บทที่ 220 – มรดกของโรเซร่า ลา กราเซีย (2)
คำขอของเธอคงจะบ้าไปไม่น้อยกว่าการล้มล้างจักรวรรดิอย่างแน่นอน แต่ว่าซอลจีฮูที่คิดว่าฟังเธอหน่อยก็ไม่เสียอะไรจึงยอมรับฟัง
“แน่นอนสิครับ ว่ามาได้เลย”
“ขอบคุณนะ ถ้างั้น…”
โรเซร่าได้แสดงสีหน้าซาบซึ้งออกมา จากนั้นก็ค่อยๆยกมือขึ้น
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นและอ้าปากออกมาเล็กน้อย ภาพพระราชวังอันงดงามได้ง่ายไป และเขาเห็นก็แต่ซากปรักหักพังเพียงเท่าน้น
ไอควันสีขาวยังคงลอยขึ้นมาอยู่เลย และมันชัดเจนมากว่าใครเป็นคนทำ ยังไงแล้วที่นี่ก็มีแค่โรเซร่ากับทีมของพวกเขาเท่านั้น
“อ๊า ที่นี่กำลังอยู่ระหว่างซ่อมบำรุงน่ะ”
โรเซร่าได้ลืมพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นได้ถึงสีหน้าของซอลจีฮู
“ข่าวนั่นน่าตกใจมากจนฉันอยากจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อม”
โรเซร่าได้ยกมือปิดปากและหัวเราะออกมา จากนั้นหลังจากที่เธอโบกมือออกมา พระราชวังสีทองที่ถูกทำลายก็กลับมาเป็นปกติ
“เชิญทางนี้”
ซอลจีฮูได้เดินทัวร์พระราชวังโดยที่เครียดอยู่ตลอดเวลา
เขาได้จ้องไปที่โรเซร่าที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา หลังจากผ่านไปประมาณ 5 นาที เธอก็ได้เริ่มพูดขึ้น
“ฉันมันน่าสมเพชเนอะ?”
“?”
“หลังจากพูดอะไรที่ยิ่งใหญ่สูงส่งออกไปแล้วก็กลายมาเป็นแบบนี้…”
เอาเถอะนะ ตอนแรกมันก็น่าตลกดี แต่ว่าซอลจีฮูไม่ได้หมายความว่าโรเซร่าน่าหัวเราะเลยสักนิด
“ไม่เลยสักนิดครับ”
ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะทำตามเป้าหมายของเธอ
เธอต้องใช้เวลาอยู่ภายในความฝันมาหลายร้อยปี
เธอจะต้องมุ่งมั่นขนาดไหนกนถึงได้ไม่หวั่นไหวเลยสักนิดจนถึงตอนนี้?
ไม่ว่าจะยังไงแล้วความมุ่งมั่นที่ไม่สั่นคลอนของเธอ มันก็น่าเคารพและควรเอาเป็นแบบอย่าง
ในตอนนั้นเองโรเซร่าก็ได้พูดขึ้น
“คุณรู้ไหมว่ามนตราคืออะไร?”
ทันใดนั้นเองจู่ๆเธอก็ถามออกมาเหมือนถามเล่นๆ แต่ว่าเมื่อเขารู้ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอจะพูดต่อไป ซอลจีฮูจึงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
โรเซร่าอาจจะไม่ได้หวังคำตอบอยู่แล้วเพราะเธอได้พูดต่ออย่างสงบ
“เวทมนต์คือการใช้มานาซึ่งเป็นงานพิเศษของมนุษย์เพื่อทำในสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ คาถาเวทย์คือเทคนิคที่จะแสดงปรากฏการณ์ต่างๆด้วยการยืมพลังของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติหรือพลังลึกลับต่างๆ”
เธอได้อธิบายต่ออย่างชัดเจน และกระชับ
“สิ่งที่เรียกว่ามนตราคือศาสตร์ใหม่ที่ผสานเอาทั้งสองอย่างนั่นเข้าด้วย”
จากนั้นเธอก็ได้หันกลับมายิ้มให้ซอลจีฮู
“แถมมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันถูกเรียกว่าแม่มด”
ซอลจีคิดตามถึงสิ่งที่เธิเพิ่งจะบอกมา
“คุณจะบอกว่า… คุณโรเซร่าเป็นคนก่อตั้งศาสตร์มนตรา?”
“ใช่แล้วล่ะ ในตอนฉันยังมีชีวิต จักรวรรดิทำเหมือนกับฉันเป็นคนนอกรีดแล้วก็กีดกันฉันออกไปก็เพราะแบบนี้”
โรเซร่าได้พูดออกมาราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วซอลจีฮูก็แสดงสีหน้าสับสนออกมา
“ทำไมล่ะครับ? แล้วศาสตร์คาถาเวทย์ไม่โดนเหมือนกันหรอครับ?”
