สถานีตำรวจ

ตำรวจนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ที่นั่งตรงข้ามคือเชอร์รีน ทับทิม และคนที่เป็นพยาน

“คุณเล่าตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบ” ตำรวจทางด้านซ้ายชี้ไปที่พยาน

พยานพยักหน้า จากนั้นก็เล่าถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบอย่างถี่ถ้วน รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ด้วย

ระหว่างนั้น ทับทิมสะอื้นเบาๆ ก็ช่วงไหล่สั่นเทาด้วย แสดงความคับข้องใจของผู้เป็นเหยื่ออย่างเต็มที่ ดูน่าสงสารเหลือเกิน

ส่วนเชอร์รีนในตอนนี้ได้ฟื้นคืนสติสัมปชัญญะแล้ว กวาดสายตามองการแสดงของทับทิม รู้สึกแดกดันเป็นอย่างยิ่ง

ว่ากันว่า คนต้องการหน้าต้นไม้ต้องการเปลือก แล้วทำไมหน้าของทับทิมถึงได้ด้านขนาดนี้

“ขอถาม ฉันจะไปได้เมื่อไร” เชอร์รีนนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองตำรวจที่ทำกองเอกสารอยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับถามอย่างใจจดใจจ่อ

เมื่อได้ยินดังนั้น ตำรวจจึงเงยหน้าขึ้น “คุณผู้หญิง ในฐานะที่เป็นครูของประชาชนลงมือตบตีต่อหน้าสาธารณชน คุณคิดว่าวันนี้คุณยังจะไปได้อีกเหรอ”

ทับทิมได้ยินแล้วรู้สึกสะใจ มีความสุขราวกับดอกไม้บาน ทำให้เธอหยิ่งผยองขึ้นอีก

“คุณตบตีในที่สาธารณะ มีทั้งหลักฐานและพยานครบ และในฐานะที่คุณเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งรู้กฎหมาย กักตัวไว้สิบวัน” ตำรวจที่เพิ่งลงบันทึกเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามาหาเธอ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

ปัญหาที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องออกไปจากที่นี่ก่อน เชอร์รีนขมวดคิ้วพูดอย่างเยือกเย็น “งั้นฉันขอผ่อนผันการลงอาญาการกักกัน!”

สองนายตำรวจมองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้า “ได้”

เชอร์รีนสีหน้ายินดี ใจที่ตึงเครียดในที่สุดก็ผ่อนคลาย “อีกนานแค่ไหนถึงจะได้ออกไป”

“อีกครึ่งชั่วโมง”

แม้ทับทิมจะไม่รู้ว่าการผ่อนผันลงอาญาการกักกันหมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อได้ยินว่าอีกครึ่งชั่วโมงก็สามารถออกไปได้ เธอจึงเริ่มแสดงอีกครั้ง

“พวกคุณจะปล่อยเธอไปตอนนี้เหรอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำร้ายฉันนะ ปกติก็ทุบตีฉันเป็นประจำ เพราะเป็นครอบครัวเดียวกันก็เลยกลัวว่าเรื่องจะอื้อฉาว ดังนั้นจึงอดทน แต่ไม่คิดว่าเธอจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ พวกคุณจะปล่อยเธอไปจริงๆ เหรอ ฉันกลัวมากนะ!”

“เป็นผู้กระทำผิดซ้ำงั้นเหรอ” ปากกาในมือของตำรวจหยุดกึก เหลือบมองเชอร์รีน “ปฏิเสธคำขอ……”

เชอร์รีนลุกขึ้นพรวด อารมณ์ขึ้นอย่างมาก ทั้งสถานีตำรวจล้วนได้ยินเสียงเธอ “ฉันไม่ใช่ผู้กระทำผิดซ้ำ ทำไมพวกคุณฟังความเธอด้านเดียว ทุกอย่างต้องมีหลักฐาน หลักฐานของพวกคุณอยู่ที่ไหน”

“หลักฐานบุคคลอยู่ตรงนี้ไง”

ตำรวจผายมือชี้ไปทางทับทิมที่ยังไม่ไปไหน จากนั้นก็นำตัวเชอร์รีนที่อารมณ์ขึ้นจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้เข้าห้องขัง……

“กักตัวไว้สิบวันเลย! หึ! ดูซิว่าคุณจะเอาปัญญาไหนมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันได้!” ทับทิมส่งเสียงเยาะ ก่อนจะจากไปอย่างพึงพอใจ

ในสถานกักกันมีเครื่องทำความร้อน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวเย็นแม้แต่น้อย

แต่หัวใจเชอร์รีนกลับเย็นเยียบ เย็นเหมือนก้อนหิน ไม่ว่าความร้อนจะปกคลุมแค่ไหนก็ตาม

ที่จริงวันนี้เธอหุนหันพลันแล่นเกินไป ขาดสติสัมปชัญญะ เดิมทีเธอคิดว่าทับทิมแค่เป็นนักพนัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทับทิมจะเลวขนาดนี้!

ในฐานะครอบครัวเดียวกัน ทับทิมจงใจใส่ร้ายเธอให้ติดคุก จะเรียกว่าเป็นผู้หญิงที่จิตใจต่ำช้าที่สุดก็ไม่ผิด!

เธอนั่งยิ้มเยาะอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เช่นนั้นจากนี้ไป เธอจะไม่ออมมือให้ทับทิมอีก เพราะคนประเภทนั้นไม่สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างนุ่มนวล!

โทรศัพท์มือถือถูกยึด ทั้งพ่อและแม่ก็อยู่ระหว่างการท่องเที่ยว พี่ชายยังทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัด ไม่มีใครมาประกันตัวเธอได้เลย

แถมเธอยังตกลงไว้แล้วด้วยว่าพรุ่งนี้จะย้ายของออก ตอนนี้มาถูกขังอยู่ที่นี่ เจ้าของบ้านจะไม่โยนสิ่งของทั้งหมดออกไปหรอกเหรอ

แล้วไหนจะเลอแปงที่รอเธอไปสอน……

เชอร์รีนมีแต่เรื่องให้ต้องกังวล

***

สองทุ่มแล้ว แต่คุณครูเชอร์รีนยังไม่เข้ามาสอน เลอแปงมองดูนาฬิกาควอตซ์สามมิติในห้องนั่งเล่น แล้วก็มองไปที่ประตูห้องด้วยความหวัง

คุณครูเชอร์รีนรักษาคำพูดเสมอ ตราบใดที่สัญญา ก็ต้องทำให้สำเร็จ แม้จะมีเรื่องที่ทำให้ไม่สามารถมาได้ เธอก็จะโทรบอกเขาล่วงหน้า

แต่ไม่มีการโทรมาเลย หมายความว่าเธอต้องมา……

ในเวลานี้ ประตูคอนโดถูกคนด้านนอกเปิดเข้ามา เลอแปงเผยสีหน้าดีใจ น้ำเสียงก็อ่อนลงด้วย “คุณครูเชอร์รีน–”

ที่เข้ามาไม่ใช่เชอร์รีน แต่เป็นออกัส ขายาวก้างตรงมา มือใหญ่โยนเสื้อโค้ตสีดำลงบนโซฟา เงยหน้าขึ้น ดวงตากวาดมองเลอแปง ลงนั่งอย่างเกียจคร้านบนโซฟา “ทัศนคติของนายที่ต้อนรับคุณครูเชอร์รีนช่างอบอุ่นเหลือเกินนะ……”

เลอแปงก็นั่งลงบนโซฟาด้วยอย่างผิดหวัง และไม่ได้พูดอะไร จ้องมองดูเวลาตลอด

นี่สองทุ่มครึ่งแล้ว ทำไมคุณครูเชอร์รีนยังไม่มาอีก

ออกัสคลายเนคไทที่ผูกมาตลอดทั้งวัน เหลือเพียงเชิร์ตสีเทา กล้ามเนื้อหน้าอกอันแข็งแกร่งทำให้เสื้อกระชับรูปร่าง เหลือบมองเลอแปงที่อยู่ข้างๆ เขาพูดเสียงกดต่ำ “ไปพักผ่อนเถอะ คุณครูเชอร์รีนของนายวันนี้คงไม่มาแล้ว……”

ได้ยินดังนั้น เลอแปงหันขวับไปทันที “ทำไมครับ”

“เข้าสถานีตำรวจไปแล้ว” เขาพูดบางเบา นิ้วยาวพลิกเอกสารบนโต๊ะน้ำชา

เลอแปงใจสั่นแต่อดไม่ได้ที่จะยิ่งสงสัย “ทำไมต้องเข้าสถานีตำรวจครับ แล้วทำไมพี่ใหญ่ถึงรู้ล่ะ”

ศีรษะไม่ได้เงยขึ้น น้ำเสียงของเขายังคงไม่แย่แส ยกขาขึ้นซ้อนทับกันบนโต๊ะน้ำชา “บังเอิญเห็น”

แต่สิ่งนี้ กลับทำให้เลอแปงกังวลใจ ต่อว่าต่อขาน “ในเมื่อเห็นแล้ว งั้นทำไมพี่ใหญ่ไม่พาเธอออกมาล่ะครับ”

“เธอเป็นใครสำหรับฉัน” ริมฝีปากบางของออกัสเหยียดตรง ไม่ได้มีอารมณ์ใดๆ ระหว่างที่พูดสายตากวาดมองไปข้างตัวอีกครั้ง ด้วยอำนาจที่ไม่อาจมองข้ามได้ “กลับห้องไปพักผ่อน ถ้ารบกวนฉันอีกก็กลับบ้านไป”

ทันทีที่ได้ยิน เลอแปงก็หายใจไม่ออก ไม่ส่งเสียงอีก ไม่กล้าขัดคำสั่งพี่ใหญ่ เดินเข้าห้องไปอย่างไม่เต็มใจ

มือข้างหนึ่งกดล็อคประตู แล้วเลอแปงก็คิดอะไรขึ้นมาได้ฉับพลัน แววตาวิบวับเล็กน้อย