สูงขึ้นไปหลายพันจั้งเหนือพื้นดินเป็นถิ่นฐานของนครากว้างใหญ่อันเรืองรองแห่งหนึ่ง นามของนครแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันจนถ้วนทั่ว ทว่ากลับไม่มีผู้ใดทราบถึงวิธีการไปเยือนสถานที่แห่งนั้น

นครเมฆาเป็นแผ่นดินที่ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนหวนหลิง อีกทั้งยังเป็นขุมกำลังที่เรียกได้ว่าลึกลับที่สุดในดินแดนแห่งนี้ด้วย

นครายิ่งใหญ่นี้ลึกลับมากเสียจนมีน้อยคนนักที่จะรู้จักที่ตั้งอันแน่ชัดของมัน และมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่จะทราบว่าบ้านเมืองและผู้คนในนครเมฆามีหน้าตาเป็นอย่างไร

งานชุมนุมเมฆานั้นแม้ว่าจะถูกจัดขึ้นในทุก ๆ หนึ่งร้อยปี และทุกรอบร้อยปีจะมีความยิ่งใหญ่อลังการที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครั้งที่แล้วมา ทว่าในครานี้กล่าวได้ว่าพิเศษกว่าครั้งใด เนื่องจากงานชุมนุมใหญ่ถูกจัดขึ้นในระดับที่ ‘ยิ่งใหญ่อลังการมากเป็นพิเศษ’ ซึ่งครั้งสุดท้ายที่นครเมฆาเคยจัดงานให้ใหญ่ในระดับนี้ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อพันปีก่อน

นอกเหนือจากผู้ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมงานหรือผู้ที่คนในนครนำทางเข้าไปแล้ว ก็แทบไม่มีหนทางที่จะมีผู้ใดก้าวล่วงเข้าไปยังนครเมฆาได้

สำหรับงานชุมนุมเมฆานั้น ผู้ที่ได้รับเชิญทุกคนจะมีจดหมายเชิญจากนครเมฆาส่งไปถึง โดยในจดหมายเชิญดังกล่าวจะประกอบไปด้วยบัตรเชิญและป้ายอักขระ ซึ่งจะสามารถใช้เป็นใบเบิกทางให้เข้าสู่นครลึกลับนี้

การจะเคลื่อนย้ายไปยังนครเมฆาได้ หากไม่ทราบถึงเส้นทางที่แท้จริงแล้วก็มีแต่จะต้องหักป้ายอักขระที่ทางนครเมฆาส่งให้ไปเท่านั้นจึงไปให้ถึงได้ ไม่ทราบว่าด้วยวิธีการพิเศษใด แต่ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ ณ จุดใดในหวนหลิงก็จะสามารถไปจนถึงทางเข้าของนครยิ่งใหญ่นี้ ส่วนบัตรเชิญนั้นใช้เป็นสิ่งยืนยันตัวตนของผู้เข้าร่วมก่อนเข้างาน

อย่างไรก็ตาม กรณีของฉินอวี้โม่กลับแตกต่างออกไป คุณหนูตระกูลฉินผู้เป็นหลานสาวของจ้าวครองนครไม่ได้รับจดหมายเชิญใด ๆ แต่กลับได้แผนที่ระบุที่ตั้งของนครเมฆาจากอวี๋จวินซานโดยตรง ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะผู้เป็นตาต้องการให้หลานของตัวเองรู้จุดที่ตั้งอันแน่ชัดของนครเมฆาจึงเลือกทำเช่นนั้น

ก่อนเริ่มออกเดินทางไปยังนครเมฆา ฉินอวี้โม่ตัดสินใจไปบอกกล่าวเรื่องนี้กับเหล่าสหายก่อน

แต่เมื่อได้ยินว่าสหายโฉมงามจะล่วงหน้าไปก่อน ทั้งเยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง และหลินซิวหยาที่ยังคงเที่ยวเล่นอยู่ภายในไป๋อวิ๋นต่างก็กระตือรือร้นอยากจะติดตามนางไปด้วย

