“ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันนะครับ รุ่นน้องของผมพวกนี้มีความสามารถมากจริงๆ ” หันซิวเช่อตอบ “ผมถึงได้ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณที่คุณเห็นถึงความสามารถของพวกเขาและคอยให้คำแนะนำ”
หลงเจี่ยสบตามองเขาในขณะที่เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น เป็นสายจากคนที่เธอรู้จักมานาน
“หลงเจี่ยขอบคุณที่เมื่อก่อนคุณช่วยฉันไว้ฉันถึงอยู่รอดในวงการได้ ได้ยินว่าคุณกำลังพยายามดันศิลปินวงใหม่อยู่ฉันเลยติดต่อคุณมาทันทีเลย ตอนนี้มหาวิทยาลัยกำลังจัดงานเทศกาลดนตรีน่ะ ฉันคิดว่าวงของคุณน่าจะไปแสดงที่นั่นนะ
“นักร้องแนวหน้าอย่างฉินฉินก็จะมาร่วมแสดงในเวทีนี้ด้วยนะ คุณเองก็คิดซะว่าเป็นลาภลอยก็ได้…
“คุณคิดว่ายังไงล่ะ”
ในเวลาอย่างนี้คนที่ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือนับได้ว่าเป็นเพื่อนแท้ หลงเจี่ยจึงบอกกลับ “ฉันจะจำสิ่งที่คุณทำเพื่อฉันในวันนี้ตลอดไปนะ”
“คุณจริงจังเกินไปแล้วนะ ฉันแค่รู้สึกว่าถังหนิงจะต้องกลับมาปักกิ่งเลยอยากปูทางให้ตัวเองเท่านั้นแหละ”
หลงเจี่ยเข้าใจว่ามีผลประโยชน์เข้าเกี่ยวข้อง แต่ในเมื่อคนคนนี้เสนอตัวช่วยเธอ เธอก็จะจดจำพวกเขาเอาไว้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“โอเค ถ้างั้นก็ตั้งใจกับการฝึกศิลปินหน้าใหม่ของคุณเถอะ”
หันซิวเช่อฟังบทสนทนาทั้งหมดของหลงเจี่ยและมั่นใจว่าเอสเอเจคงจะได้แสดงบนเวทีแจ้งเกิด เขานึกไม่ถึงว่าโอกาสของเขาจะมาถึงเร็วได้ง่ายดายขนาดนี้
อีกไม่นานมันก็จะเกิดขึ้นแล้ว…
หันซิวเช่อคิดส่าอย่างน้อยหลงเจี่ยก็ควรได้มีความสุขกับความสำเร็จของทั้งสี่คนที่เธอปั้นขึ้นมากับมือ
ไม่สิ ว่ากันตามจริง เขารู้สึกว่าเธอควรมีความสุขกับมันในขณะที่ยังมีโอกาสอยู่ต่างหาก…
จากนั้นหลงเจี่ยแจ้งเรื่องที่เธอจัดการให้เอสเอเจได้รู้ก่อนบอกกับพวกเขา “ฉันรู้พวกเธอทำการแสดงมามากในช่วงเปิดเทอม ฉันดูการแสดงบนเวทีแล้วและเห็นว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ตอนนี้พวกเธอกำลังออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเผชิญหน้ากับคนทั้งวงการบันเทิงเลยต้องจริงจังให้มาก ถ้าการแสดงครั้งแรกผิดพลาดขึ้นมาพวกเธอจะพังทันที”
หลังจากได้รับคำแนะนำจากหลงเจี่ย สมาชิกในวงต่างฝึกซ้อมกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง
เพราะถึงอย่างไรมันก็คือการแสดงเปิดตัวอย่างเป็นทางการของพวกเขา!
