บทที่ 356 บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ร่วมเดินทางกับผู้อริยะ

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 356 บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ร่วมเดินทางกับผู้อริยะ

เงียบสงบ!

เงาผู้อริยะยิ่งใหญ่หลายร่างปรากฏกายขึ้นริมทะเลสาบ ทุกคนมีกลิ่นอายพลังลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

เห็นได้ชัดมากว่าคนพวกนี้คือผู้อริยะ หลังสัมผัสได้ถึงศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคแล้วก็รีบมาด้วยความเร็วสูงสุด

เดิมทีสมบัติสุดยอดอย่างศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคจะต้องก่อให้เกิดการแย่งชิงระหว่างผู้อริยะแน่นอน แม้ว่าผู้อริยะทุกคนจะเคยกล่าวไว้ก้อนหน้านี้แล้ว ก็จะหาข้ออ้างมาทำลายสัญญาให้ได้

ถึงอย่างไรข้อตกลงลูกผู้ชายอะไรพวกนี้ มีผลแค่ตอนที่สิ่งยั่วยวนไม่มากพอเท่านั้น

หากสิ่งยั่วยวนมากพอ ลูกผู้ชายก็เป็นลูกผู้ชายปลอมได้

ไม่ใช่ว่าข้าไม่เป็นคน ได้แต่โทษว่าโชคลิขิตเย้ายวนเกินไป~

แต่ว่าตอนนี้ ผู้อริยะทุกคนต่างมองศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคกับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่ยืนตรงหน้าแผ่นศิลาจักรพรรดิเงียบๆ ไม่มีใครกล้าข้ามแม่น้ำสายฟ้าไปแม้แต่ก้าวเดียว

ศพของผู้อริยะเปลวเพลิงที่ถูกฟันเป็นสองส่วนยังมีโลหิตนอง นั่นคือผู้แข็งแกร่งที่อีกครึ่งก้าวก็จะก้าวสู่ระดับอริยะแท้

แม้บุคลิกและจิตใจจะไม่เท่าไร แต่ศักยภาพไม่มีน้ำผสมแน่นอน

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ออกกระบี่เดียวสังหารผู้อริยะเปลวเพลิงได้ ศักยภาพแข็งแกร่งเพียงใดไม่มีใครรู้แน่ชัด

อีกทั้งตอนนี้ผลงานของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังเป็นการแสดงอำนาจให้กับผู้สืบทอดของตน สร้างความหวาดกลัวกับผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในห้าดินแดน

มีเพียงเท่านี้เสิ่นเทียนถึงจะเติบโตได้อย่างราบรื่น ไม่ต้องถูกขุมอำนาจศัตรูที่แฝงเจตนาร้ายไว้เล่นงาน กระทั่งยังไม่ทันขึ้นสู่จุดสูงสุดก็ตายตั้งแต่เยาว์วัยอย่างน่าเสียดาย

ตอนนี้เองเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีจิตสังหารหนักที่สุด ใครกล้าไม่ไว้หน้าการแสดงอำนาจของเขา ล้วนเป็นศัตรู!

สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด ไม่มีใครกล้าเสี่ยงชีวิตแตะต้องหัวคิ้วของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

ถึงอย่างไรต่อให้ออกไปจริงๆ ก็ได้แต่ล่วงเกินเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ และก็อาจจะไม่ได้ศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคใส่ในกระเป๋าด้วย

“หากแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าตะวันไม่พอใจอะไรก็ให้พวกเขาอดทนไว้ ภายภาคหน้าข้าจะไปหาพวกเขาเอง”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เก็บแสงกระบี่ ประกายเซียนบนผิวกายกระเพื่อม สายฟ้านับไม่ถ้วนหมุนม้วนไปหมื่นจั้ง บดบังฟ้าบังดวงตะวันราวกับพุทธและเทพ

ตอนนี้ข้ามเรื่องอื่นไปก่อน แค่ในด้านสถานการณ์ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็สร้างความตื่นกลัวกับทุกคนแล้ว

เขามองไปทางเสิ่นเทียนด้วยความเฉยชา “เทียนเอ๋อร์ มานี่เถอะ!”

พวกเสิ่นเทียนถึงได้กลับไปยังริมทะเลสาบอย่างเอ้อระเหย ไม่เปื้อนแม้แต่ฝุ่นตามตัว

…..

