“ท่านปู่ ข้าจะไปเยือนตระกูลใหญ่ทุกตระกูลและขุมกำลังทั้งหมดในนครไป๋อวิ๋นเพื่อสารภาพความผิดและกล่าวคำขอโทษ ข้าจะขอยอมรับผิดทุกอย่าง เป็นเพราะความริษยาโง่ ๆ ของข้าเองที่ทำให้สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรตัดสินใจผิดพลาด ผลกระทบของเรื่องเลวร้ายที่ข้าก่อ หวังรั่วจวินผู้นี้ขอรับไว้คนเดียว ข้าสัญญาจะไม่ให้มันส่งผลต่อสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเป็นอันขาด”
หวังรั่วจวินรู้ซึ้งถึงความผิดของตัวเองดี แม้จะเกเร เที่ยวทำตัวอันธพาลไปทั่ว แต่คุณชายรองตระกูลหวังก็มิใช่คนดักดานไร้ปัญญา เมื่อสำนึกรู้ในสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วเขาจึงเร่งแก้ไข
นายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรรู้ดีว่าเขาควรทำอย่างไรเพื่อชดใช้ความผิดที่ทำไว้
เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเองทำให้เขาตัดสินใจกระทำในเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย
ตอนนี้เมื่อได้ไตร่ตรองดูจนถ้วนถี่ เขาก็ค้นพบว่าการตัดสินใจของตัวเองทำให้สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเผชิญหน้ากับมรสุมอันรุนแรง อีกทั้งยังเป็นมรสุมที่เกิดจากเรื่องน่าอับอายที่สมาคมไม่ได้ตั้งใจจะก่อ บัดนี้เขารู้ตัวแล้วว่าตัวเองโง่งมมากเพียงใดที่ทำเช่นนั้นลงไป
“เหอะ ! อย่างเจ้าน่ะรึ เจ้าจะทำอะไรเพื่อชดใช้ความผิดได้ ? เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่าหวังเหลียงกลับส่ายศีรษะพร้อมปฏิเสธเสียงกระด้าง เขารู้สึกว่าวิธีการที่หวังรั่วจวินจะเลือกทำเพื่อแก้ปัญหานี้ยังใช้ไม่ได้
ประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรมั่นใจว่าต่อให้หวังรั่วจวินเข้าไปอธิบายความจริงดังกล่าวกับทุกคน ก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อถืออยู่ดี หรือต่อให้หวังรั่วจวินประกาศยอมรับความผิดทุกอย่างก็ใช่ว่าปัญหานี้จะสิ้นสุด เรื่องนี้สร้างความขุ่นเคืองใหญ่หลวง อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อความไว้เนื้อเชื่อใจและภาพลักษณ์โดยรวมของสมาคม ขุมกำลังอื่น ๆ คงไม่ยินดีเชื่อถือเพียงถ้อยคำจากนายน้อยของสมาคมที่ยังอ่อนอาวุโส ที่สำคัญพวกเขาก็คงจะไม่ยอมปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวลไปโดยง่ายเป็นแน่
นี่คือความผิดของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ในฐานะประธานสมาคม ผู้เฒ่าหวังเหลียงคิดว่าตัวเขาเองสมควรรับผิดชอบต่อความผิดนี้และเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม
“เฮ้อ~ หลายวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ข้าคิดว่าตอนนี้ตัวเองชักจะแก่เกินไปเสียแล้ว”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เฒ่าหวังเหลียงก็ถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้ ตั้งแต่ความเลอะเลือนของตนที่ขับไล่ไสส่งผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ ความหูเบาที่หลงเชื่อน้ำคำคนเลวโดยไม่ไตร่ตรอง อีกทั้งยังเรื่องที่ไม่อาจเอาใจใส่ดูแลสั่งสอนบุตรหลานให้เป็นคนดีได้ ทั้งหมดทำให้เขาคิดว่าความชราของตนอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการดูแลสมาคมที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
“ผู้อาวุโสจงหัว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นประธานสมาคมคนต่อไป ข้าเชื่อมั่นในความจริงใจและความรักที่มีต่อสมาคมของเจ้า ช่วงหลังมานี้ตัวข้าตัดสินใจผิดพลาดในหลาย ๆ เรื่อง ข้าคงไม่มีหน้าถือครองตำแหน่งประธานสมาคมอันมีเกียรติของเราต่อไปอีกแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะต้องขอตัวกลับมาทบทวนตัวเองเสียที”