“เข้าใจแล้วครับ เราจะทุ่มเทให้เต็มที่…” สมาชิกในกลุ่มตอบอย่างแข็งขัน
…
ในเวลาเดียวกัน ในอเมริกาที่อยู่ห่างออกไป ถังหนิงได้ยินจากโม่ถิงว่าหลงเจี่ยกำลังพยายามเปิดตัวศิลปินหน้าใหม่ เธอรู้สึกยินดีกับข่าวนี้จากก้นบึ้งของจิตใจ “ช่วงที่เราอยู่สังกัดเทียนอี้ หลงเจี่ยทำหลายอย่างเพื่อปูทางให้ฉัน จริงๆ แล้วเธอมีความสามารถมากเลยนะคะ…”
เมื่อพูดถึงเทียนอี้ โม่ถิงมองถังหนิงและไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาในท้ายที่สุด “เธอยังยืนกรานว่าไม่ต้องการให้ลู่เช่อช่วยเธออยู่เลยนะครับ”
“เธอไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ถังหนิงบอกขณะที่กล่อมเหยียนเอ๋อร์ในอ้อมแขน
“แล้วคุณล่ะครับ วางแผนจะกลับไปจีนเมื่อไหร่”
“คุณกำลังพยายามบอกว่าหม่าเวยเวยชักทำเลยเถิดไปแล้วเหรอคะ” ถังหนิงถาม “ฉันได้ยินเรื่องที่เธอก่อเอาไว้ในปักกิ่งอยู่…”
“คุณไม่เคยเห็นหม่าเวยเวยในสายตา ผมกำลังพยายามจะถามคุณว่าเมื่อไหร่คุณจะกล้าเผชิญหน้ากับตัวเองอยู่ครับ” โม่ถิงรับเหยียนเอ๋อร์มาจากถังหนิงก่อนสบตามองเธอ คล้ายกำลังพยายามอ่านใจ “ผมได้ยินว่าคุณเปลี่ยนหลายอย่างในมดราชินีระหว่างกระบวนการหลังการถ่ายทำ”
“ตลอดเวลามานี้ฉันได้เรียนรู้หลายอย่างที่อเมริกามากค่ะ แล้วฉันก็ได้เข้าใจความแตกต่างระหว่างหนังไซไฟของจีนกับตะวันตก ฉันว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถที่จะทำมันได้โดยลำพังหรอกค่ะ ถิงคะ ความปรารถนาของเฉียวเซินคืออการสร้างหนังไซไฟที่เทียบชั้นกับชาวตะวันตกได้ แต่ว่าความคิดสร้างสรรค์และคุณภาพของเรามันธรรมดาเกินไปค่ะ…”
“อย่ากดดันตัวเองนักเลยครับ ทำในสิ่งที่คุณทำได้เถอะ อีกอย่างตะวันออกกับตะวันตกก็มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว สิ่งที่เหมาะกับชาวตะวันตกอาจไม่จำเป็นต้องเหมาะกับชาวตะวันออกก็ได้ครับ”
ถังหนิงมองหน้าโม่ถิงพร้อมแววตาที่อ่อนลง “คุณไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยค่ะ
“แล้วคุณก็ต้องบอกให้ลู่เช่อช่วยหลงเจี่ยให้มากกว่านี้ด้วยนะคะ…”
ถังหนิงคาดหวังกับตัวเองไว้สูงพาให้คาดหวังกับ มดราชินี ไว้สูงเช่นกัน เธอจึงขอให้ฝ่ายที่ดูแลกระบวนการหลังการถ่ายทำลงมืออย่างประณีตและละเอียดยิ่งขึ้น
หากแต่ไม่ว่าเธอจะทำการเปลี่ยนเพียงไหน เธอก็ยังคงรักษาบรรยากาศต้นฉบับของเรื่องราวเอาไว้ แม้ว่าจะมีผู้กำกับอีกสองคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอก็จะไม่ละทิ้งความตั้งใจของเฉียวเซินเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ มดราชินีจึงยังไม่ได้ปรากฏสู่สายตาของผู้ชมกระทั่งหลังจากนั้น….
