สายลมเย็นยามค่ำคืนช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิพัดโชยเข้ามาในห้องนั่งเล่น และลิลิธกับซาลาก็อดที่จะเนื้อตัวสั่นเทาไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิท บรรยากาศภายในคฤหาสน์จึงได้เงียบงันลึกล้ำ และชายหนุ่มตรงหน้าพวกเขาก็นิ่งสงบและสงวนท่าทีอย่างยิ่ง ทั้งสองต่างรู้สึกว่าที่นี่มืดมนเหลือเกิน มันเหมือนกับหอคอยเวทมนตร์น่าหวาดกลัวและนักเวทผู้ลึกลับที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาหรือป่าลึกตอนฟังตำนานจากบิดามารดาตน

ทว่าลิลิธกับซาลาก็ได้สติอย่างรวดเร็วและหัวเราะให้กับตนเอง ‘นักดนตรีอัจฉริยะผู้ประพันธ์บทเพลงสำหรับเปียโนได้อย่างบริสุทธิ์งดงามเช่นนั้น ทั้งยังเป็นถึงที่ปรึกษาด้านดนตรีของเจ้าฟ้าหญิง จะเป็นนักเวทที่ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนอยู่ทางตะวันตกได้อย่างไร เรานี่ช่างน่าขัน!’

ในตอนนั้นเอง พ่อบ้านโลเปซก็เข้ามาพร้อมกับข้ารับใช้หลายคนที่ถือเชิงเทียนทำจากทองแดง และแสงจากเทียนก็พลันทำให้ห้องนั่งเล่นสว่างขึ้น

ลูเซียนเดินลงมาที่ตีนบันไดแล้วยิ้มอย่างสุภาพให้กับซาลาและลิลิธ “แขกทั้งสอง ท่านมาเยือนเพราะมีเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่อยากให้ข้าตีความเช่นนั้นหรือ”

เสียงอันอบอุ่นและสุขสงบผ่านเข้าไปในหูของลิลิธ ทำให้นางตื่นจากภวังค์ สองแก้มของนางแดงก่ำ และขณะพูดก็ตะกุกตะกักเล็กน้อย “อีวานส์ ท่านอีวานส์ ข้าชอบบทเพลงของท่านยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็น ‘ซิมโฟนีแห่งโชคชะตา’ หรือเซเรเนด จีเมเจอร์ และ ‘แด่ซิลเวีย’ คือเพลงโปรดของข้าเจ้าค่ะ ท่วงทำนองแสนเรียบง่ายงดงามนั้นตรงใจข้าอย่างลึกล้ำ และข้าดีใจที่ได้พบท่าน ดีใจมากๆ”

นางเรียบเรียงถ้อยคำอย่างวุ่นวายแปลกประหลาด แต่ก็แสดงสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความชื่นชมบูชา ท่านอีวานส์ดูสง่างามกว่าที่นางคาดคิด ทั้งยังหล่อเหลางดงามยิ่ง

“ท่านอีวานส์ ข้าเองก็ชอบบทเพลงของท่านขอรับ” ซาลาไม่ได้ตื่นเต้นเท่าน้องสาว แต่ก็มิอาจกักเก็บความชื่นชมของตนได้ ขณะที่ใช้ชีวิตเรียนรู้เวทมนตร์อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เขามักฮัมเพลงแห่งโชคชะตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องขอบคุณลูเซียน อีวานส์ ที่ประพันธ์บทเพลงนี้ขึ้นมา และขอบคุณบารอนผู้โง่เง่าที่เชิญวงดนตรีมาแสดงในเมืองเล็กๆ แลกกับเงินรางวัลมากมาย

ลูเซียนส่ายหน้ายิ้มๆ “ขอบคุณที่ชอบนะขอรับ แต่ข้าคิดว่าเราควรจะคุยกันเรื่องเอกสารที่ว่านั่นดีกว่านะ”

ในฐานะนักเวทฝึกหัดที่เชื่อว่า ‘ความรู้คือพลัง’ ลูเซียนจึงสนใจในเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างมาก เพราะมันอาจมีความรู้หรือข้อมูลที่เขาต้องการอยู่ ดังนั้นเขาจึงยอมให้ซาลากับลิลิธเข้ามา ตอนนี้ ‘เทศกาลดนตรีนครอัลโต้’ กำลังจะเริ่มขึ้น ในช่วงเวลานี้มีแขกมาเยือนมากมาย แต่ลูเซียนต้องการความสงบเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแสดงผลงานดตรีของตัวเอง

“ขออภัยขอรับท่านอีวานส์ เราลืมตัวไปหน่อย” ซาลาสงบจิตใจลง แล้วนำกระดาษออกมาปึกหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้ลูเซียน “นี่คือเอกสารที่ว่า เชิญอ่านได้เลยขอรับ”

ลูเซียนรับไป “หามิได้ พวกท่านชอบและเข้าใจในผลงานของข้าจริงๆ นั่นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง นั่งก่อนเถิด เราจะได้หารือไปพร้อมๆ กัน”

ลิลิธหน้าแดงแล้วนั่งลงพร้อมกับซาลา พลางลอบมองลูเซียนที่กำลังเปิดอ่านเอกสารจากที่นั่งเยื้องจากเขา ใบหน้าคมเข้ม เค้าโครงงดงาม และความสง่างามเป็นเอกลักษณ์ทั้งหมดทำให้นางชมชอบปลาบปลื้ม นางคิดในใจอย่างเขินอาย ‘ท่านอีวานส์ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน’

ลูเซียนเคยชินกับการเปิดอ่านอย่างรวดเร็วเพื่อให้ความสะดวกแก่ห้องสมุดห้วงจิตในการบันทึกเสียก่อน ครั้งนี้เขาก็ทำแบบนั้นเช่นกัน แต่ขณะที่เขากวาดสายตาอย่างรวดเร็วนั้น เขาก็เห็นประโยคแสนคุ้นเคย

“เมื่อสุริยามาเยือนพระราชวังแห่งธานอส…”

ลูเซียนพลันมีสีหน้าตะลึงงันเล็กน้อย ‘ทำไมถึงได้เจอประโยคคล้ายๆ กันเป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่เดือนกันล่ะนี่ บทกวีของเดโรนีเกี่ยวอะไรกับเอกสารพวกนี้หรือเปล่านะ’

ด้วยความสงสัย หลังจากที่ห้องสมุดห้วงจิตบันทึกเนื้อหาทั้งหมดแล้ว ลูเซียนจึงกลับมาอ่านอีกครั้งอย่างจริงจัง เขาใช้เวลาอ่านเอกสารที่มีเพียงสิบกว่าแผ่นนานถึงครึ่งชั่วโมง และยิ่งเขาอ่าน เขาก็ยิ่งตื่นตระหนก เพราะเขาได้เปรียบเทียบส่วนที่เคยอ่านจากวรรณกรรมอื่นๆ แล้วพบว่าเอกสารแสนคลุมเครือและไม่สมบูรณ์นี้ดูเหมือนจะพูดถึงซากเมืองเวทมนตร์!

ลูเซียนค่อยๆ เพิ่มภูมิหลังและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตามลำดับเวลา แล้วตีความเนื้อหาส่วนใหญ่ในเอกสารโดยไม่ใช้บริบทอื่นใด แม้ภายนอกเขาจะดูนิ่งสงบและเยือกเย็น แต่ในใจเขากำลังมีคลื่นสาดซัดโหมกระหน่ำ

‘คำว่า “เทือกเขาลอยฟ้า” กับ “มหากางเขน’…ข้าเคยเห็นคำพวกนี้จากตำรา “โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์!”’

ดังนั้นเขาจึงเปิดตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ ไปยังหน้าที่กล่าวถึงเวทมนตร์พิเศษ หลังจากเปรียบเทียบกลับไปกลับมา เขาก็เข้าใจในที่สุดว่าคำบรรยายสถานที่ในเนื้อหาบนเอกสารนี้เกี่ยวข้องกับมิติเวทมนตร์ที่ชื่อ ‘มหากางเขน’ ซึ่งสร้างขึ้นโดยเวทมนตร์โหราศาสตร์มากมาย

‘มิติเวทมนตร์’ คือมิติอันทรงพลังที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์คาถาโดยสามารถมีพื้นที่ปกคลุมกว้างไกลและทำงานด้วยตัวมันเองเป็นเวลานาน