“จักรวรรดิเป็นประเทศที่มีเวทมนต์เป็นรากฐาน”
โรเซร่าได้ตอบกลับด้วยสีหน้าแข็งทื่ออย่างคาดไม่ถึง
“ประเทศแห่งเวทมนต์ สร้างโดยเวทมนต์ และมีไว้เพื่อเวทมนต์ มีเพียงเรื่องเส้นทางการเป็นนักเวทย์เท่านั้นที่ถูกอนุญาตให้พูดถึง ศาสตร์อื่นๆทั้งหมดต่างก็เป็นเป้าหมายที่จะถูกกำจัด”
โรเซร่าได้กัดริมฝีปากอย่างไม่พึงพอใจ
“คาถาเวทย์ก็ถูกข่มเหงเป็นพิเศษเหมือนกัน ไม่เพียงแค่ต้องบูชาเทพของจักรวรรดิเท่านั้น แต่การบูชาตัวบุคคลเป็นแบบอย่างก็ยังนับเป็นเรื่องต้องห้ามในช่วงเวลานั้น…”
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโรเซร่าถึงได้อาฆาตแค้นจักรวรรดิมากขนาดนั้น ถึงเขาจะไม่มั่นใจ แต่ดูเหมือนว่าโรเซร่าจะต้องลำบากกับบางอย่างที่คล้ายการล่าแม่มดแน่ๆ
ไม่ใช่ว่านี่คือเหตุผลที่เธออยากถอนรากถอนโคนจักรวรรดิที่มีรากฐานมาจากเวทมนต์หรอกหรอ?
“ฉันขอพูดไว้หน่อยนะเผื่อคุณจะเข้าใจผิด ฉันไม่ได้เกลียดเวทมนต์ ไม่ว่าจะเป็นเวทมนต์หรือคาถาเวทย์ ฉันก็เชื่อว่าทั้งสองอย่างต่างก็เป็นศาสตร์ที่น่าสนใจ สิ่งที่ฉันเกลียดคือจักรวรรดิที่บังคับให้คนอื่นต้องเชื่อในศาสตร์เวทมนต์เพียงอย่างเดียว”
“อืมม… ถ้างั้นทำไมคุณไม่ออกจากจักวรรดิ ไปที่อื่นล่ะครับ?”
“ที่ไหนล่ะ? อิทธิพลได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป จะมีประเทศไหนอีกที่ยอมรับฉัน? ทางเลือกเดียวของฉันก็คือการถูกเนรเทศออกมาในที่ที่ไม่มีใครหาเจอ”
โรเซร่าได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ตราบใดที่คุณเกิดมาเป็นประชาชนของจักรวรรดิ คุณก็จะต้องทำตามกฏของมัน เอาเถอะ ฉันก็ไม่คิดว่านั่นมันผิด แต่ว่าด้วยแค่เหตุผลเดียวนั่นฉันก็ไม่อาจจะล่ะทิ้งศาสตร์ของคาถาเวทย์ได้”
โรเซร่าได้ลังเลอยู่นาน จากนั้นเธอก็พูดขึ้นเหมือนกับตัดสินใจได้แล้ว
“คุณรู้อะไรไหม พื้นเพแล้วฉันไม่ใช่คนของโลกใบนี้”
“…ว่าไงนะครับ?”
ซอลจีฮูได้ผงะถอยไปด้วยความตกใจ
“ฉันจะเรียบเรียงให้ฟังแล้วกันนะ ฉันได้เกิดและเติบโตขึ้นมาในพาราไดซ์แน่นอน แต่ว่าต้นตระกูลกาเซียไม่ได้มาจากโลกใบนี้ บรรพบุรุษของฉันเธอมีต้นกำเนิดมาจากโลกอื่น แต่ว่าถูกเนรเทศมาที่พาราไดซ์หลังจากเผชิญกับเหตุการณ์หนึ่ง”
โรเซร่าได้หยักไหล่ออกมา
“ถึงมันจะเชื่อได้ยาก แต่ว่ามันคือความจริง บันทึกที่บรรพบุรุษได้ถึงเอาไว้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน”
ซอลจีฮูก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ พอมาคิดๆดูแล้วเขาก็อยู่ในตำแหน่งนี้เหมือนกัน
‘แต่ว่าโลกอีกใบหนึ่ง…’
ทันใดนั้นซอลจีฮูก็ถามอย่างประหลาดใจ
“แล้วโลกนั่นมีชื่อว่าอะไรหรอครับ?”
“อืมมม- บันทึกได้เขียนไว้ว่าคือฮอลเพลน” (เป็นโลกที่เกี่ยวกับนิยายอีกเรื่องของผู้แต่งคนเดียวกันครับ)
“ฮอลเพลน… ถ้างั้นแล้วบรรพบุรุษของคุณถูกเนรเทศมาที่พาราไดซ์ได้ยังไงกันครับ?”