หวังเหลียงหันไปจ้องมองผู้อาวุโสจงหัวก่อนจะเอ่ยปาก บุรุษผู้เฒ่ากล่าวถึงสิ่งที่เขาตัดสินใจด้วยเสียงอันหนักแน่น
ในช่วงหลังมานี้ มีเรื่องที่เขาตัดสินใจผิดพลาดมากมายเหลือเกิน ซึ่งบางเรื่องก็มีผลเสียต่อสมาคมอย่างร้ายแรง ถ้าหากว่าไม่หาทางแก้ให้เหมาะสมเสียแต่บัดนี้ ในไม่ช้าสมาคมของพวกเขาก็อาจจะถึงคราวหายนะ
ในฐานะประธานสมาคม หวังเหลียงคิดว่าตัวเองควรจะออกจากตำแหน่ง เหตุผลส่วนหนึ่งคือเพื่อแสดงความรับผิดชอบ แต่เหตุผลสำคัญคือเพื่อให้ผู้ที่เหมาะสมกว่าได้รับช่วงต่อแทน สิ่งที่บุรุษชราตระกูลหวังตัดสินใจกระทำทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์และความก้าวหน้าของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร
ในตอนนี้ตัวเลือกที่ดีที่สุดของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็คือจงหัว
สำหรับเรื่องที่ผู้อาวุโสผู้นี้จะดูแลสมาคมให้ดีต่อไปได้หรือไม่นั้น หวังเหลียงไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย เขาอยู่กับจงหัวมานาน คนผู้นี้เหมาะสมทุกประการ ประธานสมาคมที่เพิ่งประกาศอำลาจากตำแหน่งเชื่อมั่นอย่างมากว่า จงหัวผู้นี้จะต้องนำสมาคมกลับมาสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้งได้เป็นแน่
“ท่านประธาน–”
จงหัวขมวดคิ้วและกำลังเปิดปากเพื่อกล่าวทัดทาน ทว่าก็ถูกหวังเหลียงห้ามเอาไว้เสียก่อน
“แม้ว่าตอนนี้ทักษะของเจ้าจะยังไม่อาจเทียบเท่าตัวข้าหรือผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้าได้ก็จริง แต่ในด้านวุฒิภาวะและความเป็นผู้นำ ตัวเจ้ามีเหนือกว่าข้าอย่างแน่นอน ที่สำคัญ เจ้ามีคุณธรรมมากพอ ๆ กับที่มีใจรักในสมาคม นี่ทำให้ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า ส่วนข้าจะขอใช้ตำแหน่งของประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการไปชี้แจงและแสดงความขออภัยในความผิดพลาดต่อทุกขุมกำลังในไป๋อวิ๋น หากทุกอย่างเสร็จสิ้น ข้าจะได้ออกไปท่องโลกกว้างเสียที หลายปีมานี้ทักษะของข้าไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นเลยสักนิด ข้าอยากจะใช้ช่วงเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ค้นหาแนวทางของตัวเอง”
หวังเหลียงเอ่ยขัดวาจาของจงหัว สิ่งที่เขากล่าวราวกับไปนั่งอยู่ในใจของฝ่ายหลังได้ บุรุษผู้เฒ่ากล่าวออกไปจากใจจริงโดยไม่คิดปิดบังซ่อนเร้น
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงอันแน่วแน่ของท่านประธานสมาคมที่เขาเคารพรัก ในที่สุดจงหัวก็พยักหน้า ความคิดที่จะปฏิเสธถูกสลัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายฉินอวี้โม่นั้นยังไม่ได้กลับออกไปจากห้องจึงทั้งได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เมื่อได้ฟังการตัดสินใจของผู้เฒ่าประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร มุมปากบางก็ยกเป็นรอยยิ้มขึ้นน้อย ๆ
ตามความเห็นของนาง จงหัวนั้นเหมาะสมกับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรจริง ๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นคนดีมีคุณธรรมในจิตใจ
“คุณหนูสี่ตระกูลฉิน ข้ารู้ดีว่าสมาคมของเราคงไม่มีค่าในสายตาเจ้ามากนัก และพวกเราเองก็คงไม่มีของล้ำค่าใด ๆ ที่เพียงพอและเหมาะสมจะมอบให้เจ้าได้ วันนี้ตัวข้าหวังเหลียง นับว่าติดค้างเจ้าครั้งใหญ่ หากเจ้าอยากให้ข้าช่วยเหลือเรื่องใดในอนาคตก็ขอให้บอกมาได้ ข้าจะไม่มีวันปฏิเสธ”
