ขณะที่พวกเขาก้าวลงจากเวทีงานเทศกาลดนตรี สมาชิกทั้งสี่คนแทบหายใจไม่ทัน แต่จากสีหน้ามีความสุขของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าคืนนี้คงเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่ดวงดาวของพวกเขา
หลงเจี่ยรู้ดีว่าวงการเพลงนั้นดุเดือดขนาดไหน ด้วยมีรายการประกวดร้องเพลงมากมายและนักร้องที่มีความสามารถแตกต่างกันไป จึงเป็นการยากที่ผู้ชมจะรู้จักพวกเขาทั้งหมดได้ หากใครไม่มีเอกลักษณ์บางอย่างที่แสดงออกให้เห็น และต้องการอาศัยเพียงทักษะการร้องเพลงในการก้าวหน้า มันคงจะยากลำบากไม่น้อย
หลงเจี่ยจึงได้จ้างครูสอนเต้นเป็นการเฉพาะมาจากเกาหลีใต้เพื่อช่วยอุดช่องโหว่ของทักษะการเต้นที่ขาดหายไปในจีน
ด้วยเหตุนี้หลังจากเทศกาลดนตรีจบลง หลงเจี่ยได้เปิดประตูสู่โอกาสที่หลากหลายและได้หายใจหายคอโล่งกับเขาเสียที จากนั้นเธอจึงฝึกฝนสมาชิกในวงอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ครั้งที่ถังหนิงยังอยู่ จู้ซิงมีเดียเป็นสังกัดมืออาชีพที่ขึ้นชื่อเรื่องการค้นพบศิลปินที่ถูกมองข้ามไป ตอนนี้เมื่อถังหนิงไม่อยู่แล้ว หลงเจี่ยวางแผนเปลี่ยนจู้ซิงมีเดียให้เป็นที่ชุบเลี้ยงศิลปินหน้าใหม่ สถานที่ที่กลุ่มคนวัยรุ่นจะได้รับการสนับสนุน จู้ซิงมีเดียกำลังจะถูกรู้จักในนาม คนหนุ่มสาวและทันสมัย
หลังจากเห็นผลงานของหลงเจี่ย ผู้จัดการของหันซิวเช่อถอนหายใจออกมา คนของจู้ซิงมีเดียมีฝีมือจริงๆ แม้ว่าหลงเจี่ยจะไม่ได้มีไหวพริบและเล่ห์กลมากเท่าถังหนิง เธอก็ยังคงน่าประทับใจไม่น้อย
ในขณะที่เธอรู้ว่าหันซิวเช่อเป็นคนที่แนะนำเอสเอเจให้จู้ซิงมีเดีย เธอก็ยินดีที่ได้เห็นพวกเขาประสบความสำเร็จ
“คุณรู้ไหมว่านอกจากการวาดรูปแล้ว คุณไปเป็นแมวมองได้เลยนะ! ”
หันซิวเช่อยืนอยู่ตรงหน้าแทบเล็ตที่ใช้วาดรูปของตัวเองขณะที่ได้ยินคำชมเชยจากผู้จัดการก่อนว่าเย้ย
“ฉันไม่ได้แนะนำทั้งสี่คนนั้นให้จู้ซิงมีเดียเพราะต้องการให้พวกเขาดังซะหน่อย… เธอคิดว่าฉันเป็นคนดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
“คุณช่วยทำอะไรดีๆ สักครั้งไม่ได้หรือไงคะ” ผู้จัดการหันไปมองค้อนใส่หันซิวเช่อ
“ไม่ ฉันทำไม่ได้! ”
ความจริงแล้วผู้จัดการรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ดูเผินๆ เขาบอกว่าเขาเกลียดถังหนิง แต่ความเป็นจริงเขาแค่ต้องการล่อให้ถังหนิงออกมาเพื่อจะได้เห็นการตอบโต้ของเธอเท่านั้น เขาสนใจในตัวเธอแต่กลับดื้อด้านเกินจะยอมรับมัน อีกอย่างเขาก็ไม่เคยเรียนรู้การปฏิบัติต่อกันอย่างมีมารยาทแม้แต่น้อย
“ต่อให้ถังหนิงจะท้าทายคุณมันก็เป็นโชคร้ายของเธอ แต่หลงเจี่ยล่ะ เธอไว้ใจคุณมากนะ ทำไมถึงต้องทำร้ายเธอด้วย”
“เธอไม่รู้เหรอว่าทำไมฆาตกรโรคจิตถึงฆ่าคนน่ะ” หันซิวเช่อถามพลางวางปากกาลง
“ทำไมล่ะ”
“เพราะเขาสะใจยังไงล่ะ…หลงเจี่ยไม่ได้มีความหมายอะไรกับฉัน ทำไมฉันต้องสนใจความรู้สึกของเธอด้วย”
ยังมีบางคนในโลกใบนี้ที่ทำสิ่งที่หาเหตุผลไม่ได้
คนบางคนไม่อาจแยกแยะดีเลวได้ พวกเขาเพียงแต่ทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุขเท่านั้น