“บรรพบุรุษของฉันดูเหมือนจะเป็นทั้งวีรบุรุษและนักบุญหญิงในโลกใบนั้น เธอได้ร่วมมือกับสามพันธมติรเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และช่วยมนุษยชาติเอาไว้ได้ มันเป็นเรื่องที่เหมือนกับนิยายอย่างแท้จริง”
โรเซร่าได้อธิบายออกมาอย่างช้าๆราวกับเธอกำลังเล่านิทานให้เด็กฟัง
“แต่ว่าหลังจากนิยายได้จบลงมันคือความโหดร้าย”
“?”
“เมื่อทุกๆอย่างได้จบลง นักเวทย์ในกลุ่มได้เผยถึงความต้องการอันแรงกล้าที่มีต่อราชินีแฟรี่ ไม่เพียงแค่เขาจะลักพาตัวราชินีแฟรี่เท่านั้น แต่ว่าเขาก็ยังลักพาตัวฮีโร่คนที่เธอได้หมั่นหมายเอาไว้ไปด้วย และขังพวกเขาเอาไว้ในฐานทัพ”
ซอลจีฮูได้ผงะไป จากเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความฝันและความหวังได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมอย่างทันตา
“นักบุญหญิงกราเชียที่รู้เรื่องในภายหลังได้นำกองทัพของเธอไปบุกฐานทัพของคนทรยศเพื่อช่วยสหายทั้งสองคน น่าเสียดายที่การช่วยเหลือได้จบลงด้วยความล้มเหลว ไม่เพียงแค่กองทัพของเธอพ่ายแพ้อย่างหมดท่าเท่านั้น แต่ว่านักบุญหญิงก็ยังถูกบังคับส่งข้ามมิติออกมาอีกด้วย พูดไปแล้วมันก็คือกสนที่เธอถูกเนรเทศออกมาจากโลกของเธอนั่นแหละ”
“อ่า… ผมขอโทษด้วยครับ”
ซอลจีฮูได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของเขาทันที เขาเผลอไปถามมากเกินจำเป็นเพราะความทึ่งซะแล้ว
เขาได้ยิ้มแหย่ๆพูดออกมา
“ผมขอโทษ”
“ไม่หรอก นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ฉันต่อต้านจักรวรรดิ”
หนึ่งในเหตุผลที่ต่อต้าน จากนั้นทันทีที่เขาได้ยินคำต่อมา เขาก็พอจะเดาได้ทันที
“คุณโรเซร่า… อยากจะกลับไปที่เฮลเพลน?”
“…คุณนี่เข้าใจอะไรง่ายดีนะ”
โรเซร่าได้ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าแทนที่จะโหยหาอยากกลับไป… ฉันอาจจะอยากหนีความจริงก็ได้ ฉันก็ยังสงสัยแล้วก็ไม่ได้ชอบโลกใบนี้จริงๆ”
“…”
“แต่ว่าการข้ามมิติมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจจะกล้าฝันได้เลย”
เธอพูดถูก ที่มนุษย์โลกเข้ามาในพาราไดซ์ได้นั่นก็เพราะพลังของเทพแห่งพาราไดซ์ หรือก็คือมีแต่คนที่มีพลังเทียบเท่ากับเทพเท่านั้นถึงจะทำอะไรแบบนั้นได้
“หลังจากคิดอยู่นานฉันก็ได้ข้อสรุปออกมา หากว่าฉันไปจากโลกที่อยุติธรรมนี่ไม่ได้ ฉันก็จะเปลี่ยนมันเอง เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นหลัง ฉันจะตัดเตรียมสถานที่ที่ทุกคนสามารถจะแบ่งความรู้และความเข้าใจในศาสตร์ใดๆก็ตามให้แก่กันได้ และเพื่อจะทำแบบนั้นจักรวรรดิที่เชิดชูในแต่เส้นทางเวทมนต์จะต้องถูกทำลาย”
ซอลจีฮูได้เลิกคิ้วขึ้นมา
เปลี่ยนแปลงโลก
คำเหล่านี้ได้ดังก้องอยู่ในหัวของเขา
“เพราะงั้นฉันถึงได้ทำการหลอมรวมเวทมนต์กับคาถาเวทย์เข้าด้วยกัน เพราะในตอนนั้นฉันอยากที่จะได้ในพลังใหม่ที่ไม่เคยมีใครมี แน่นอนว่าคนอื่นบอกว่าฉันบ้า และพยายามจะหยุดฉัน แต่ว่า-“
“มันน่าเหลือเชื่อ!”
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเธอออกมา แต่ว่าโรเซร่าได้ชะงักไปและกระพริบตานิ่งๆ
“ว่าไงนะ?”