ผู้เฒ่าหวังเหลียงมองฉินอวี้โม่ด้วยความซาบซึ้ง
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบกลับบางเบา นางเองก็ไม่เคยต้องการสิ่งใดจากพวกเขา แม้ว่าหวังเหลียงจะไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย แต่ก็นับเป็นยอดฝีมือผู้มีความเป็นเลิศในด้านการฝึกสัตว์อสูรคนหนึ่ง และวันหนึ่งข้างหน้าเขาอาจจะกลายเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิได้ การที่คนระดับนี้ให้เกียรตินางมากถึงเพียงนี้ก็ถือว่าน่ายินดีไม่น้อย สำหรับนางเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับก่อน”
ฉินอวี้โม่กล่าวคำอำลาในทันที
ในเมื่อนางช่วยหวังเหลียงสำเร็จแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ที่นี่อีก
ผู้อาวุโสจงหัวและคนอื่น ๆ พยักหน้า หวังรั่วอีและหวังรั่วจวินเดินเข้าไปกล่าวขอบคุณคุณหนูตระกูลฉินอีกครั้งก่อนจะไปส่งนางที่หน้าประตูสมาคม
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดก่อนจะก้าวเดินออกจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอย่างรวดเร็ว
…
ไม่กี่ชั่วยามผ่านไป หลังจากฉินอวี้โม่กลับจากภารกิจช่วยชีวิตที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร นางและสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลฉินก็ได้ทราบข่าวว่าผู้เฒ่าหวังเหลียงประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรออกมาก้มหัวกล่าวขออภัยชาวไป๋อวิ๋นทุกคนที่จัตุรัสของเมือง และตัวเขาขอรับผิดชอบความผิดที่เกิดขึ้นโดยการลาออกจากตำแหน่ง
ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แสดงถึงความจริงใจอย่างแท้จริงของประธานสมาคมผู้เฒ่า ความโกรธเคืองที่ผู้คนในนครไป๋อวิ๋นมีต่อสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็ลดทอนลงไปมาก
นอกจากนี้ ผู้เฒ่าหวังเหลียงยังสั่งให้คนของสมาคมส่งจดหมายขออภัยอย่างเป็นทางการไปยังตระกูลใหญ่และขุมกำลังต่าง ๆ โดยในเนื้อความนั้นระบุว่าสมาคมของพวกเขารู้สึกผิดจากใจจริงและยินดีชดใช้ตามข้อเรียกร้องทุกอย่างของทุกตระกูลหรือสมาคม อีกทั้งในส่วนท้ายของจดหมายยังระบุไว้ด้วยว่า นับจากนี้ผู้อาวุโสจงหัวจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมคนต่อไป
เมื่อขุมกำลังต่าง ๆ ได้อ่านเนื้อความในจดหมาย พวกเขาก็แสดงท่าทีที่ต่างกันออกไป ทว่าอย่างน้อย ๆ เวลานี้สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็น่าจะยังอยู่ในนครแห่งนี้ต่อไปได้ ถึงแม้ว่าจะลำบากมากขึ้นสักหน่อยก็ตาม
…
หลายวันหลังจากนั้น ความสงบก็กลับคืนสู่นครไป๋อวิ๋น
ด้วยเพราะความกลัวและความกดดันที่มีต่อคำขู่ของอาราม ชาวเมืองไป๋อวิ๋นจึงทุ่มเทฝึกฝนและเตรียมพร้อมกันอย่างหนักหน่วงส่งผลให้บรรยากาศช่วงที่ผ่านมาตึงเครียดอย่างมาก ทว่าบัดนี้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว
ฉินอวี้โม่ไม่มีสิ่งใดให้ทำมากนักในช่วงนี้ นางจึงถือโอกาสใช้เวลาว่างที่มีพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อน
อย่างไรก็ตาม ในยามนี้นางก็ยังคงพยายามฝึกฝนเพื่อควบคุมระดับพลังราชันทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดของนางให้มั่นคง ในตอนนี้เริ่มมีสัญญาณที่นางจะก้าวข้ามสู่ขอบเขตถัดไปให้เห็นแล้ว
หากมุ่งมั่นจะไปยังดินแดนหนเหนือ อย่างน้อย ๆ ฉินอวี้โม่ก็ควรจะก้าวเข้าสู่ระดับต่อไปให้สำเร็จเสียก่อน