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่อาจปฏิเสธได้

น่าเสียดายที่หานโม่ฉือมีภารกิจสำคัญที่ต้องจัดการ ทำให้ไม่สามารถติดตามไปพร้อมกันได้  ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะออกเดินทาง บุรุษน้ำแข็งมาพบและบอกให้นางระวังตัวให้มาก พวกเขาทั้งคู่รู้ดีว่ามีบางคนในนครเมฆาที่ไม่พอใจในการมีตัวตนอยู่ของฉินอวี้โม่ ทว่าทั้งสองก็ไม่ทราบถึงอำนาจ อิทธิพล และความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้น ที่สำคัญคือไม่รู้ด้วยว่ากลุ่มคนไม่หวังดีสามารถทำอันตรายใดต่อนางได้บ้าง ดังนั้นการไม่ประมาทในทุกเวลาจึงเป็นหนทางเอาตัวรอดที่ดีที่สุด

ฉินอวี้โม่พยักด้วยรอยยิ้มพร้อมรับปากว่าจะระวังตัว หลังจากนั้น ในเช้าวันถัดมาคุณหนูตระกูลฉินและสหายทั้งสามก็เริ่มออกเดินไปทางยังจุดหมาย ซึ่งก็คือตำแหน่งที่นครเมฆาตั้งอยู่

กล่าวได้ว่าเส้นทางที่พวกเขาจะเดินทางไปนั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะมีแผนที่จากจ้าวนครเมฆา สหายทั้งสี่ก็ไม่มีวันจะไปถึงได้เลย

แม้จะเป็นแผ่นดินบนจุดสูงสุด แต่หากนับจากทิศทางแล้วที่ตั้งของนครเมฆาอยู่ ณ จุดที่แทบจะเรียกได้ว่าใต้สุดของดินแดนหวนหลิง ดังนั้นระยะทางที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปจึงไกลจากนครไป๋อวิ๋นอยู่พอสมควร

ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคณะเดินทางขนาดเล็กนี้ ด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ของหงส์แดง ฉินอวี้โม่และสหายก็สามารถไปถึงได้โดยใช้เวลาที่ไม่นานจนเกินไปนัก

ในช่วงสายวันที่สามของการเดินทาง ภาพเมืองกว้างใหญ่และงดงามตระการตาแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา

แม้จะดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่เมืองแห่งนี้กลับมิใช่นครเมฆา หากแต่เป็นเพียงหัวเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่รอบนครเมฆาเท่านั้น

หลังจากผ่านเข้าประตูเมืองได้แล้ว ฉินอวี้โม่และสหายก็ตรงไปยังอาคารที่ทำการของเมืองแห่งนี้ทันที

แท้จริงแล้วหัวเมืองเล็กนี้เองที่เป็นที่ตั้งของค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถนำผู้คนไปยังนครเมฆาอันลึกลับหรือใช้เคลื่อนย้ายคนในนครออกมาภายนอกได้ กล่าวโดยง่ายคือที่นี่เปรียบเสมือนประตูชั้นนอกของนครเมฆา และตำแหน่งที่ตั้งของค่ายกลดังกล่าวก็อยู่ในอาคารที่ทำการภายในเขตจวนของผู้ดูแลเมือง

ด้วยเพราะเป็นเพียงประตูสู่นครเมฆา หัวเมืองแห่งนี้จึงไม่มีเจ้าเมืองปกครอง จะมีก็แต่พ่อบ้านผู้ดูแลเมืองเท่านั้น // ที่เรียกขานว่าผู้ดูแลเมืองเพราะหัวเมืองแห่งนี้มีขนาดเล็ก ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าเมืองปกครอง จะมีก็แต่เพียงพ่อบ้านผู้ดูแลเมืองเท่านั้น

หลังจากเข้าไปทักทายผู้ดูแลเมืองนี้ ฉินอวี้โม่และสหายก็ค้นพบว่าพวกนางได้รับความเคารพอย่างมาก

ดูเหมือนว่าผู้ดูแลเมืองจะได้รับคำสั่งจากอวี๋จวินซานไว้ก่อนแล้วว่าให้รอต้อนรับฉินอวี้โม่

บัดนี้มีคนในนครเมฆาจำนวนไม่น้อยที่รู้จักนามหลานสาวของจ้าวนครเมฆา ฉินอวี้โม่คือบุตรสาวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ธิดาอันเป็นที่รักยิ่งของจ้าวนครเมฆา ดังนั้นสถานะของดรุณีผู้นี้จึงถือว่าสูงส่งไม่น้อย

เขาที่เป็นเพียงพ่อบ้านดูแลหัวเมืองไม่กล้าละเลยนางและพยายามให้การดูแลคณะเดินทางของฉินอวี้โม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เขาพาฉินอวี้โม่กับสหายทั้งสามไปยังห้องลับห้องหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะนำทุกคนไปยังนครเมฆา

สหายทั้งสี่กล่าวขอบคุณพ่อบ้านก่อนเดินผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายไปสู่อีกด้านหนึ่ง ในพริบตา พวกเขาก็พบว่าทัศนียภาพโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

แสงเจิดจ้าชวนแสบตาที่ปรากฏขึ้นภายในค่ายกลค่อย ๆ จางหายไป บัดนี้ในจุดที่ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามกำลังยืนอยู่ถูกห้อมล้อมไปด้วยก้อนเมฆ

‘ช่างสมกับนามนครเมฆาโดยแท้’

ใต้เท้าของพวกนางคือก้อนเมฆฟูหนาสีขาวสะอาดตา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะนุ่มกว่าพอสมควรแต่ทั้งสี่ก็รู้สึกว่าการยืนอยู่บนนี้ก็ให้ความรู้สึกมั่นคงไม่ต่างจากยืนบนพื้นดินมากนัก

ทุกคนอดจะอ้าปากค้างด้วยความตื่นตาตื่นใจไม่ได้ นครเมฆาแห่งนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก ภาพของเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยก้อนเมฆปรากฏต่อสายตาของพวกเขา

เมืองแห่งนี้ไม่เพียงแต่ยิ่งใหญ่อลังการ ทว่าทุกที่ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศอันลึกลับและเก่าแก่โบราณ ทำให้ฉินอวี้โม่และสหายอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงในเสน่ห์และมนตร์ขลังของนครแห่งนี้

“พวกเจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงปรากฏตัวตรงนี้ได้ ?!”

ห่างออกไปไม่กี่ก้าว คณะเดินทางทั้งสี่สัมผัสได้ว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา คนกลุ่มนี้มีกลิ่นอายแข็งแกร่งชวนหวาดหวั่น ใบหน้าหยาบกร้านคมเข้ม ที่สำคัญพวกเขาถืออาวุธในมือและสวมใส่ชุดเกราะสีทองที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งหมด ฉับพลันนั้นเอง ทหารชุดเกราะทองดังกล่าวก็พุ่งเข้ามาล้อมคนทั้งสี่เอาไว้

ชัดเจนว่าผู้ที่เอ่ยถามเป็นผู้นำของทหารกลุ่มนี้ เขาคือบุรุษรูปร่างกำยำผู้หนึ่ง หากสังเกตจากใบหน้าและท่าทางแล้วดูจะเป็นคนซื่อและมีนิสัยเถรตรงไม่น้อย

“พี่ชาย พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆา”

เยว่ชิงเฉิงยิ้มแล้วกล่าวถึงจุดประสงค์ที่พวกนางมาที่นี่ออกไป

“มาร่วมงานชุมนุมรึ ? มีบัตรเชิญหรือไม่ ?”

เมื่อหัวหน้าทหารได้ยินสิ่งที่เยว่ชิงเฉิงกล่าวก็กวาดมองคนทั้งสี่คราหนึ่ง ในสายตานั้นไม่ได้มีแววดูถูกเหยียดหยามใด ๆ มีเพียงความเคลือบแคลงสงสัยเท่านั้น

ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามชะงักไป พวกนางมองดูทหารที่เป็นหัวหน้าก่อนจะเอ่ยถาม “การจะเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆาจะต้องมีบัตรเชิญด้วยหรือ ?”

ฉินอวี้โม่ไม่เคยได้ยินเรื่องบัตรเชิญมาก่อนเลย สหายอีกสามคนของนางก็เช่นกัน คนทั้งสี่ได้แต่มองหน้ากันอย่างฉงน

“ไม่มีบัตรเชิญแล้วพวกเจ้ามาจนถึงที่นี่ได้อย่างไร ?”

ทหารมองพวกฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่งุนงงยิ่งกว่าก่อนจะกล่าวถาม

ตามหลักแล้วผู้ที่ไร้บัตรเชิญก็ไม่ควรขึ้นมาจนถึงที่นี่ได้

อันที่จริงเรื่องนี้ไม่แปลกนัก เพราะคุณหนูตระกูลฉินรวมทั้งสหายอีกสามคนไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ทางนครเมฆาได้ส่งจดหมายเชื้อเชิญไปยังขุมกำลังใหญ่ต่าง ๆ ในดินแดนหวนหลิงเพื่อเชิญแขกมาร่วมงานชุมนุมเมฆาโดยส่งรวมกันเป็นลักษณะหมู่คณะ และแน่นอนว่าเวลานี้ยังไม่มีผู้ใดเดินทางไปเข้าร่วมงาน ตระกูลของคุณหนูคุณชายอีกสามคนจึงยังไม่ได้ทำการแจ้งคนในตระกูลและแจกจ่ายบัตรเชิญ