“ก็คุณทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนสำเร็จนี่นา”
สิ่งที่โรเซร่ากำลังบอกนั่นมีความสำคัญกับซอลจีฮูอย่างยิ่ง เขากำลังอยู่ในระหว่างการกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงที่แท้จริง และเขารู้สึกเหมือนกับว่าในที่สุดเขาก็ได้พบกับผู้นำ
ยังไม่หมดเท่านั้น พวกเขาทั้งคู่ยังมีส่วนที่คล้ายกันอยู่หลายส่วนจนน่าแปลกใจ
ซอลจีฮูอยากจะเปลี่ยนแปลงพาราไดซ์ ขับไล่ปรสิต และมนุษยชาติส่วนหนึ่งออกไปในระหว่างกระบวนการนี้
แต่ว่าเมื่อเห็นท่าทีแปลกของโรเซร่า ซอลจีฮูก็ได้แต่เกาหัวออกมา
“เอ่อ ผมพูดอะไรหยาบคายไปหรือเปล่า…?”
“มะ ไม่หรอก… ฉัน… ฉันแค่ไม่คิดว่าคุณจะคิดแบบนั้นจริงๆ… ฉันไม่เคยเห็นปฏิกิริยาแบบนี้มาก่อนเลย”
โรเซร่าได้พูดติดอ่างออกมา
“…ขอโทษด้วยนะ เมื่อก่อนในตอนฉันพูดเรื่องนี้ ทุกๆคนต่างก็มีท่าทีแบบเดียวกัน”
“พวกเขาพูดว่าอะไรหรอครับ?”
“นั่นคือฉันหลงตัวเอง”
“…”
“ฉันยังได้ยินคำว่า ‘ยัยบ้า’ ‘คลั่ง’ ‘ไสหัวไป’ แล้วก็ ‘ว้าว แม่สาวคนนี้กำลังทำให้ฉันบ้า!’”
ซอลจีฮูไม่มั่นใจเรื่องคนอื่น แต่ว่าเขารู้สึกเหมือนจะพอรู้จักคนที่พูดอย่างคำสุดท้าย
“อืมม… นี่มันเป็นครั้งแรกที่ฉันถูกชม ตะ แต่ว่ามันรู้สึกดีมากเลยล่ะ”
โรเซร่าได้หลบสายตาไปจากซอลจีฮู จากนั้นก็กระแอ่มขึ้นมา
“อะแฮ่ม ใช่แล้วล่ะ! มันน่าเหลือเชื่อ! ปาฏิหาริย์จะทอดสะพานให้กับคนที่มุ่งมั่น ด้วยความหมั่นเพียรฉันได้บุกเบิกเส้นทางใหม่ขึ้นมา คุณไม่เข้าใจหรอกว่าฉันสะเทือนใจมากแค่ไหนในตอนแรกที่ได้เจอเข้ากับต้นดำเนิด…”
“ต้นกำเนิด?”
“ต้นกำเนิดก็คือ…”
โรเซร่าได้รีบปิดปากลงไปทันที
“ต้นกำเนิดคือ…”
เธอดูจะลังเล มันไม่ใช่ว่าเธอลังเลที่จะบอกเขา กลับกันมันเหมือนกับว่าแนวคิดนี้มันดูเหมือนจะยากเกินไปและเกินขอบเขตที่เธอจะอธิบายออกมาด้วยคำพูดได้
“การขึ้นของดวงอาทิตย์ และการตกของดวงจันทร์”
โรเซร่าได้พูดออกมาเบาๆ
“ในตอนดวงจันทร์ขึ้น ดวงอาทิตย์ก็จะตก น้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ หลักพื้นฐานของเหตุและผลของปรากฏการณ์ในธรรมชาติจะถูกเรียกว่าต้นกำเนิด”
เธอดูเหมือนจะเคร่งขรึมและจริงจังยิ่งกว่าเคย
“จริงๆแล้วแม้กระทั่งฉันก็ยังไม่ได้รู้เรื่องต้นกำเนิดอะไรมาก แน่นอว่าฉันก็ภูมิใจในความสำเร็จของฉันที่ได้สัมผัสกับมันในฐานะของมนุษย์ธรรมดา แต่ว่าจากมุมมองของทั้งจักรวาลแล้ว ฉันเพิ่งจะก้าวเข้าประตูไปแค่ก้าวเดียวเท่านั้น”
ทันใดนั้นซอลจีฮูก็โล่งใจขึ้นมาที่เขาไม่ได้เลือกในเส้นทางของนักเวทย์ นั่นมันก็เพราะว่าเขาไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่โรเซร่าพูดเลย
“ฉันก็แค่ได้รับคุณสมบัติพื้นฐานสุดในการดูมันเท่านั้นเอง…”
ทันใดนั้นโรเซร่าก็หยุดเดินไป ซอลจีฮูได้สังเกตว่ารอบตัวเขามืดลงไปมา พวกเขาคงจะมาถึงจุดหมายที่จะจะเอาไว้คุยกันแล้ว
“ที่นี่คือ-“
ที่นี่ดูเหมือนกับห้องท้องพระโรง และโรเซร่าก็ได้เดินขึ้นบันไดไปบนแท่นบูชา
“น้ำพุแห่งปัญหาที่ไร้ก้นบึ้ง และการพิสูจน์ว่าฉันได้สัมผัสกับขอบเขตของต้นกำเนิด”
ลูกแก้วขนาดเท่ามือหนึ่งได้ลอยอยู่บนแท่นบูชาสี่เหลี่ยม พร้อมทั้งเปล่งประกายออกมาอย่างรุนแรง
