บทที่ 437 เหตุผล
บทที่ 437 เหตุผล
เมื่อถูกอวี้ฮ่าวหรานกุมมือ ซูหว่านเอ๋อก็ชะงักเล็กน้อย หลังจากสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของอีกฝ่าย เธอก็ตระหนักถึงบางอย่างทันที
เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างมากเมื่อถูกอีกฝ่ายกอบกุมมือ ใบหน้าของเธอปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นทันที
“อืม ขอบใจมากนะคะ คราวหน้าฉันจะโทรหาคุณเป็นคนแรกเลย”
เธอไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ เท่านั้น
“ครับ นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเบา ๆ ขณะสัมผัสมือของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ความจริงแล้วเขาทำเพื่อตอบแทนอีกฝ่ายเท่านั้น
บางทีผู้หญิงตรงหน้าอาจไม่ได้คิดอย่างเดียวกับเขา แต่อีกฝ่ายก็ช่วยเหลือชายหนุ่มมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ทั้งปิ่นหยกดำและวัตถุโบราณที่มีรังสีที่ช่วยในการฝึกตน รวมไปถึงวัตถุโบราณแปลกประหลาดหลายอย่าง
สิ่งเหล่านี้มีส่วนช่วยเหลือเขาอย่างมาก…
ซูกว่างไห่เป็นคนฉลาดหลักแหลม แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้จะทักทายอย่างไร จนกระทั่งซูหว่านเอ๋อสังเกตเห็นพ่อ
“พ่อคะ พ่อ…บาดเจ็บไหม?”
“ไม่เป็นไรแล้ว พ่อสบายมาก”
ซูกว่างไห่รู้สึกเสียใจที่เห็นลูกสาวตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ต่อให้เขาจะโปรดปรานลูกชายมากกว่า แต่ก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียว
เขาทำหน้าที่พ่อได้ไม่ดีพอ แถมยังทำให้ตระกูลซูต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายอีก
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ของลูกสาวเพื่อแก้ปัญหา
หลังจากทักทาย พ่อและลูกสาวก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก พวกเขายังคงรู้สึกประหม่าและห่างเหินกันเป็นอย่างมาก
อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนฝ่ายทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด
“อาการบาดเจ็บของคุณยังไม่ทุเลาลง คุณไปทำแผลก่อนเถอะครับ อย่าให้ลูกสาวเป็นห่วงเลย”
ซูกว่างไห่พยักหน้าทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“งั้นผมไปก่อนนะ แล้วเจอกันใหม่”
หลังจากประสบเหตุร้ายเป็นเวลานาน เขาก็ไม่มีเรื่องต้องพูดคุยกับชายตรงหน้าอีก
หลังจากซูกว่างไห่และหมอเดินจากไป อวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋อก็ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องตามลำพัง ความเงียบจึงเข้าปกคลุมทั้งห้องอย่างรวดเร็ว
แสงอาทิตย์ยามเที่ยงส่องกระทบร่างบอบบาง ดูเหมือนว่าซูหว่านเอ๋อจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“อวี้ฮ่าวหราน คุณช่วยปิดม่านให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเดินไปปิดผ้าม่านโดยไม่พูดสักคำ
เมื่อกลับมานั่งที่เดิม ซูหว่านเอ๋อก็มองเขาด้วยสายตาจริงจัง
“ขอบคุณนะคะ”
เธอขอบคุณอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเธอกำลังขอบคุณเรื่องที่เขาปิดม่านหรือเรื่องที่ผ่านมา
“ไม่เป็นไรครับ คุณพักผ่อนเถอะ ผมจัดการเรื่องทุกอย่างให้ตระกูลซูเรียบร้อยแล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานปลอบแล้วเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขาจึงพบว่าตอนนี้หญิงสาวหยิบจี้หยกขาวออกมาที่ไหนสักแห่งมาถือไว้ในมือ
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
“อวี้ฮ่าวหราน คุณรู้ไหมว่าทำไม?”