โดยเฉพาะเสิ่นเทียน ใบหน้ายังมีรอยยิ้มชาญฉลาด

แม้แต่ตอนที่ผู้อริยะเปลวเพลิงพุ่งเข้ามาหาเขา เสิ่นเทียนก็ไม่มีสีหน้าเกรงกลัวเลย ราวกับว่านั่นไม่ใช่ผู้อริยะ แต่เป็นเพียงเมฆลอยเท่านั้น

อย่างอื่นไม่ว่า แค่จิตใจและความกล้าหาญก็มากพอจะเป็นหนึ่งในรุ่นเยาว์แล้ว

ถึงอย่างไรอำนาจอริยะก็เหมือนฟ้าถล่ม สำหรับรุ่นเยาว์แล้ว มีแรงกดดันน่ากลัวอย่างยิ่ง

ใช้ระดับกายทองหรือดวงจิตดรุณต้านอำนาจคุกคามของระดับอริยะได้ กระทั่งหน้าไม่เปลี่ยนสีใจไม่เต้นได้ นี่มากพอจะได้คำกล่าวชื่นชม

บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียน ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ!

เขาพุ่งมายังหน้าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะโค้งตัวช้าๆ “ขอบคุณที่อาจารย์ออกมือช่วย”

ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์กระเพื่อมเบาๆ เขาตบบ่าของเสิ่นเทียน “เจ้ากับข้าศิษย์และอาจารย์มีใจเป็นหนี่งเดียวกัน สิ่งที่ควรเป็นของเจ้าก็ต้องเป็นของเจ้า”

เมื่อเอ่ยจบ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็มองผู้อริยะคนอื่นริมทะเลสาบ “ก่อนเข้าเกาะมหานทีพวกเราได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้ผู้อริยะก่อสงครามความวุ่นวาย ดังนั้นใครได้โชคลิขิตไปก่อนก็เป็นของคนนั้น ขุมอำนาจอื่นห้ามแย่งชิง ไม่เช่นนั้นผู้อริยะทุกคนจะร่วมกันขับไล่

ก่อนหน้านี้ฝ่ายข้าและเผ่าอสรพิษดำทะเลมรกตได้ทำการแลกเปลี่ยนเหมืองลับกัน ก็แลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียม ไม่ได้แย่งชิงเอามา

ผู้อริยะเปลวเพลิงเป็นครึ่งก้าวอริยะแท้ แต่กลับออกมือแย่งโชคลิขิตของบุตรศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายข้า ตายไปก็สมควร ไม่รู้ว่าทุกท่านมีความเห็นอะไรหรือไม่”

เมื่อกล่าวจบ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็มองผู้อริยะทุกคน กลิ่นอายพลังรอบตัวลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวแรงกดดันมหาศาลที่มีแค่ผู้อริยะที่สัมผัสได้พลันอัดแน่นไปทั้งริมทะเลสาบ

เขา แข็งแกร่งเช่นนี้เชียว!

มีเสียงนุ่มนวลดังมาจากกลางแสงอริยะสีฟ้าริมทะเลสาบ “ตอนที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แลกเปลี่ยนกับเผ่าข้าเขาสุภาพมาก เผ่าเทพอสรพิษดำข้าสนับสนุนแนวทางของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์”

ผู้อริยะท่านนี้มีนามว่าผู้อริยะโยวโหยว มาจากเผ่าอสรพิษดำทะเลมรกต เป็นมารดาของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ชิงหมิง รักผู้สูงศักดิ์สวรรค์ชิงหมิงมากที่สุด

ซึ่งผู้อริยะโยวโหยวสนับสนุนและปลื้มใจกับการที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มัดผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตมาให้เผ่าอสรพิษดำทะเลมรกตมาก

ประกอบกับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ใช้ราคาที่สูงพอแลกกับเหมืองลับ ทำให้เผ่าเทพอสรพิษดำพอใจมาก ตอนนี้เผ่าเทพอสรพิษดำกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กำลังอยู่ในช่วงกึ่งดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กัน

ผู้อริยะโยวโหยวจึงเลือกสนับสนุนเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!

มีผู้อริยะท่านหนึ่งนำหน้า ผู้อริยะคนอื่นจึงละวางเกียรติลง

“ผู้อริยะโยวโหยวกล่าวถูกต้องที่สุด พวกเราตกลงกันไว้ก่อนแล้ว แต่ผู้อริยะเพลิงนั่นไม่ทำตามระเบียบ ตายไปก็สมควร”

“ต่อให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ออกมือ เขาก็ต้องถูกเพลิงเทพอีกาทองเผาเป็นเถ้าถ่านในไม่ช้าก็เร็วแล้ว ผู้อริยะออกมือ กลับช่วยจบความเจ็บปวดให้เขาก่อนด้วยซ้ำ”

“เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำคุณทดแทนแค้น น่าเลื่อมใสจริงๆ ท่านคือผู้ยิ่งใหญ่!”