โรเซร่าได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา และกอดลูกแก้วที่เรืองแสงอย่างมีค่า ต่อมาเธอก็ได้หันกลับมาหาซอลจีฮู และบอกถึงตัวตนของแสงนี้ด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ฉันเรียกมันว่าแสงนิรันดร์แห่งปัญญา”
จากนั้นเธอก็พูดต่อ
“จริงๆแล้วฉันได้คิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“…”
“ในชีวิตนี้ฉันมีความต้องการอยู่แค่สองอย่าง การข้ามมิติ แล้วก็การล่มสลายของจักรวรรดิ แต่ว่าฉันได้ทำมันล้มเหลวทั้งสองอย่าง”
หนึ่งคือสิ่งที่เธอทำไม่ได้ และอีกอย่างคือสิ่งที่เธอไม่อาจจะทำได้
โรเซร่าได้เอียงหัวออกมา และจ้องไปที่เพดาน
“ฉันจะพูดยังไงดีล่ะ…. ฉันไม่ได้รู้สึกถึงความพ่ายแพ้แบบนี้มานานแล้ว ฉันทำจนถึงขนาดกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่อมตะที่ได้แต่รอแล้วรอเล่า…”
ความเกลียดชังที่ฝังรากลึกได้ทำให้ทนอยู่ต่อได้ แต่ว่าจากการที่ได้รับรู้ความจริงจากซอลจีฮูทำให้ตอนนี้ความเกลียดชังของเธอไร้จุดที่ให้ลงแล้ว
หากว่าเธอยังมีร่างกายที่มีชีวิตอยู่ ความตกใจอาจจะส่งผลให้เธอต้องนอนเตียงได้เลย
“การล่มสลายของจักรวรรดิเป็นคความจริงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ มันไม่มีเหตุผลอะไรให้ฉันมีชีวิตอยู่อีกแล้ว แต่ว่า…”
โรเซร่าได้จ้องตรงมาก่อนที่จะพูดต่อ
“ฉันก็ยังเกลียดความคิดที่ว่าฉันกำลังจะหายไปอย่างไร้ค่า”
เธอได้ลูบแสงนิรันดร์แห่งปัญญาด้วยสีหน้าขมขื่น
“คือคุณไม่รู้สึกเหมือนฉันหรอ? สายเลือดกราเซียได้หมดลงในรุ่นของฉัน ชื่อนี้กำลังจะหายไปทั้งในพาราไดซ์แล้วก็ฮอลเพลนโดยที่ไม่มีร่องรอยอะไรเหลือไว้เลย… นี่มันช่างน่าเศร้าและน่าอึดอัดใจเกินไปแล้ว”
“…”
“ฉันไดด้อุทิศทั้งชีวิต สละร่างกายและจิตใจเพื่อทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ”
โรเซร่าที่หวาดกลัวการสูญเสียผลของการตรากตรำพยายามมาได้เงียบลงไป
ซอลจีฮูก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม การไม่อยากหายไปในหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ซอลจีฮูเข้าใจเธอในเรื่องนี้
“เพราะงั้นฉันได้ตัดสินใจแล้ว ในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้ อย่างน้อยฉันก็อยากจะทิ้งหลักฐานพิสูจน์เอาไว้ว่า ฉัน โรเซร่า ลา กราเซียมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ ฉันจะทิ้งร่องรอยของตระกูลกราเซียเอาไว้”
หลังจากเงียบอยู่นาน โรเซร่าก็มองมาที่ซอลจีฮู
“เพราะงั้นฉันมีหนึ่งคำขอที่จะขอกับคุณ”
ในที่สุดเธอก็เข้าเรื่องแล้ว
“คุณพอจะพาคนที่มีพรสวรรค์ในศาสตร์นี้มาให้ฉันได้ไหม?”
ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกกว้างกับคำขอที่คาดไม่ถึง
“ศาสตร์?”
“ใช่แล้วล่ะ คนที่สามารถจะยอมรับแสงนิรันดร์แห่งปัญญาได้ พูดง่ายๆก็คือคนที่จะกลายมาเป็นผู้สืบทอดของฉัน”
ซอลจีฮูได้จ้องไปที่ลูกแก้วแสงอย่างไม่รู้ตัว แรงดึงดูดของมันทรงพลังมากจนเหมือนจะดูดเขาเข้าไปข้างใน เพราะงั้นเขาจึงรีบหลบตาออกมา
‘ไม่รู้สินะ….’