…
ไม่กี่วันต่อมา งานเทศกาลดนตรีถูกจัดขึ้นที่หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ
ในฐานะนักร้องชื่อดังที่กำลังจะทำการแสดง งานเทศกาลนี้ถือว่าได้รับความนิยมไม่น้อย
ไม่เพียงแต่นักศึกษาแต่ยังมีคนจากด้านนอกที่คงเบียดอัดกันเข้ามาในสนามกีฬาที่จุได้กว่าห้าพันคน
นักร้องชื่อดังแสดงเพียงสองเพลงและคงจากไปทันทีที่แสดงจบ ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจว่าจะมีศิลปินหน้าใหม่ที่พยายามเกาะกระแสความนิยมของเธอ
เพื่อให้การแสดงได้รับความสนใจมากที่สุด หลงเจี่ยจัดการให้ศิลปินของเธอแสดงต่อจากนักร้องชื่อดัง
นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดให้การรับประกันถึงจำนวนผู้ชมสูงสุด
หลงเจี่ยปลื้มใจกับแผนของเธอ หลังจากซย่าหันโม่เสียชีวิตและถังหนิงจากไป จู้ซิงมีเดียก็อ่อนแอลงมากเกินว่าจะลุกขึ้นมาสู้ การชุบชีวิตให้กับมันไม่ใช่งานที่จะทำสำเร็จได้ง่าย อย่างไรเสียเมื่อก่อนก็มีดาราดังหลายคนที่ต้องการเข้าสังกัดจู้ซิงมีเดียเพื่อเป็นศิลปินของถังหนิง
ทว่าตอนนี้ล่ะ…
เอสเอเจเตรียมตัวมาอย่างดีหลังจากเฝ้าฝึกมากว่าหนึ่งอาทิตย์ ทว่าแค่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนและกรีดร้องมาจากหน้าเวที พวกเขาก็ยังคงออกอาการประหม่า
ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่งานในทำนองพิธีจบการศึกษาที่มีผู้ชมเพียงไม่กี่ร้อยคน แต่เป็นงานเทศกาลดนตรีพร้อมผู้ชมนับพันคน
“พวกเธอไม่ต้องเกร็งไปหรอกนะ ฉันเข้มงวดกับพวกเธอมาก่อนจะได้ไม่ให้เวลาของพวกเธอเสียเปล่า แต่ตอนนี้สายเกินจะถอยหลังกลับแล้ว ดังนั้นก็ผ่อนคลายแล้วทำให้เต็มที่ซะ ในเมื่อพวกเธอทำดีที่สุดแล้วต่อให้ผลที่ได้มันจะไม่ได้ดีนัก ฉันก็จะไม่โทษพวกเธอหรอก” หลงเจี่ยเอ่ยปลอบ
“แต่แน่นอนว่าฉันก็หวังว่าจะได้รับสายโทรศัพท์ที่เสนอโอกาสในหน้าที่การงานของพวกเธอทุกคนอยู่นะ”
สมาชิกในวงควบคุมจังหวะหายใจของตัวเองขณะที่ปล่อยวางความกังวลลง…
“ไปได้แล้ว! โชคดีนะ! ใกล้ถึงเวลาของพวกเธอแล้ว! ”
หลงเจี่ยฝากความหวังทั้งหมดไว้กับทั้งสี่คน…เธอคิดว่าผลที่ออกมาคงจะไม่แย่นัก หากแต่อย่าลืมว่า หันซิวเช่อกำลังซ่อนตัวในเงามืด
เขาล่อลวงหลงเจี่ยให้เหยียบกับดัก และรอเวลาเหมาะๆ ที่จะดึงสลัก
เห็นได้ชัดว่านี่ยังไม่ถึงเวลาที่จะทำลายหลงเจี่ย อย่างน้อยเขาก็ต้องการให้เธอได้ดื่มด่ำกับความสุขจากการทุ่มเทของตัวเองสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะโหดร้ายเกินไปใช่ไหมล่ะ
ในขณะที่เผชิญหน้ากับเวทีใหญ่ขนาดนี้ หลงเจี่ยเฝ้ารออย่างใจเย็นอยู่ด้านหลังเวที
แม้ว่าเอสเอเจจะเป็นศิลปินหน้าใหม่ พวกเขายังเป็นวัยรุ่น เข้าสมัย และดูดี อีกทั้งยังแสดงการเต้นที่ทั้งยากและดูน่ามองสุดๆ ได้
ภายใต้แสงไฟที่สาดส่องลงมา สมาชิกในวงประสบความสำเร็จในการสร้างอารมณ์ร่วมเล็กๆ น้อยๆ ต่อให้ผู้ชมไม่ต้องรู้ว่าเป็นใครก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาดูดีและไม่มีใครเหมือน…
สำหรับหลงเจี่ยแล้ว การดึงดูดความสนใจได้สำเร็จมาครึ่งทางแล้ว…
สมาชิกทั้งสี่คนต่างมีความสามารถอย่างแท้จริง…
แต่ทว่าหลงเจี่ยคงไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ไปได้นานนัก