เวลาส่วนเล็ก ๆ ที่เหลือ คุณหนูตระกูลฉินใช้มันหมดไปกับการ*‘เล่น’* กับอสูรมายาในกำไลมิติ อันที่จริงคำว่า ‘เล่น’ นี้ เป็นคำที่อสูรทั้งหลายในสังกัดอวี้โม่ใช้พูดกัน สำหรับฉินอวี้โม่แล้วนางเรียกมันว่า*‘การฝึกฝน’*ทว่ามันก็เป็นการฝึกอย่างสบาย ๆ ไม่เคร่งเครียดมากนัก
…
หนึ่งเดือนผ่านพ้นไปว่องไวราวชั่วพริบตา
ในช่วงครึ่งหลังของเดือนที่ผ่านมานี้ ฉินอวี้โม่ตั้งใจฝึกฝนในทุก ๆ วันและใช้เวลาส่วนมากไปกับการศึกษาวิชาข่ายอาคมจากตำราที่ได้มาใหม่
แม้ว่าทักษะการหลอมจะเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อย แต่นางคิดว่าเวลานี้ทักษะด้านข่ายอาคมมีความสำคัญที่เร่งด่วนมากกว่า
ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต วิชาข่ายอาคมจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล มันถือเป็นไพ่ตายที่จะช่วยนางในยามวิกฤตได้ ดังนั้นแล้วอดีตนักฆ่าสาวจึงให้ความสำคัญกับมันเป็นอันดับต้น ๆ
ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ หานโม่ฉือเองก็มีเวลาว่างมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขามาเยี่ยมฉินอวี้โม่อยู่บ่อยครั้งถึงแม้ในแต่ละครั้งจะมีเวลาเพียงช่วงสั้น ๆ ก็ตาม
ที่หานโม่ฉือไม่กล้าใช้เวลาอยู่กับสตรีที่รักนานนักเป็นเพราะว่าเขาต้องการให้เกียรติฉินอวี้โม่และตระกูลฉิน แท้จริงแล้วตัวเขาเองรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่ได้จัดพิธีสู่ขอ กราบไหว้ฟ้าดิน และรับฉินอวี้โม่เป็นภรรยาอย่างถูกต้อง ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อยากให้ผู้อื่นมองว่ายอดดวงใจของเขาเป็นสตรีไม่ดี ทำเรื่องเสื่อมเสีย
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนักก็ตาม แต่สำหรับหานโม่ฉือแล้ว เขาคิดว่านี่เป็นสิ่งจำเป็น
หากจะว่าไปแล้ว สองหนุ่มสาวนั้นเติบโตจากต่างโลกต่างยุคสมัย ตัวฉินอวี้โม่ที่เกิดในยุคสมัยที่ล้ำหน้ากว่าหวนหลิงมากไม่ได้สนใจเรื่องการแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีอีก ยิ่งกว่านั้น เพราะนางและหานโม่ฉือก็ถือเป็นสามีภรรยากันแล้ว ฉะนั้นสำหรับนาง ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่ก็ไม่มีความแตกต่าง
เดิมทีฉินอวี้โม่และสหายเดินทางกลับไปยังโรงเรียนราชสำนักเพื่อเข้าชั้นเรียน ทว่าทุกคนต่างก็พากันกลับบ้าน เมื่อได้อ่านประกาศฉบับหนึ่งจากทางโรงเรียน
ใจความในประกาศนั้นแจ้งว่า*‘เนื่องจากในอีกหนึ่งเดือนจะมีงานชุมนุมเมฆา งานชุมนุมจอมยุทธ์ครั้งใหญ่ที่ในหนึ่งร้อยปีจะจัดขึ้นสักครั้งหนึ่ง เพื่อให้เหล่านักเรียนได้ฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วม ท่านอธิการและเหล่าผู้อาวุโสของโรงเรียนจึงมีมติว่าจะมอบวันหยุดให้กับนักเรียนทุกคน จนกว่างานชุมนุมจะสิ้นสุด’*
เมื่อทราบว่าทางโรงเรียนไม่มีการเรียนการสอน ฉินอวี้โม่จึงใช้โอกาสนี้เข้าไปขอพบอธิการมู่อวิ๋นที่ห้องทำงานแทน และในเมื่อได้เข้ามาจนถึงภายในโรงเรียนแล้ว คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ตั้งใจว่าก่อนกลับนางจะไปเยี่ยมไป๋ฉี่ด้วย
ณ ห้องทำงานของอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนัก ฉินอวี้โม่ได้พบท่านอธิการตามที่คาดหวัง
ในช่วงนี้มู่อวิ๋นดูยุ่งมาก ด้วยตำแหน่งหน้าที่ ตัวเขาถือเป็นหัวใจของสถาบันผลิตบัณฑิตอันเกรียงไกรแห่งนี้ ไม่มีใครทราบว่าเบื้องหลังแล้ว บุรุษผมสีประหลาดต้องทำงานอย่างหนักเพียงใด แน่นอนว่าท่านอธิการที่กำลังยุ่งอยู่กับงานมากมายไม่ได้คิดว่าฉินอวี้โม่จะมาเยี่ยมเยียนในวันนี้
“เสี่ยวอวี้โม่ มีสิ่งใดให้ช่วยอย่างนั้นหรือ ?”