……

ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ “ผู้มีคุณธรรมย่อมตัดสินอย่างถูกต้องชอบธรรม ขอบคุณที่ทุกท่านลุกขึ้นมากล่าวเพื่อความเป็นธรรม ข้าเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล แม้เทียนเอ๋อร์จะเป็นคนพบศิลานี้ แต่เส้นทางการบำเพ็ญเซียนก็ต้องเน้นที่การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

ฝ่ายข้ายินดีแบ่งปันศิลานี้กับทุกท่าน ร่วมกันตระหนักคัมภีร์จักรพรรดิ ใครตระหนักได้เท่าไรก็แล้วแต่ความสามารถของตนเอง”

ร่วมกันเสพมรดกของแผ่นศิลาจักรพรรดิรึ

คำพูดของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำให้ผู้อริยะทุกคนตกตะลึง

นี่คือคัมภีร์จักรพรรดิ ทั้งยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ชนิดที่แกร่งที่สุดในคัมภีร์จักรพรรดิ

ต่อให้ขาดบทต้องห้ามที่สำคัญที่สุดในนั้นไป ก็ยังไม่อาจประเมินมูลค่าได้เช่นกัน

มรดกสูงสุดสำคัญเช่นนี้ กลับแบ่งปันให้ทุกคนง่ายๆ นี่คือความใจกว้างระดับใด

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ สมกับเป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน!

“แต่ว่ากฎแห่งสวรรค์เท่าเทียม โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ เทียนเอ๋อร์เรียกศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคออกมา ก็ต้องจ่ายไปในราคาสูง หวังว่าทุกท่านจะมีของเล็กๆ น้อยๆ ให้บ้าง”

ท่าทีของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เปลี่ยนไป น้ำเสียงเฉยชา เหมือนกำลังพูดเรื่องปกติมาก

จากนั้นก็เป็นคำสนทนาลับๆ

มีเพียงสองฝ่ายที่เจรจากันเท่านั้นที่รู้ คนอื่นไม่รู้อะไรเลย กระทั่งแม้แต่เสียงของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่จะเอ่ยถึงผลประโยชน์ ยังมีเพียงระดับอริยะขึ้นไปเท่านั้นถึงได้ยินชัดเจน

แน่นอนว่ายกเว้นเสิ่นเทียน

…….

เวลาผ่านไปทีละวินาที สีหน้าใต้แสงอริยะของผู้อริยะทุกคนริมทะเลสาบมีความต่างกัน

ผู้อริยะบางคนมีสีหน้าดีใจเหมือนคลุ้มคลั่ง ผู้อริยะบางคนทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก ผู้อริยะบางคนปวดจนเนื้อเต้น และยังมีผู้อริยะบางคนเหมือนกินหนูตาย

แต่ผู้อริยะพวกนี้มีเหตุผลมากกว่าผู้อริยะเปลวเพลิง ยังคงไม่มีใครพลิกหน้าใส่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

สุดท้าย อำนาจอริยะน่าสะพรึงที่อบอวลในอากาศก็ค่อยๆ เก็บกลับไป บรรยากาศตึงเครียดหายไป

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์หันหน้ามามองเสิ่นเทียน ก่อนจะส่งกระแสจิตมา “ข้าเจรจาตกลงกับพวกเขาให้เจ้าแล้ว เจ้ากับแดนศักดิ์สิทธิ์แบ่งกันคนละครึ่ง ไม่มีเสียเปรียบ เจ้าว่าอย่างไร”

เสิ่นเทียนยิ้ม “เอาตามที่อาจารย์ตัดสินใจเลยขอรับ”

ขอบคุณอาจารย์ ที่ปลูกผักกุยช่ายให้ข้า~

หลังเจรจาราคากันแล้ว ผู้อริยะทุกคนก็เริ่มนั่งขัดสมาธิล้อมรอบแผ่นศิลาจักรพรรดิ ล้อมวงกันตระหนักแผ่นศิลาจักรพรรดิ

ส่วนชนรุ่นหลังของผู้อริยะพวกนั้น ผู้อริยะพวกนั้นได้ปกป้องคุ้มกันอยู่ในมิติอริยะ

เพราะตอนที่ผู้อริยะตระหนักมรรค อาจจะแผ่อำนาจอริยะทรงพลังออกมาโดยไม่รู้ตัวได้ ขณะเดียวกันแผ่นศิลาจักรพรรดิก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้

หากไม่มีผู้อริยะคุ้มกัน ระดับแก่นพลังทองและดวงจิตดรุณจะเจออันตรายได้ง่ายมาก

“เทียนเอ๋อร์ เจ้าจะตามหลังอาจารย์มาหรือจะตระหนักมรรคร่วมกันข้าพวกข้า”

และตอนนี้เอง คำพูดของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็ทำให้ผู้อริยะทุกคนอึ้งไปเล็กน้อย

นี่มีปัญหาอะไร

บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ มีสิทธิ์ร่วมตระหนักมรรคกับผู้อริยะรึ

ศักยภาพของเขาต้านอำนาจอริยะได้รึ

………………..