ท่ามกลางความเงียบงัน จู่ ๆ หญิงสาวก็ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำจับจ้องชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยสายตาเคร่งเครียด
อวี้ฮ่าวหรานนิ่งเงียบ เขาไม่อยากตอบส่งเดชจึงต้องคิดหาคำตอบอย่างรอบคอบ
แต่ก่อนที่เขาจะตอบ ซูหว่านเอ๋อก็มองมาที่เขาก่อนหันไปมองแสงอาทิตย์นอกหน้าต่าง
“ความจริงแล้วตอนที่ฉันยังเด็ก แพทย์วินิจฉัยว่าฉันมีความผิดปกติด้านร่างกาย และจะมีอายุได้ไม่เกินสิบห้าปี”
เธอเริ่มเล่าปูมหลังของตัวเองโดยไม่รอคำตอบของอีกฝ่าย
“แม่เสียไปตั้งแต่ฉันเกิด แถมฉันยังอ่อนแอและป่วยง่าย พ่อเลยไม่ชอบฉันสักเท่าไร และดูเหมือนว่าตอนนั้นเขากำลังสนใจเรื่องวัตถุโบราณ”
“เพราะคิดว่าตัวเองคงอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันเลยชอบวัตถุโบราณมาก ทุกครั้งที่ฉันมองพวกมัน อย่างน้อยฉันก็รู้สึกได้ว่าเวลาบนโลกใบนี้ยาวนานเหลือเกิน”
ตอนที่พูดอยู่นั้น เธอก็วางจี้หยกขาวในมือไว้กลางแสงแดด ซึ่งยิ่งทำให้มันส่องประกายงดงามมากขึ้น
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เธอก็พูดต่อด้วยความภาคภูมิใจ
“ตอนนั้นฉันอยากมีชีวิตยาวนานมากขึ้นเพื่อจะชื่นชมวัตถุโบราณให้มากกว่านี้ อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้เกิดมาอย่างเปล่าประโยชน์ สุดท้ายฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้”
เธอดูภาคภูมิใจในเรื่องนี้มาก ขณะเดียวกันมุมปากของเธอก็กระตุกยิ้มเล็กน้อย
หลังจากพูดอีกสองสามคำ ซูหว่านเอ๋อก็หยิบจี้หยกขาวมามอบให้อวี้ฮ่าวหราน
“สำหรับคุณค่ะ มันคือของขวัญวันเกิดปีที่สิบห้าที่แม่เตรียมไว้ให้ฉัน”
อวี้ฮ่าวหรานตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะปฏิเสธ อีกฝ่ายก็ยัดจี้หยกขาวไว้ในมือของเขาซะแล้ว
เมื่อสัมผัสอย่างใกล้ชิด เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แฝงอยู่ในจี้หยกโดยไม่ต้องเปิดใช้เนตรเทวะ
แม้ว่าพลังของมันจะน้อยกว่าปิ่นหยกดำมาก แต่มันก็สามารถช่วยเขาในการฝึกตนได้
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องปฏิเสธวัตถุโบราณที่มีพลังวิญญาณ…
“มันมีความหมายกับคุณมาก เอามันคืนไปเถอะครับ”
พูดจบ เขาก็คืนจี้หยกขาวให้อีกฝ่าย
“ไม่ค่ะ คุณรับมันไว้เถอะ ฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว”
ซูหว่านเอ๋อปฏิเสธอีกฝ่าย เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ ขณะซุกมือไว้ใต้ผ้าห่ม
มืออวี้ฮ่าวหรานชะงักค้างกลางอากาศ จากนั้นไม่นานเขาก็เข้าใจสายตาดื้อรั้นของหญิงสาวตรงหน้า
“อืม ขอบคุณนะครับ”
จากนั้นเขาจึงเก็บจี้หยกขาวไว้ในกระเป๋าเสื้อ
“เอาล่ะ ฉันเล่าเรื่องเศร้ามามากพอแล้ว แต่ฉันอยากถามคุณอย่างหนึ่งน่ะค่ะ…”
“อืม ถามเลยครับ”
อวี้ฮ่าวหรานตอบโดยไม่ลังเล
“เอ่อ…คือว่าวัตถุโบราณที่พวกมันขโมยไป มันเป็นของที่ฉันสะสมมานานหลายปี”
ซูหว่านเอ๋อลังเลเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ ผมจะเอาของพวกนั้นมาคืนคุณเอง”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายออกปากขอเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก วันนี้คุณขอบคุณผมหลายครั้งแล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อขัดจังหวะในการขอบคุณของอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างงั้น…ฉันคงต้องรบกวนคุณแล้ว”
ซูหว่านเอ๋อที่ถูกขัดจังหวะชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าตอบรับเบา ๆ
…
สองวันต่อมา อวี้ฮ่าวหรานตามหาวัตถุโบราณของซูหว่านเอ๋อครบหมดแล้ว แถมวันนี้ยังเป็นวันสุดท้ายในการปิดเทอมภาคฤดูร้อนของถวนถวนอีกด้วย
“เย้! หนูจะได้เจอครูสวีแล้ว!”
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ เด็กน้อยมีท่าทีกระตือรือร้นและมีความสุขอย่างมาก ซึ่งทำให้อวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงมองหน้ากันและกันด้วยความประหลาดใจ
พวกเด็ก ๆ มักงอแงทุกครั้งที่ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ…ซึ่งถวนถวนถือว่าเป็นกรณีพิเศษ
“ครูสวีทำให้ถวนถวนของเราชอบไปโรงเรียนสินะ”
หลี่หรงพูดอย่างมีความสุข
เธอคิดเสมอว่าถวนถวนเป็นลูกสาวคนหนึ่งของเธอ ในเมื่อลูกสาวชอบไปโรงเรียน ผู้ปกครองอย่างเธอก็พลอยรู้สึกสบายใจไปด้วย
“ตอนเช้าฉันจะไปส่งถวนถวนเอง”
“อืม ช่วงนี้ฉันยุ่งมากเลยพี่เขย แต่หลังจากที่รวมบริษัทเข้าด้วยกัน ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้นแล้ว”
หลี่หรงไม่ได้อาสาไปส่งถวนถวน เพราะหลายวันมานี้เธอยุ่งอยู่กับงานที่บริษัทจนหัวหมุน
“อยากให้ฉันช่วยไหม?”
อวี้ฮ่าวหรานอดถามไม่ได้
อีกฝ่ายยังเป็นเด็กสาว แถมยังต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน ซึ่งเด็กสาวรุ่นเดียวกันยังนึกถึงแค่เรื่องรักใคร่อยู่เลย
“ตอนนี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันจัดการได้”
หลี่หรงส่ายศีรษะพร้อมตอบด้วยความมั่นใจอย่างมาก
“ถ้าบริษัทเติบโตมากกว่านี้ งานฉันต้องล้นมือมากแน่นอน ดังนั้นฝึกไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า”