เพราะไม่ว่าอย่างไร หากไม่มีป้ายอักขระก็จะไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้ อีกทั้งถ้าไม่มีบัตรเชิญก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงาน เรื่องนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันในกรณีที่มีแขกบางคนถูกชิงป้ายอักขระไป

แต่ฉินอวี้โม่และสหายนั้น มาถึงที่นี่ได้ด้วยวิธีพิเศษ พวกนางมาจนถึงหัวเมืองเบื้องหน้า และถูกพ่อบ้านผู้ดูแลส่งตัวขึ้นมายังประตูทางเข้านครเมฆา ในตอนนั้นเขาก็ดูจะรู้จักฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี ทว่าในตอนนี้พวกนางกลับถูกทหารรักษาการณ์ขวางไม่ให้เข้าไป  ดูเหมือนว่าทหารที่เฝ้าประตูนครจะไม่รับรู้คำสั่งแบบเดียวกับพ่อบ้านด้านล่าง เรื่องนี้ก็ถือว่าน่าแปลกไม่น้อย

“พี่ชาย เรื่องบัตรเชิญพวกเราไม่รู้หรอก แต่ด้วยสถานะของสตรีผู้นี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะเข้าร่วมงานได้แล้ว”

เยว่ชิงเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่ฉินอวี้โม่

ทหารมองไปที่ฉินอวี้โม่อย่างระมัดระวัง แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างแต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยพบเห็นนางจากที่ใด

“มีอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นที่นี่อย่างนั้นหรือ ?”

ขณะที่หัวหน้าทหารกำลังจะกล่าวบางสิ่ง เสียงที่ฟังดูสุภาพนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นก่อน

เมื่อหันไปในทิศทางของต้นกำเนิดเสียง ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นบุรุษในชุดขาวหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางสุภาพผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเหล่าทหาร บนใบหน้าของคนผู้นี้มีรอยยิ้มบางประดับไว้ เขากำลังเดินเข้ามาใกล้จุดที่พวกนางอยู่อย่างช้า ๆ

“คุณชายสาม พวกเราพบกลุ่มที่น่าสงสัยขอรับ คนเหล่านี้ปรากฏตัวหน้าเมืองและบอกว่าจะมาเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆา แต่กลับไม่มีบัตรเชิญ”

หัวหน้าทหารก้มหัวทำความเคารพบุรุษผู้มาใหม่ก่อนจะเอ่ยอธิบาย

เมื่อได้ยินคำเรียกขานของเหล่าทหาร ฉินอวี้โม่ก็พอจะคาดเดาสถานะของบุรุษชุดขาวผู้นี้ได้

เขาน่าจะเป็นพี่สามของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหรือก็คือคุณชายสามแห่งนครเมฆา อวี๋เสี่ยวไห่

“อย่างนั้นเองรึ ?”

อวี๋เสี่ยวไห่พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันกลับมามองดูฉินอวี้โม่และสหาย

ในตอนที่ได้เห็นใบหน้าฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน อวี๋เสี่ยวไห่ก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะอุทานด้วยความตกใจ “น้องเล็ก”

ทว่าในชั่วพริบตาเขาก็รีบส่ายศีรษะ

อีกฝ่ายจะเป็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปได้อย่างไร แม้ว่าสตรีตรงหน้าจะดูเหมือนกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ถึงเจ็ดแปดส่วนก็ตาม แต่กลิ่นอายและความรู้สึกที่สัมผัสได้กลับดูแตกต่างกันมาก ทว่าการที่นางดูเหมือนกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นมากมายเพียงนี้ อวี๋เสี่ยวไห่ก็รู้ตัวตนของนางได้ในทันที ไม่จำเป็นต้องสงสัยอีก สตรีผู้นี้จะต้องเป็นบุตรสาวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นแน่

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงจะเป็นฉินอวี้โม่สินะ”

อวี๋เสี่ยวไห่ยิ้มกว้างให้สตรีน้อยผู้มีศักดิ์เป็นหลานสาว ในตอนนี้ชื่อของฉินอวี้โม่เริ่มเป็นที่รู้จักกันในตระกูลอวี๋แล้ว น้ำเสียงที่เขาใช้พูดมีความเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