มู่อวิ๋นมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเป็นคำถาม ทว่าบนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มใจดี
เมื่อได้พิจารณาคนตรงหน้า มู๋อวิ๋นก็พบว่า ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขานัก อันที่จริงเมื่อเทียบกันแต่เพียงระดับพลังแล้ว ตัวเขาเหนือชั้นกว่านางมาก แต่ทว่าฉินอวี้โม่นั้นกลับครอบครองไพ่ตายบางอย่างที่มู่อวิ๋นไม่มีทางจะต่อกรได้
ความเร็วในการเติบโตของศิษย์น้อยตระกูลฉินทำให้เขานึกประหลาดใจ ขณะเดียวมันก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน สาวน้อยผู้นี้ถือเป็นหนึ่งในนักเรียนอนาคตไกลที่จะสร้างชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ให้แก่โรงเรียนราชสำนัก
“ท่านอธิการ ท่านไม่อยากรู้บ้างหรือเจ้าคะว่าในตอนที่ข้าเข้าไปในดินแดนต้องห้าม ข้าได้อะไรมาบ้าง ?”
ฉินอวี้โม่มองมู่อวิ๋นแล้วเอ่ยปาก ใบหน้านวลประดับรอยยิ้มน้อย ๆ ประโยคฟังดูสนิทสนมนั้นคล้ายเป็นคำถาม แต่แท้จริงแล้วเป็นคำชี้ชวนให้ถามต่อ
“ฮ่า ๆ ๆ สงสัยหรือไม่สงสัยย่อมไร้ความหมาย ข้ารู้จักเจ้าดี ถ้าเจ้าอยากจะบอกข้า ข้าคงไม่ต้องถาม แต่หากว่าเจ้าไม่อยากจะบอก ถึงจะถามไปก็ไม่มีประโยชน์”
มู่อวิ๋นหัวเราะก่อนจะกล่าว
นิสัยของฉินอวี้โม่นั้นตัวเขาพอจะรู้อยู่บ้าง
ฉินอวี้โม่แย้มยิ้มกว้างขึ้น นางไม่แปลกใจนักกับคำตอบนี้ของท่านอธิการ
“ท่านอธิการ ข้าพบเส้นทางที่จะนำเราไปยังดินแดนอ้างว้างและดินแดนหนเหนืออยู่ภายในดินแดนต้องห้าม”
ฉินอวี้โม่ไม่มีเจตนาและไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องปกปิดเรื่องนี้กับมู่อวิ๋น ในเมื่อนางได้ทุกอย่างมาก็ด้วยเพราะทางโรงเรียนมอบโอกาสให้ ฉินอวี้โม่จึงบอกในสิ่งที่นางค้นพบออกไปตรง ๆ และที่สำคัญ นางยังต้องการบอกเรื่องที่พิเศษยิ่งกว่านั้นอีกด้วย
“และตัวข้าคือผู้ที่ถือครองกายเทพมายา”
ฉินอวี้โม่กล่าวราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทว่าถ้อยคำดังกล่าวกลับทำให้มู่อวิ๋นที่กำลังอมยิ้มขบขันชะงักค้างไปในทันที
กายเทพมายาเป็นสิ่งที่มีอยู่เพียงในตำนาน หากผู้ใดได้ครอบครองก็จะกลายเป็นบุคคลที่ทั้งเก่งกาจและแข็งแกร่งในระดับตำนานที่ผู้คนทั้งใต้หล้าล้วนอิจฉา เขาไม่คิดเลยว่าศิษย์น้อยของเขาจะถือครองสิ่งวิเศษเช่นนั้นอยู่ ทว่าหากข่าวนี้แพร่งพรายออกไป ไม่เพียงแค่คนในดินแดนหวนหลิงเท่านั้นที่จะออกตามล่านาง ขุมกำลังทั้งดินแดนหนเหนือก็จะส่งคนมาค้นหาอย่างไม่หยุดหย่อน
“เรื่องนี้มีคนที่รู้อยู่มากน้อยแค่ไหน ?”