คำขอนี้ของเธอง่ายกว่าคำขอไร้สาระอย่างการทำลายจักรวรรดิก่อนหน้านี้เป็นพันเท่า แต่ว่าจะมีสักกี่คนที่เข้าใจถึงคุณค่าของลูกแก้วแสงนี่กันล่ะ? สุดท้ายแล้วแม้กระทั่งเขาก็ยังไม่มั่นใจ
“หากว่ามีคนที่ยอมรับในแสงนี้ได้… อืมม ผมจะพูดยังไงดีล่ะ… คนๆนั้นจะต้องต่างจากนักเวทย์ธรรมดาทั่วไปไหมครับ?”
“ต่างกันงั้นหรอ?”
เสียงของโรเซร่าได้สูงขึ้นมาในทันที แก้มของเธอแดงขึ้นมาเหมือนกับว่าเธอรู้สึกว่าซอลจีฮูเพิ่งจะดูถูกเธอไป แต่ว่าเมื่อรับรู้ว่าซอลจีฮูไม่ได้มีเจตนาอะไรแบบนั้นเลย เธอจึงหยุดแค่เสียงเบาๆ
“มันจะถูกกว่าถ้าจะพูดว่ามันคนล่ะเรื่องกันเลย”
เธอได้พูดออกมาอย่างหนักแน่นราวกับว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้อีก
“แน่นอนว่าฉันไม่อาจจะพูดว่าเส้นทางที่ฉันเดินไปมันยอดเยี่ยมที่สุด แต่ว่าดวงตาแห่งสวรรค์ที่สามารถจะมองเห็นต้นกำเนิดได้เป็นพลังโดยกำเนิดที่มีเพียงผู้ถูกเลือกไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีมัน และดวงตาที่สามที่ซึ่งสามารถจะมองผ่านได้แม้กระทั่งสวรรค์นี้เป็นพลังที่อยู่เหนือกว่าสวรรค์ อย่างน้อยที่สุดแล้วหากพูดถึงเรื่องของศักยภาพของมนุษย์ก็ไม่มีอะไรให้กังขาเลยสักนิด”
มันเป็นอีกครั้งแล้วที่เขาทำในสิ่งที่ไม่ควรทำออกไป ซอลจีฮูได้ตำหนิตัวเองอีกครั้งหนึ่งที่ทำพลาดไป
“เนื่องจากว่าแสงนิรันดร์แห่งปัญญาได้รับผลกระทบอย่างมากจากสายเลือดของตัวบุคคล ผู้ที่มีศักยภาพโดยกำเนิดจึงจะเข้ากับมันได้เป็นอย่างดี มันคือสิ่งที่ไม่อาจจะหาใครก็ได้ที่มีความพยายามมารับมันไปได้ แม้กระทั่งผู้มีพรสวรรค์ก็ยังต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อให้มีโอกาสได้คว้ามันไปเลยด้วยซ้ำ”
เธอได้พูดยาวออกมา จากนั้นก็เหลือบมองไปด้านข้าง
เมื่อได้เล่าถึงความยอดเยี่ยมของเธอให้เขาฟังแล้ว เธอก็นั่งลงไปบนแท่น ค่อมไหล่และส่ายหัวออกมา จากนั้นเธอก็ยืดอกขึ้น
“กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่านะ ผู้สืบทอดของฉันจะต้องอยู่ในจุดที่ต่างออกไป เขาหรือเธอจะต้องมีความชำนาญในด้านมนตราอย่างเต็มที่ บวกกับด้วยความช่วยเหลือของฉันมันก็ไม่น่าจะยากเกินไป”
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะถามออกมาว่า ‘แล้วผมล่ะ?’
“แน่นอนว่า หากเขาหรือเธอมีความสามารถโดยกำเนิดก็จะดีมาก แต่จริงๆแล้วฉันชอบในคนที่พยายามอย่างหนัก และพยายามศึกศาในศาสตร์ๆนี้อย่างมุ่งมั่นอยู่ตลอดเวลา”
แต่ว่าหลังจากได้ยินประโยคต่อมาของเธอ เขาก็ต้องกลืนคำพูดลงไป
มีคำกล่าวไว้ว่าการมีมากเกินไปก็แย่พอๆกันกับมีน้อยเกินไป
เขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อไปในเส้นทางที่จางมัลดงได้บอกกับเขา เพราะงั้นเขาจึงไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถย่อยความรู้ของแสงนิรันดร์แห่งปัญญาได้
ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาก็อยากจะบุกเบิกในเส้นทางของตัวเอง แทนที่จะไปเดินรอยตามเส้นทางที่คนอื่นได้สร้างเอาไว้แล้ว
‘เดี๋ยวก่อนนะ’
ในตอนนั้นเองจู่ๆความคิดหนึ่งก็ได้เข้ามาในหัวของเขา และผงะไป
‘ไม่ใช่ว่ามันใกล้แล้วหรอ?’