‘บทกวีของท่านเดโรนีพูดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดทะเลสาบเอลซินอร์ เอกสารนี้ก็เหมือนจะพูดถึงเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่แค่ว่ามีคำบรรยายเกี่ยวกับดาวหางพุ่งตกทำลายล้างเมืองและของเหลวสีแดงแปลกประหลาดที่ไหลทะลักออกมาแบบเจาะจงยิ่งกว่า แต่มันยังพูดถึงเหตุการณ์ต่อเนื่องเกี่ยวกับโครงสร้างเมืองใต้พิภพแสนพิเศษและมิติเวทมนตร์อีกด้วย แต่เอกสารนี้มันไม่สมบูรณ์ ทำไมถึงไม่มีข้อมูลทางศาสตร์เวทว่าเพราะอะไรเมืองเวทมนตร์ถึงต้องสร้างไว้ใต้พิภพ และเพราะอะไรถึงต้องสร้างมิติเวทมนตร์ขึ้นมากันล่ะ’

‘บรรพบุรุษของแม่มดเป็นนักเวทแห่งนครอัลโต้ แม้ว่าจะไม่มีบันทึกไว้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าอาจารย์ของเขาก็คือนักเวทชั้นตำนานที่มีตำแหน่งเป็นถึง “ศาสดาพยากรณ์” และน่าจะเป็นนักเวทระดับตำนานจากเมืองข้างเคียง ในเมื่อมิตินี้อยู่ในอาณาเขตของท่านซึ่งตรงกับเนื้อหาที่อยู่ในตำราเวทมนตร์ ก็เป็นไปได้สูงว่าท่านคือผู้สร้างเมืองเวทมนตร์ใต้พิภพนี้ น่าเสียดายที่ “โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์” เป็นตำราเวทมนตร์ที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย’

ความคิดนับไม่ถ้วนแล่นผ่านในใจเขา ก่อนที่ลูเซียนจะเงยศีรษะขึ้น ใบหน้ามีเพียงความสงบและซื่อตรง “เอกสารนี้ไม่สมบูรณ์ ยังมีส่วนอื่นอีกหรือไม่ ยิ่งมีข้อมูลมาก ก็ยิ่งตีความได้ง่ายขึ้น และจากสัมผัสของกระดาษแล้ว คงเป็นแบบที่คิดค้นขึ้นหลังจากมีการผลิตกระดาษรูปแบบใหม่ ไม่เหมือนกับกระดาษปาปิรุสหรือกระดาษหนังจากยุคมืดเลย”

“เอกสารที่เราได้มานี้ไม่ใช่ต้นฉบับจริงๆ นี่คือทั้งหมดที่มีแล้วเจ้าค่ะ” แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าลูเซียน อีวานส์ นักดนตรีที่นางชอบและชื่นชมอย่างยิ่ง ลิลิธก็ยังตอบกลับอย่างระแวดระวัง ส่วนซาลาเพียงพยักหน้า

หลังจากเปรียบเทียบเนื้อหาในบทกวีและวรรณกรรมกับโครงสร้างของมิติเวทมนตร์ในตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ แล้ว ลูเซียนก็บังเอิญพบว่าเขาสามารถคำนวณตำแหน่งของ ‘มิติเวทมนตร์’ ได้โดยยึดจากภูมิศาสตร์และกลุ่มดาว เพราะว่าทุก ‘มิติเวทมนตร์’ จะทำงานคล้ายกันหมด ทว่า โครงสร้างของแต่ละมิติจะแตกต่างกันออกไป มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับมิติเวทมนตร์แล้วจะคำนวณหาตำแหน่งด้วยตนเอง

“เช่นนั้นข้าจะบอกพวกเจ้าในส่วนที่สามารถตีความได้ก็แล้วกัน” ลูเซียนเล่าถึงสาเหตุของการเกิดทะเลสาบ ‘เอลซินอร์’ ตามลำดับ และเห็นได้ชัดว่าดวงตาของซาลากับลิลิธนั้นเปล่งประกายและแสดงสีหน้าตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากฟังลูเซียนบอกเล่าเนื้อหาที่ตีความได้จากเอกสารในมือ ลิลิธก็ไม่อาจปกปิดความดีใจได้และกล่าวว่า “ข้าต้องขอบพระคุณท่านจริงๆ ท่านอีวานส์ การตีความของท่านเป็นประโยชน์กับเรามาก!”