หันซิวเช่องุนงงเมื่อเธอลุกขึ้นอย่างหัวเสีย “ฉันขี้เกียจจะยุ่งเกี่ยวกับคุณแล้ว คุณอยากทำอะไรก็ตามใจเลย! ”
เขาถือดีและเย่อหยิ่งเพราะไม่มีใครทำอะไรเขาได้ เขาจะทำอะไรตามใจก็ได้ทั้งนั้น
วงการบันเทิงคืออะไร มันคือที่ที่คนมากิน ดื่ม และเล่นสนุก อย่างน้อยนั่นก็เป็นมุมมองที่หันซิวเช่อเห็น
เขากำลังรอดูการตอบโต้ของถังหนิงจริงๆ หรือ
ถังหนิงเป็นแค่ผู้หญิงที่สวมหน้ากากไว้เท่านั้น ทำไมเขาจะต้องหมกมุ่นกับเธอด้วย ทุกอย่างที่เขาทำเพียงแค่จะได้เห็นถังหนิงเจ็บปวดหรือ
…
ในขณะเดียวกันที่อเมริกา การถ่ายทำภาพยนตร์ของโจนส์ สัตว์ทดลองคืนชีพก็ใกล้ดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้าย เหลือเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าสู่ขั้นตอนหลังการถ่ายทำ ต้องขอบคุณความสามารถของช่างเทคนิคพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถังหนิงไม่อาจเรียนรู้ได้ง่ายๆ
ในระหว่างขั้นตอนสุดท้ายของการถ่ายทำ โจนส์เป็นห่วงว่าถังหนิงคงไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เขาจึงเริ่มอธิบายสิ่งต่างๆ อย่างละเอียด นี่เป็นสิ่งที่ถังหนิงหวังเอาไว้อย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้ที่อังกฤษเธอรู้สึกราวกับว่ามันเป็นการเสียเวลา ไม่ว่าเธอจะดูภาพยนตร์สักกี่เรื่องและเรียนทฤษฎีกี่แขนง ก็ไม่อาจเทียบกับประสบการณ์ของโจนส์ได้แม้แต่น้อย
“เราไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมาก แต่ทุกอย่างที่ฉันสอนคุณไปเป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์และเทคนิคในการถ่ายทำที่ฉันใช้
“ถังหนิง การถ่ายทำหนังคืองานศิลปะ งานศิลปะที่จะแสดงตัวตนของคุณออกมาเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก มันคือสิ่งที่คุณอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการค้นหา
“ต่อไปนี้คุณจะต้องทดลองทำด้วยตัวเองแล้วล่ะ…
“ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังทำงานภาพยนตร์อยู่ ฉันเห็นร่างที่คุณเขียนและผู้กำกับคนล่าสุดแล้ว… ฉันจะรอดูผลงานที่ออกมานะ”
โจนส์ไม่ได้ออกความเห็นกับภาพยนตร์ของถังหนิงเพราะเขารู้เรื่องของเฉียวเซิน
ต่อให้ถังหนิงจะเรียนรู้มากขนาดไหน เธอก็ไม่ได้เปลี่ยนเส้นเรื่องหลักของภาพยนตร์ ด้วยต้องการให้เกียรติการทุ่มเทของผู้กำกับที่จากไป นี่เป็นเหตุผลที่โจนส์ยินดีที่จะสอนถังหนิง เธอเป็นคนกตัญญูและมีคุณธรรม
“แล้วฉันเองก็รู้ว่าสามีของคุณมีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้ด้วย
“ฉันเชื่ออย่างหนึ่งว่าหนังที่เกิดขึ้นได้จากความตั้งใจของคนหลายคน ไม่มีทางออกมาแย่อย่างแน่นอน คุณเองก็ต้องเชื่อในตัวเองด้วยล่ะ”
ถังหนิงซาบซึ้งในใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรในฐานะ เจ้าพ่อแห่งโลกไซไฟ โจนส์ได้ทำและสอนอย่างเต็มที่แล้ว
อาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกัน แต่ก็นับได้ว่าเป็นโชคชะตาของพวกเขา
เธอคงไม่อาจทำเหมือนกองถ่ายเป็นโรงเรียน และถือว่าโจนส์เป็นศาสตราจารย์ที่จะมาคาดหวังให้เขาสอนทุกอย่างกับเธออย่างเป็นระบบได้