อีกไม่นานเขตพื้นที่เป็นกลางเดือนมีนาคมที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากพาราไดซ์ก็จะเปิดขึ้น
หากว่าซอลจีฮูสามารถจะรับชาวโลกที่มีพรสวรรค์เข้าทีม เขาก็จะได้รับผู้ใช้มนตราที่มีเพียงหนึ่งเดียวในพาราไดซ์มาเป็นพรรคพวกได้
ในตอนนี้เองซอลจีฮูถึงได้รู้ว่าเขาโชคดีแค่ไหนกันที่ได้มีโอกาสนี้
“ดูเหมือนว่าเราจะมีความสนใจตรงกันอยู่นะ”
โรเซร่าได้ยิ้มออกมาเมื่อเธอได้อ่านความคิดของเขา
“คุณจะยอมรับคำขอของหญิงสาวคนนี้ใช่ไหม?”
“ครับ แต่ว่ามันอาจจะใช้เวลาสักพักนะครับ”
“คุณมีเวลาให้ใช้ได้เต็มที่เลย”
โรเซร่าได้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“ฉันได้รอมาเป็นร้อยปีแล้ว การรอต่อไปอีกสักสิบกว่าปีก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“ไม่หรอกครับ คุณไม่ต้องรอนานขนาดนั้นหรอก อยอ่างเร็วก็ไม่กี่เดือน แล้วก็อย่างนานสุดก็ไม่กี่ปี…”
“สำหรับฉันแล้วยิ่งเร็วก็ยิ่งดีแหละ ยังไงก็ตามฉันดีใจ”
โรเซร่าดูจะโล่งใจมาก
“แล้วพอผมเจอผู้สืบทอด ผมแค่ต้องพาเขามาที่นี่?”
“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่า-“
โรเซร่าได้จ้องมาที่จี้ที่ห้อยอยู่บนคอซอลจีฮู
“หากว่าเราติดต่อกันไว้มันจะดีกว่าใช่ไหมล่ะ?”
“มีวิธีทำแบบนั้นได้ด้วยหรอครับ?”
“แน่นอนสิ!”
โรเซร่าได้ตะโกนออกมาอย่างสดใสด้วยสีหน้าร่าเริง
“มนตรามีรากฐานมาจากพลังแห่งการสรรสร้าง มันสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้ทุกประเภศ!”
เธอได้เธอตรงเข้ามาวางมือลงบนจี้ก่อนที่จะดึงออกมา เมื่อแสงจางๆได้ทำให้อัญมณีหมองลงไปเล็กน้อย เธอก็ยิ้มแปลกๆออกมา
‘เธอทำอะไรลงไป?’
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้หน้าด้านจนถึงขนาดเข้าไปแย่งบ้านของคนอื่นหรอกนะ”
“ว่าไงนะครับ?”
ซอลจีฮูได้ถามกลับไปเหมือนอย่างเคย โรเซร่าก็ได้หัวเราะขึ้น จากนั้นก็มองลงไป
“ดูเหมือนว่าพรรคพวกของคุณจะเก็บมรดกกันเสร็จแล้วนะ”
“เสร็จแล้วหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ พวกเขากำลังบ่นถึงคุณอยู่เลย บางคนก็เป็นห่วงด้วย”
ใช่แล้ว ในเมื่อพวกเขาได้ทุกๆอย่างมากแล้ว มันก็เข้าใจได้ว่าพวกเขาอยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“คุณอยากจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลยไหม?”
“ครับ รบกวนด้วย”
เขาได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว เพราะงั้นซอลจีฮูจึงหยักหน้าออกมา โรเซร่าได้ก้มหัวให้เขาอย่างสง่งาม
“ขอบคุณมากนะที่รับฟังในคำขออันไร้เหตุผลของฉัน”
จากนั้นเธอก็พูดต่อด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณคุณมาก นานแล้วที่ฉันไม่ได้ใช้เวลาอันสดชื่นแบบนี้”
“ไม่เลยครับ”
“ไม่หรอก ฉันไม่ได้จะประจบนายนะ นี่เป็นคำชมที่มาจากใจจริงๆของฉัน…”
เธอได้ทิ้งท้ายเอาไว้แบบนี้ จากนั้นก็ถามออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส
“อ่า เอาล่ะ ฉันยอมแพ้กับจี้ไปแล้ว เพราะงั้นหากว่าฉันไปโผล่ในฝันของคุณบ่อยๆก็อภัยให้ฉันด้วยนะ”
เธอหมายความว่ายังไงกัน?