“แค่กๆ” ทีแรกซาลาเองก็ตื่นเต้นดีใจ แต่แล้วก็ได้สติ จึงกระแอมไอเพื่อหยุดอาการตื่นเต้นของน้องสาวอย่างรวดเร็ว “ขอบพระคุณท่านอีวานส์ที่ช่วยตีความให้เรา ไม่ทราบว่าเราต้องจ่ายให้ท่านเท่าไรหรือขอรับ”

ลูเซียนยิ้มอย่างสุภาพ “หนึ่งธาเล” ความรู้ไม่สามารถซื้อขายกันแบบถูกๆ ได้ โดยเฉพาะเมื่อเขากำลังเตรียมตัวหาข้ออ้างไปจากนครอัลโต้หลังงานเทศกาลเช่นนี้ เป็นการดีกว่าที่จะมีเงินติดตัวเพิ่มขึ้น

จากการทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีให้กับเจ้าหญิงนาตาซาเกือบหกเดือน บวกกับเงินรางวัลที่มาพร้อมกับการได้รับคฤหาสน์หลังนี้มา ตอนนี้ลูเซียนเก็บเงินได้ทั้งหมดสามสิบธาเลแล้ว นับเป็นความมั่งคั่งที่สามัญชนบางคนจะสามารถหามาได้ทั้งชีวิต

และเขตคฤหาสน์นี้ก็มีมูลค่านับพันๆ ธาเล ลูเซียนไม่มีทางขายมันแน่ เพราะนั่นคงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด

“ความรู้ของท่านมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งธาเลมากนักขอรับ” ซาลาหยิบถุงเงินออกมาแล้วมอบเหรียญทองให้ลูเซียนหนึ่งธาเล หากว่าเขาติดตามนักวิชาการเพื่อเรียนอ่านเขียนและหาความรู้สักหนึ่งเดือน เขาจะต้องจ่ายเพียงห้าถึงยี่สิบนาร์ก็จริง แต่สำหรับเขาแล้ว เอกสารนี้มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งธาเลจนไม่อาจประเมินได้

ลูเซียนแย้มยิ้มพลางชี้ไปทางความมืดด้านนอก “ประตูเมืองปิดแล้วล่ะ หากท่านทั้งสองยินดี จะค้างคืนที่คฤหาสน์ของข้าก็ได้นะ แม้ว่าพ่อครัวของข้าจะไม่ได้เก่งกาจเท่าพ่อครัวในวัง แต่สเต็กของเขาเป็นที่ถูกพระทัยของเจ้าฟ้าหญิงไม่น้อยเลยล่ะ”

“จริงหรือเจ้าคะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านอีวานส์ ท่านช่างเป็นผู้มีเมตตาจริง” ลิลิธพบว่าผู้ที่นางเคารพบูชานั้นตรงกับที่คาดหวังเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ จึงยิ่งชื่นชอบเขาขึ้นไปอีก

หลังจากสั่งพ่อบ้านโลเปซให้พาซาลากับลิลิธไปยังห้องนอนแขก ลูเซียนก็ยืนเงียบอยู่ในห้องนั่งเล่นและเฝ้ามองพวกเขาออกไปจากห้อง เงาสีดำของเขาสั่นไหววูบวาบราวกับภูตผีภายใต้แสงเทียนรำไร

‘มันบังเอิญเกินไปที่ข้าได้ยินบทกวีจากท่านเดโรนี แล้วภายในไม่กี่เดือน ใครบางคนก็มาขอให้ข้าตีความเอกสารให้อีก’

‘เป็นไปได้ไหมว่าผู้พิทักษ์ราตรีกำลังลอบสังเกตการณ์ข้ามานานแล้ว แต่ไม่พบเบาะแสเกี่ยวกับศาสตราจารย์เสียที สุดท้ายก็เลยทนไม่ไหว เริ่มทดสอบข้าด้วยโบราณวัตถุ’

‘หรือว่ามีเหตุผลอื่นกันนะ’

