“เฉียวเว่ย”
เจียงหยวนได้เห็นประตูห้องของเฉียวเว่ยเปิดทิ้งเอาไว้
ดวงตาของเขาแดงกร่ำ พร้อมกับความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุขึ้นมาในใจ
เฉียวเว่ยเป็นคนใกล้ชิดเพียงหนึ่งเดียวนอกเสียจากพ่อของเขา
เมื่อเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เขาเป็นก็คือเศษซากของเก้าอี้ เศษแจกันที่แตกกระจาย และเลือดจำนวนมากบนเตียง
มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“เกิด….อะไรขึ้น”
น้ำเสียงของเจียงหยวนเย็นยะเยียบราวกับน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลาย ทำให้คนที่ได้ยินถึงกับขนลุกขนชัน
หญิงรับใช้ที่วิ่งตามกลับมาอย่างเร่งรีบ เมื่อได้ยินคำถามนี้ก็ได้ทรุดเข่าลงไปพร้อมร่างกายที่สั่นเทา
“เป็นผู้อาวุโสสูงรึ”
ท่าทางของเจียงหยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมหมัดที่กำแน่น เป็นตอนนี้ที่ราวกับเขาพึ่งจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
เฉียวเว่ยคือจุดอ่อนของเขา
“เจ้าค่ะ…”
หญิงรับใช้รู้สึกหวาดกลังจนตัวสั่นจากท่าทางของเจียงหยวนในตอนนี้และทำได้เพียงพูดตอบออกมาโดยไม่กล้าอิดออด
“ผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ที่ไหน”
เจียงหยวนถามออกมาพร้อมจิตสังหารที่พลุ่งพล่าน
“ลานฝึกตะกูลเจียง…ค่ะ”
“ดี ข้าอยากรู้นักว่ามันจะเล่นอะไร”
…..
ลานฝึกตระกูลเจียง
ผู้คนมากมายถูกเรียกมารวมกันที่นี่เพื่อฟังประกาศของผู้อาวุโสสูงสุด
“เฉียวเว่ย เจ้ารู้ความผิดของเจ้าหรือไม่”
ผู้อาวุโสสูงสุดอยู่บนเวทีได้พูดพลางก้มลงมองเฉียวเว่ยที่ในตอนนี้ถูกองครักษ์ของตระกูลพยายามกดหัวให้ชิดแนบพื้นพร้อมมุมปากที่ยิ้มออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เฉียวเว่ยไม่ทราบว่าผู้อาวุโสสูงต้องการสิ่งใด ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นลูกสาวของคนนอก แต่ข้าก็อยู่ในตระกูลเจียงมาตั้งแต่เด็ก ข้าอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปีและใช้ชีวิตตามกฎของตระกูลมาโดยตลอด แม้แต่ครึ่งก้าว ข้าก็ยังไม่เคยคิดที่จะทำผิด”
เฉียวเว่ยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่ยอมรับความผิดโดยไม่รู้เรื่อง นางมีศักดิ์ศรีของตัวเอง และนอกจากเจียงหยวนแล้ว นางไม่คิดที่จะก้มหัวให้กับใครอีก
“ขโมยของของคนในตระกูล สมควรจะถูกตัดมือ”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมใบหน้าที่น่ารังเกียจ ราวกับว่ากำลังโกรธในตัวเฉียวเว่ยขึ้นมาจริงๆ
เฉียวเว่ยได้ยกมือของตนขึ้นมาก่อนจะมองไปยังตาของผู้อาวุโสสูงสุด แล้วพูดออกมาอย่างห้าวหาญ “ขโมยของคนในตระกูลหรือเจ้าคะ เฉียวเว่ยติดตามนายน้อยใหญ่มาตั้งแต่เด็ก ข้าเองก็อยู่ดีกินดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องขโมยของเขา”
“แล้วเจ้าจะอธิบายสิ่งนี้ว่ายังไง”
เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสสูงสุดก็ได้โยนกระเป๋าเก็บของไปตรงหน้าของเฉียวเว่ย ก่อนที่เฉียวเว่ยจะได้พูดอะไรออกมา เขาก็ได้พูดต่อ “สิ่งนี้พบในห้องของเจ้า แต่เดิมมันเป็นของนายน้อยเจียงหมิง”
“ข้าไม่เคยเห็นกระเป๋านี้มาก่อน ท่านผู้อาวุโสสูงสุดโปรดให้ความเป็นธรรมา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่เคยเห็นขโมยที่นั้นรับว่าตัวเองขโมยสิ่งของเลยสักคนเดียวเหมือนกัน แถมดูเหมือนว่าเจ้ากับเจียงหมิงเองก็เคยลอบพบเจอกันตอนกลางคืนอยู่บ่อยๆนี่ หญิงรับใช้คนนั้นเป็นพยานได้”
ผู้อาวุโสสูงสุดพูดพลางชี้นิ้วไปยังหญิงรับใช้คนหนึ่ง ผู้ซึ่งอยู่หน้าเวทีที่ใช้ตัดสินโทษ
“หลี่ฉิว ข้านึกว่าเจ้าเป็นพี่น้องอันดีกับข้า ทำไมเจ้าต้องทำร้ายข้าด้วย”
หัวใจของเฉียวเว่ยเย็นเฉียบขึ้นมาในทันทีเมื่อพบว่าคนที่ผู้อาวุโสสูงสุดใช้เป็นพยานกลับเป็นพี่น้องอันดีของนาง หลี่ฉิว
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด เป็นนาง ข้าเห็นนางเดินออกจากห้องของนายน้อยเจียงหมิง แล้วรีบวิ่งออกไปราวกับไม่อยากจะให้ใครพบเห็นตัว”
หลี่ฉิวพูดออกมาพลางเดินขึ้นเวทีไป
“ข้าก็เห็นเฉียวเว่ยออกจะดูน่ารัก ไม่คิดเลยจริงๆว่านาง…”
“เจียงหมิงโชคดีจริงๆที่ได้เชยชมสาวงามเช่นนี้ ผิวพรรณของนางช่างดูน่าหลงใหลจริงๆ”
“นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเจียงหยวนนี่ ข้าคิดว่าปานนี้เจียงหยวนคงต้องโกรธจนหน้าเขียวหน้าดำเป็นแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า”
….
เสียงพูดคุยของผู้คนในตอนนี้ทำให้เฉียวเว่ยไม่ได้ต่างไปจากอาชญกรหน้าหวานไปแล้ว
“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีก หลักฐานและพยานก็มีพร้อม เจ้าไม่เพียงจะขโมยของ เจ้ายังใช้ความงดงามของเจ้าล่อลวงนายน้อยเจียงหมิงอีกด้วย เจ้าสมควรจะถูกประหารเสียตรงนี้”
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดพูดออกมา เขาได้ส่งสัญญาณมือให้กับองครักษ์ที่ควบคุมตัวเฉียวเว่ยทั้งสองฝากฝั่ง
โดยไม่มีการเปิดโอกาสให้เฉียวเว่ยได้แก้ตัว ดาบเล่มใหญ่ได้ถูกยกขึ้นไปบนกลางอากาศ