ซอลจีฮูได้ถามออกมา แต่ว่าโรเซร่าก็ไม่ได้ตอบ เธอเพียงแค่แสดงสีหน้าปแปลกๆเท่านั้นเอง
“ฟุฟุ พรรคพวกของคุณกำลังกังวลกันแล้ว”
โรเซร่าได้ยกแขนขึ้นอย่างช้าๆ
“ถ้างั้นจนกว่าเราจะได้เจอกันอีก ฉันขอภาวนาให้คุณโชคดีนะ”
น้ำเสียงชวนฝันของเธอได้ดังออกมาเหมือนกับเสียงดนตรี และก่อนที่ซอลจีฮูจะได้พูดอะไรออกมา-
“ฉันหวังว่าคุณจะมีความฝันที่ยิ่งใหญ่นะ”
มือของโรเซร่าได้ประสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
แปะ!
***
ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกโพล่งขึ้นมา
‘หืม…?’
นี่มันรู้สึกไม่ต่างไปจากการที่เขาตื่นมาจากฝันร้ายเลย เขารู้สึกสดชื่นเหมือนกับเพิ่งจะหลับเต็มอิ่มมา เมื่อภาพตรงหน้าที่พร่ามัวของเขาชัดเจนขึ้น ซอลจีฮูก็ได้กลืนน้ำลายลงไป
เสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจได้ดังออกมารอบตัวเขา
สมาชิกทีมของเขากำลังนอนอยู่ตรงกลางป่าอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้จารึกกำลังส่องแสงริบหรี่ออกมา เขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาคงจะหลับฝันลงไปโดยไม่รู้ตัวอีกครั้งหนึ่ง
แม้กระทั่งโฟลนก็ด้วย
เขาไม่อาจจะบอกได้เลยว่าสิ่งที่เขาเห็นคือความฝันหรือความจริง
“อ่า เวรล่ะ”
โชฮงที่กำลังลูบหน้าผากงัวเงียได้รีบลุกขึ้นมา เมื่อเห็นกระเป๋าที่วางอยู่รอบตัว เธอก็มองพวกมันด้วยความไม่มั่นใจ
“ขอล่ะนะ… ขอเถอะ…”
เธอได้ค่อยๆแกะกระเป๋าอย่างตั้งใจ จากนั้นรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ เธอได้หยิบทองออกมาหนึ่งกำมือและหัวเราะขึ้น
“ดูสิ! มันไม่ใช่ความฝัน! มันไม่ใช่ความฝัน! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
“เวรเอ้ย ฉันคิดว่าฉันฝันร้ายอีกแล้ว…”
มาเรียได้ถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งอก และเริ่มตรวจสอบดูทีล่ะกระเป๋า
“แล้วนายไปไหนมา?”
ฮิวโก้ได้สะกิดซอลจีฮูที่กำลังนั่งอยู่อย่างสับสน
“โอ้ ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันเพิ่งจะไปคุยกับเธอมา”
ในที่สุดซอลจีฮูก็ลุกขึ้นยืนมองดูโชฮงกับมาเรียที่กำลังเริ่มค้นกระเป๋า
“ทุกอย่างปกติดีนะ”
“ใช่สิ! ไม่มีเศษทองหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเลยล่ะ!”
ฮิวโก้ได้ทุบอกตอบกลับมา ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเชื่อใจคำพูดนี้ได้เต็มที่
ฮิวโก้ได้รีบพูดขึ้นพร้อมทั้งเข้ามานวดไหล่ซอลจีฮู
“ซอล ฉันไม่เคยโชคดีขนาดนี้มาเลยทั้งชีวิต! การบอกให้นายเข้าร่วมคาเพเดี่ยมในตอนนั้นของฉันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของฉันเลยล่ะ! ดูเงินทั้งหมดนี่สิ!”
ความตื่นเต้นของฮิวโก้ยังไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่นิด
ใช่แล้ว เงินก็ไม่ได้แย้
แต่ว่าแจ็ตพ็อตจริงๆมันคืออย่างอื่นต่างหาก
ซอลจีฮูได้กำจี้แน่นและมองไปรอบๆป่า เขาอาจจะเข้าใจผิดไป แต่ทั้งป่าดูเหมือนจะสว่างมากขึ้น
ไม่สิ เขามั่นใจว่ามันสว่างขึ้นจริงๆ
หมอกได้หายไปแล้ว และแสงสีน้ำเงินอันน่ากลัวก็เช่นเดียวกัน ที่นี่ไม่มีความมืดและความอับชื้นอีกต่อไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความเย็นสบายสดชื่น
ซอลจีฮูได้หันหน้าไป ลมเย็นๆได้พัดกระทบใบหน้าของเขาที่กำลังมีรอยยิ้มกว้างอยู่
“ตอนนี้ก็ออกจากป่ากันเถอะ”
ทีมปฏิบัติการได้ตะโกนตอบรับออกมาดังยิ่งกว่าเคย