ความสงสัยและความคิดคาดคะเนมากมายผุดขึ้นในใจลูเซียน แต่เขาต้องยอมรับว่าตัวเขาเองก็ใจร้อนและโลภไม่น้อยเลย

‘พลังจิตของข้ามาถึงขีดสุดแล้ว และอีกสองอาทิตย์เป็นอย่างมาก ข้าก็จะเลื่อนขั้นจากนักเวทฝึกหัดระดับสูงได้แล้ว ในตอนนี้ ทั้งหมดที่ข้าต้องทำก็คือศึกษาองค์ความรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และวิเคราะห์โครงสร้างเวทมนตร์ในหลายๆ ระดับล่วงหน้า เพราะทันทีที่ข้ามีน้ำยาและวัตถุดิบเวทมนตร์มากพอ ข้าก็จะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทได้อย่างเต็มตัว’

‘ดูจากขอบเขตม่านพลังมิติ “มหากางเขน” ในสถานที่ลับแล้ว รอบๆ นั้นดูไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ แถวนั้นจะต้องมีสวนเวทมนตร์ที่จะคอยสร้างระบบนิเวศน์เพื่อส่งพลังต่อไปเรื่อยๆ นั่นหมายความว่ามันจะต้องมีพืชกับวัตถุดิบที่ข้าต้องการอยู่แน่ๆ’

‘เมื่อสุริยามาเยือนพระราชวังแห่งธานอส ประโยคนี้ยังเป็นการเตือนว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าไปใน “มิติเวทมนตร์” คือวันที่สิบ เมษายนทุกๆ ปี เพราะมันคือช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะเข้าใกล้กลุ่มดาว “ธานอส” แต่ตามที่ตำราโหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์ว่าไว้ ความจริงแล้ว กลางดึกก่อนวันที่สิบ ตอนที่พระจันทร์สีเงินลอยอยู่กลางฟ้า เราจะเข้าไปได้ล่วงหน้า! เพราะจริงๆ แล้วเวลานั้นดวงอาทิตย์ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่คนบนพื้นดินมองไม่เห็น แท้จริงแล้วพระอาทิตย์กำลังเข้าใกล้ตำแหน่งนั้นต่างหาก’

นี่คือมิติเวทมนตร์ที่มีเอกลักษณ์พิเศษมาก หากว่าไม่เคยอ่านตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุเวทมนตร์’ ตำราเวทมนตร์อื่นๆ และบันทึกเวทมนตร์ของนักเวทระดับตำนาน ก็คงจะต้องใช้เวลาในการไขปริศนานี้อีกนานทีเดียว

ความระแวดระวังและความละโมบกำลังสู้รบปรบมือกันอย่างหนักหน่วงอยู่ในใจ แต่สุดท้ายฝั่งเหตุผลของลูเซียนก็เป็นฝ่ายมีชัย และไม่นานเขาก็ตัดสินใจได้ ‘อย่างไรเสียข้าก็กำลังจะไปจากนครอัลโต้และเดินทางไปที่สภาเวทมนตร์แห่งทวีป ไม่จำเป็นที่ข้าจะเอาตัวเองไปเสี่ยงในตอนนี้ รอจนกว่าจะมีรายละเอียดมากกว่านี้และมีพลังมากพอจะเข้าไปสำรวจก่อนดีกว่า’

ณ เวลานี้ เราควรจะต้องระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม!

หลังจากใช้เวลายามค่ำคืนในคฤหาสน์ ‘บรอนส์’ แสนมืดมนอย่างยากลำบาก ลิลิธก็จำใจบอกลาลูเซียนและกลับไปยังภายในตัวนครอัลโต้ เพราะตอนนี้หมดเวลาลงแล้ว สองพี่น้องตัดสินใจที่จะรออยู่ในเมืองจนกว่าเทศกาลดนตรีจะจบลง จากนั้นค่อยเดินทางไปยังเมือง ‘บอนน์’ ที่อยู่ติดกับทะเลสาบ ‘เอลซินอร์’

ลูเซียนเองก็เตรียมตัวกลับเข้าไปยังสมาคมนักดนตรีแห่งนครอัลโต้เพื่อฝึกซ้อมกับวงออเคสตรา

……………………………………….