“ท่านก็คงจะเป็นท่านลุงเล็ก ใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะยิ้มและตอบญาติฝั่งมารดาคนแรกที่ได้พบหากไม่นับผู้เป็นตา

“ฮ่า ๆ ไม่ผิด ๆ ข้าคือท่านลุงเล็กของเจ้า ไม่คิดเลยว่าจะได้พบหลานสาวในตอนที่เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว”

อวี๋เสี่ยวไห่พยักหน้าพลางหัวเราะร่า แม้ว่าเขาจะดูสงบมากก็จริง ทว่าภายในแววตาไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นได้เลย

“คารวะท่านลุงเล็ก”

ฉินอวี้โม่โค้งคำนับผู้เป็นลุงที่เพิ่งได้พบหน้ากันครั้งแรกอย่างสุภาพ

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์เกรงใจเกินไปแล้ว”

อวี๋เสี่ยวไห่เดินเข้ามาใกล้และพยุงฉินอวี้โม่ให้เงยหน้าขึ้น

หลังจากมองสำรวจใบหน้าของฉินอวี้โม่จนพอใจ อวี๋เสี่ยวไห่ก็พยักหน้า “ท่านพ่อกล่าวไว้ไม่ผิดจริง ๆ เจ้าดูคล้ายแม่ของเจ้ามาก”

แววตาของบุรุษท่าทางสุภาพเป็นประกายคล้ายโหยหา คุณชายสามแห่งตระกูลอวี๋อดไม่ได้ที่จะดึงตัวฉินอวี้โม่เข้ามาในอ้อมกอดอย่างนุ่มนวล

นางคือหลานสาวของเขาและเป็นบุตรสาวของน้องสาวที่เขารักมาก ตั้งแต่เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์จากไป เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ในช่วงเวลาที่หลานสาวตัวน้อยลืมตาดูโลกเขาเองก็รับรู้แต่ไม่เคยได้ไปเยี่ยมเยือนพบหน้า ในที่สุดวันนี้เขาก็มีโอกาสได้พบนางเสียที อวี๋เสี่ยวไห่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ถึงอารมณ์ตื่นเต้นดีใจของบุรุษที่โอบกอดนางไว้ได้อย่างดี มุมปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเต็มตื้น ทว่าก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ขณะนี้หัวใจดวงน้อยกำลังสั่นไหว นี่เป็นอีกครั้งที่อดีตมือสังหารในร่างคุณหนูได้สัมผัสกับความอบอุ่นของคำว่า ‘ครอบครัว’

ในตอนนี้ เหล่าทหารที่ล้อมตัวพวกเขาอยู่ต่างก็นิ่งค้างไป เมื่อมั่นใจในเหตุการณ์แล้ว ไม่นานนักทั้งหมดก็รีบถอยห่างอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าเรื่องของฉินอวี้โม่ พวกเขาเองก็เคยได้ยินมาบ้าง แม้ว่าจะไม่มีใครในนครเมฆาเคยเห็นนางมาก่อนแต่ตัวตนและสถานะของสตรีผู้นี้ก็เป็นสิ่งที่แน่ชัดมาเนิ่นนานแล้ว

นางคือบุตรของธิดาคนโปรดของเจ้านครเมฆา ฉะนั้นแล้วสตรีที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นหนึ่งในคนที่พวกเขาควรให้ความสำคัญ และนับเป็น *‘คุณหนู’*ของพวกเขาเช่นกัน

…ทว่า เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะเรียกร้องขอดูบัตรเชิญจาก ‘คุณหนูแห่งนครเมฆา’ นี่มันไม่ต่างจากการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ ?…

“พวกเราต้องขออภัยคุณหนูอวี้โม่ด้วย”

ทหารยิ้มและกล่าวขอโทษฉินอวี้โม่อย่างนอบน้อม

“ไม่มีสิ่งใดต้องขอโทษ พวกเจ้าแค่ทำตามหน้าที่ ข้าเข้าใจ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมพยักหน้า นางไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยเท่านี้ไม่สมควรที่ต้องกล่าวโทษ ตรงข้ามนางกลับคิดว่าทหารของนครเมฆาทำหน้าที่ได้ดีด้วยซ้ำ

“พวกเจ้าแยกย้ายไปทำงานของตัวเองได้แล้ว”