ในวันสุดท้ายของการถ่ายทำโจนส์เมาแอ๋เพราะเขารู้ว่าตัวเองต้องประกาศเกษียณตัวเองหลังจากภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายนี้
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ถังหนิงก็เริ่มคิดถึงชายสูงวัยใจดีขึ้นมาเสียแล้ว “ฉันหวังว่าต่อไป ฉันจะยังมาเยี่ยมคุณได้นะคะ”
“คุณเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของฉัน คุณมีสิทธิ์ทำอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ ฉันต้อนรับคุณเสมอแหละ…” โจนส์หัวเราะ “ถังหนิง คุณเป็นลูกศิษย์ของฉัน อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ”
“ไม่แน่นอนค่ะ” ถังหนิงพยักหน้าให้
“ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ…”
คืนนั้นถังหนิงและโจนส์พูดคุยกันอยู่นานแทบจะเหมือนพ่อกับลูกสาว ทั้งโจนส์ยังได้ให้คำแนะนำกับถังหนิงอีกมากมาย
“ก่อนเราจะบอกลากัน ฉันจะให้ของขวัญกับคุณ หวังว่าคุณจะชอบนะ”
นั่นคือคำสุดท้ายที่โจนส์เอ่ยก่อนที่จะกลับบ้านไป ถังหนิงไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไรกระทั่งบริษัทสร้างภาพยนตร์อเมริกันหลายแห่งเริ่มติดต่อเธอมาในไม่กี่วันให้หลัง จึงได้รู้ว่าโจนส์ได้แนะนำเธอให้กับคนดังในแวดวง
เพื่อดึงตัวลูกศิษย์ของโจนส์ไว้ บริษัทภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาได้เสนอเงื่อนไขที่น่าสนใจไม่น้อยบางอย่างให้ถังหนิง
ทว่าเธอกลับปฏิเสธข้อเสนอเพราะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอควรอยู่ที่ใด…
อีกทั้งเธอยังรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีศักยภาพพอที่จะทำงานกับพวกเขา พวกเขาแค่เข้ามาหาเธอด้วยความเคารพอาจารย์ของเธอเท่านั้น
…
“นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะคิดกลับไปจีนได้แล้วเหรอครับ” โม่ถิงถามขณะที่กุมมือถังหนิงเดินเล่นไปตามท้องถนน “สุดท้ายคุณก็ต้องกลับไปในที่ที่จากมา”
ถังหนิงระบายยิ้มก่อนส่ายหน้า “ฉันไม่ได้รีบร้อนหรอกค่ะ เราจะอยู่ขัดเกลาฝีมือของเราที่นี่ในอเมริกา จนกระทั่งฉันพอใจกับผลงานหลังการถ่ายทำของ มดราชินี ฉันรับปากว่าจะกลับไปจีนเมื่อทำหนังเสร็จ แต่มันเพิ่งจะเสร็จไปครึ่งเดียวเท่านั้นเองค่ะ”
“อย่างนั้นก็ได้ครับ ผู้กำกับถัง ยังไงคุณเองก็ค่อนข้างเป็นที่พูดถึงในหมู่ผู้กำกับในอเมริกาอยู่แล้วนี่ครับ…”
“คุณกำลังแซวฉันเหรอคะ” ถังหนิงถามพลางโน้มตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเขา
“ผมกำลังชมคุณอยู่ต่างหาก! ” โม่ถิงหัวเราะ “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวเหยียนเอ๋อร์ก็น่าจะตื่นแล้วล่ะ…”
“โอ๊ะ จริงสิคะ ลูกชายเราเป็นยังไงบ้าง”
“คุณคิดว่ายังไงล่ะครับ จื่อซีก็สบายดี แต่ว่าจื่อเฉิน…”
ถังหนิงเข้าใจโดยที่โม่ถิงไม่ต้องอธิบาย
“คุณไม่ได้บอกว่าจะพาจื่อเฉินไปทดสอบเหรอคะ” เธอถาม “ถ้าเด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะขึ้นมา อย่างนั้นเราก็จะได้ประโยชน์มหาศาลเลยสิคะ! ”