มู่อวิ๋นดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังอดถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลไม่ได้
“ท่านอธิการไม่ต้องเป็นห่วง ตัวข้ามิได้โง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีทางให้คนนอกได้ล่วงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แม้แต่คนใกล้ชิดของข้าก็รู้เรื่องนี้น้อยมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะกล่าวตอบ
ผู้ที่ทราบเรื่องกายวิเศษของฉินอวี้โม่แต่ละคนล้วนเป็นคนใกล้ชิดและสนิทสนมกับนางมากเสียจนคุณหนูสี่มั่นใจว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปได้แน่
มู่อวิ๋นพยักหน้าและกล่าว “ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ได้โง่ แต่เจ้าต้องรู้นะว่าคนจากดินแดนหนเหนืออาจจะมาที่นี่เพื่อแย่งชิงกายเทพมายา ดังนั้นแล้วเรื่องนี้เจ้าต้องระวังให้มาก หากไม่จำเป็นก็อย่าให้ผู้ใดรู้อีกเด็ดขาด”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ นางเข้าใจความจริงในข้อนี้ดี
“ท่านอธิการ ข้ามีแผนที่จะออกเดินทางไปยังนครเมฆาในวันพรุ่งนี้ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อบอกเรื่องนี้กับท่าน”
ยังมีเวลาอีกสองเดือนก่อนที่งานชุมนุมเมฆาจะเริ่มต้นขึ้น ในช่วงที่ว่านี้ฉินอวี้โม่อยากจะไปเยี่ยมท่านตาและท่านยาย รวมถึงทำความรู้จักบรรดาญาติผู้ใหญ่ฝ่ายมารดาของตนเสียก่อน
“เอาเถอะ เจ้าล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวพวกเราจะตามเจ้าไปในภายหลัง”
อธิการมู่อวิ๋นพยักหน้า ตัวเขาเองก็ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินอวี้โม่และอวี๋จวินซาน–จ้าวนครเมฆาดีจึงไม่คิดจะทัดทาน
หลังจากสนทนากับท่านอธิการเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่ก็ตรงไปยังหอคอยวิญญาณ
ตอนนี้ชั้นที่เจ็ดของหอคอยเก่าแก่ถูกซ่อมแซมแล้ว ความแข็งแกร่งของไป๋ฉี่จึงพัฒนาได้อย่างรุดหน้า เวลานี้ วิญญาณของหอคอยในร่างบุรุษตัวกลมมีระดับพลังสูงส่งจนน่าสะพรึงกลัว
เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่จะไปร่วมงานชุมนุมเมฆาที่นครเมฆา ไป๋ฉี่ก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย ทว่าเขาก็ไม่ได้บอกเล่าอารมณ์ความรู้สึกนี้ออกไป วิญญาณแห่งหอคอยเพียงแค่ร้องขอกับสหายมนุษย์ของตนว่า หากนางมีโอกาสก็มาเล่าเรื่องของงานยิ่งใหญ่ที่ว่านั้นให้เขาฟังบ้างก็พอ
ก่อนจากลา ฉินอวี้โม่ได้ให้สัญญากับไป๋ฉี่ไว้ว่า เมื่อใดที่เขาสามารถออกจากหอคอยวิญญาณได้ นางจะเป็นผู้พาเขาออกไปท่องเที่ยวในโลกกว้างด้วยตัวเอง แน่นอนว่าทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ไป๋ฉี่ผู้มีความรู้สึกนึกคิดคล้ายเด็ก ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมากโข
.