมื่อท่านคอยเฝ้ามองท่านอีวานส์เติบโต ท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านอีวานส์สง่างามและหล่อเหลามากๆ หรือเปล่าเจ้าคะ” ลิลิธถามอย่างตั้งตาคอยและขัดเขิน

โคห์นหัวเราะร่า “แน่นอน ลูเซียนเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลายิ่ง”

ลิลิธที่พอใจในคำตอบ หันไปมองพี่ชายตน สายตาคาดหวังนั้นทำให้ซาลาใจอ่อนยวบ และมันเป็นความจริงที่ว่าไม่มีผู้ใดจะเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว เขาจึงพยักหน้า “อีกสักครู่เราจะไปหาท่านอีวานส์กัน”

“พวกเจ้าคงต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้เสียก่อน เพราะลูเซียนกำลังฝึกซ้อมอยู่ที่คฤหาสน์ ‘บรอนส์’ นอกเมืองเพื่อเตรียมตัวสำหรับเทศกาลดนตรีครั้งนี้ และตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาที่ประตูเมืองจะปิดแล้วด้วย” โคห์นเตือนทั้งสอง

‘บรอนส์’ หมายถึงความเงียบสงบในภาษาสามัญ

ลิลิธลากแขนเสื้อพี่ชายเดินออกไป “ไปตอนนี้เลย”

“แล้วถ้าเรากลับเข้ามาในเมืองไม่ทันเล่า” ซาลามึนงง

“ก็เรากำลังไปคฤหาสน์ของท่านอีวานส์กันอย่างไรล่ะ”

“…”

เมื่อลิลิธกับซาลามาถึงเขตคฤหาสน์ ‘บรอนส์’ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ตัวคฤหาสน์หลักเป็นเหมือนปีศาจร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดของยามราตรีและป่าที่รายล้อม

“ทำไมคฤหาสน์หลังนี้ถึงให้ความรู้สึกมืดมนเสียจริง…” ลิลิธตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว

ซาลาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่เขายังกล่าวตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “ตอนกลางคืนมันก็ดูเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”

หลังจากบอกยามที่เฝ้าประตูเขตคฤหาสน์ พ่อบ้านโลเปซก็ออกมาต้อนรับลิลิธกับซาลาอย่างว่องไว

“นายท่านบอกให้ข้าพาพวกท่านไปรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนขอรับ” โลเปซเป็นพ่อบ้านที่ดูแลเขตคฤหาสน์นี้อยู่แล้ว เขามีอายุห้าสิบปี เป็นคนสุขุมมั่นคง ลูเซียนไม่ได้เปลี่ยนคนเพราะอีกไม่นานเขาก็จะไปจากที่นี่แล้ว

ภายในมืดทึม ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลามื้อค่ำ และภายในตัวคฤหาสน์ก็ยังไม่ได้จุดไฟ

ทั้งสองนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างนิ่งสงบเพียงครู่หนึ่ง ก็เห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินลงมาตามบันได มุมมืดบนบันไดขับให้เส้นผมและนัยน์ตาสีดำของเขายิ่งดูลึกลับและสุขุมสง่างาม

……………………………………….