อวี๋เสี่ยวไห่กล่าวกับเหล่าทหาร ทหารรักษาการณ์โค้งรับคำสั่งก่อนจะแยกย้ายออกไป

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านยายของเจ้า ท่านแม่บ่นว่าอยากจะเห็นหน้าเจ้ามานานแล้ว นางคงจะตื่นเต้นมาก”

อวี๋เสี่ยวไห่มองหลานสาวก่อนจะกล่าวคำ วาจาและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรักและความทะนุถนอมอย่างเด่นชัด

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง ตอนนี้นางเองก็แทบจะรอพบหน้าท่านยายของตัวเองไม่ไหวแล้วเช่นกัน

“ทั้งสามคนนี้คือสหายของเจ้าสินะ”

อวี๋เสี่ยวไห่ยิ้มให้เยว่ชิงเฉิงและบุรุษทั้งสอง

ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะกล่าวแนะนำสหายของตัวเองให้อวี๋เสี่ยวไห่รู้จักด้วยรอยยิ้ม

“เป็นคุณหนูใหญ่และคุณชายรองของตระกูลใหญ่แห่งดินแดนหวนหลิงนี่เอง ส่วนอีกคนก็เป็นบุตรของสุดยอดฝีมือของแผ่นดิน เป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้พบ”

หลังจากที่ได้ฟังหลานสาวเอ่ยแนะนำสหายแล้ว อวี๋เสี่ยวไห่ก็พยักหน้าแล้วตอบรับ ดูเหมือนว่าเขาจะพอรู้จักเหล่าผู้เยาว์จากขุมกำลังต่าง ๆ ของหวนหลิงอยู่บ้าง

“คุณชายอวี๋ ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว”

เยว่ชิงเฉิงและสองบุรุษคารวะคุณชายสามของนครเมฆาอย่างสุภาพ

พวกเขารู้สึกว่าอวี๋เสี่ยวไห่เป็นคนดีและเป็นสุภาพบุรุษ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่น้อยเลย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปลดปล่อยสภาวะพลังออกมา แต่เพียงยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลแล้ว

คนผู้นี้ไม่ธรรมดาสมฐานะบุตรของจ้าวนครเมฆาโดยแท้จริง จากการคาดคะเนอย่างคร่าว ๆ เยว่ชิงเฉิงผู้กว้างขวางในความรู้และข่าวสารคิดว่าอวี๋เสี่ยวไห่ผู้นี้จะต้องระดับพลังอย่างน้อย ๆ ก็ขอบเขตราชันทูตสวรรค์ขั้นสูงสุด

“พวกเจ้าตามข้ามา เราเข้าไปพบหน้ามารดาของข้าก่อน จากนั้นค่อยแยกย้ายกันพักผ่อน ข้าจะให้บ่าวจัดเตรียมที่พักไว้รอพวกเจ้า”

อวี๋เสี่ยวไห่ยิ้ม เขาต้องการให้สหายทั้งสามของหลานสาวตามเขาไปพบชายาของจ้าวนครเมฆาด้วย

สามผู้เยาว์พยักหน้าในทันที แล้วเดินตามอวี๋เสี่ยวไห่และฉินอวี้โม่ไป

คนทั้งห้าก้าวเข้าประตูใหญ่ และเดินลึกเข้าไปสู่ใจกลางนครเมฆา ระหว่างเดินทางทั้งหมดก็สนทนาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของนครใหญ่แห่งนี้อย่างสนุกสนาน

ทว่าหลังจากที่เดินกันมาได้ไม่นานนัก ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาหาคณะของพวกนางด้วยความเร็วสูง

เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น รวมถึงกลุ่มคนที่ติดตามมาด้านหลัง ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปเล็กน้อย

“พี่อวี้โม่ พี่ชิงเฉิง พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ?

ทันทีที่เห็นฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิง องค์หญิงฉีฉีก็รีบวิ่งเข้ามากระโดดกอดฉินอวี้โม่แน่นก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“พวกเรามาเข้าร่วมงานชุมนุมเมฆา ช่วงนี้ข้าไม่ได้เห็นเจ้าเลย ที่แท้เจ้าก็ล่วงหน้ามาที่นครเมฆาก่อนนั่นเอง”

เมื่อได้เห็นใบหน้าน้อย ๆ บวกกับท่าทางดีใจเหลือล้นที่คุ้นเคย ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มไม่ได้

.