เขาครุ่นคิดอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน แทบจะไม่ปล่อยให้มีจุดบกพร่อง คาดการณ์ภายใต้ความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้วทั้งยังจัดการอย่างสมเหตุสมผล
แม้แต่เรื่องที่นางนำกำลังคนบุกค่ายหนานฮวาอย่างกะทันหันทั้งคืนนั้น เขาก็คงจะคาดการณ์ถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน
เวลานั้น ฉู่ฉีเฟิงแฝงตัวไปในกองทัพหนานฮวา มีอันตรายอยู่ตลอดเวลา เขาคาดคะเนเวลาอย่างพอดี จงใจให้เจี๋ยหงมาช้าไปครึ่งเค่อ เป็นเช่นนั้นแล้ว เพื่อจะรวมกับฉู่ฉีเฟิงทำแผนให้สำเร็จร่วมกัน แม้ว่านางจะคาดเดาถึงแผนการเดินทางกลับเมืองหลวงของเขา…
เพื่อฉู่ฉีเฟิงแล้วก็มิอาจปลีกตัวไปทำเรื่องอื่นได้
และรอจนเรื่องของที่นี่เข้าที่เข้าทางแล้ว ก็มีเวลาเพียงพอให้นางได้สงบจิตสงบใจลง ไม่อาจหุนหันพลันแล่นตามไปขัดขวางได้
สำหรับชายผู้นี้แล้ว หากอยากจะรู้ว่าแผนนั้นลึกล้ำมากเพียงใด ก็ต้องเข้าใจเขาให้มากเพียงนั้น จึงจะสามารถคาดการณ์อย่างแม่นยำได้จนมาถึงจุดนี้?
พุ่มต้นอ้อที่สูงเรียงรายปิดกั้นไม่ให้เสียงลมพัดผ่าน บนเส้นทางนั้นจึงดูเงียบสงบ เสียงเกือกม้าที่ย่ำลงไป ราวกับเหยียบลงบนหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งชัดเจนและเจ็บปวด
“เอ๊ะ…” ในขณะที่วิ่ง จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็ดึงบังเหียนหยุดม้า
เพราะว่าหยุดอย่างกะทันหันเกินไป ม้าศึกที่อยู่ใต้ร่างจึงม้วนขาหน้าขึ้นสูง ส่งเสียงร้องออกมาโดยพลัน เสียแรงไปไม่น้อยจึงค่อยควบคุมไว้ได้
ฉู่สวินหยางพลิกกายลงจากหลังม้า
หมุนกายถอยหลังเดินไปทีละก้าว
บนเส้นทางนั้นมีห้วยน้ำที่ดูไม่สะดุดตาสายหนึ่ง ทว่านางกลับจำได้อย่างขึ้นใจ ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว เป็นครั้งแรกที่นางพบเขาที่นี่
เขาบอกว่าในตอนนั้นนางได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ให้ชีวิตใหม่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง
ยามนี้เมื่อหวนคิดดู เหตุการณ์ที่พานให้พบเจอในวันนั้นเกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก…
ก็ไม่รู่ว่าเวลานั้นเป็นใครที่สะดุดตาใครก่อน ทั้งยังเป็นใครที่จุดประกายแสงใต้เมฆครึ้มในชีวิตอีกฝ่ายให้โชติช่วงขึ้น
ทั้งสองชาตินั้น นอกจากพ่อและพี่ชายแล้ว นับเป็นครั้งแรกที่มีคนเป็นห่วงเป็นใยนางอย่างใจจริง เป็นครั้งแรกที่มีคนอดทนต่อนิสัยดื้อรั้นและเย่อหยิ่งของนางโดยไม่มีข้อแม้ใดใดสักนิด เป็นครั้งแรกที่มีคนหนึ่ง ไม่แม้แต่จะไถ่ถาม ไม่แม้แต่จะเกรงกลัวก็คอยอยู่เคียงข้างกายนาง ช่วยนางทำเรื่องต่างๆ ทั้งเป็นครั้งแรกที่มีใครสักคน คิดวางแผนแทนนางอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่กลัวว่าสองมือจะแปดเปื้อนเลือด โดยไม่นึกเสียดายชีวิตของตน ดึงดันจะช่วยเหลือนางให้ได้ แม้ว่าแค่เรื่องไม่เป็นธรรมเล็กๆที่นางได้รับก็ตาม
เพียงแค่นางต้องการ แม้ว่านางจะไม่ได้ร้องขอ แต่เขาก็ล้วนทำให้ได้!
หากจะพูดว่าเพียงเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณที่นางช่วยชีวิตเขาในวันนั้น ดังนั้นเขาจึงช่วยนางเช่นนี้ บุญคุณนี้ก็คงทดแทนไปอย่างมาจบไม่สิ้นตั้งนานแล้ว
เรื่องราวที่ยากจะจินตนาการมากมาย หลังจากพบเจอเขาแล้วก็ล้วนเปลี่ยนเป็นเรื่องง่ายดาย
ครั้งหนึ่งนางคิดว่าการกลับมาเปลี่ยนแปลงโชคชะตาใหม่ครั้งนี้ของนาง เป็นเพราะสวรรค์เมตตา จึงให้โอกาสได้กลับมาปกป้อง อยู่ข้างกายของพ่อและพี่ชายอีกครั้ง
แต่ว่าตอนนี้…
นางกลับยิ่งเชื่อมั่นว่า การกลับมาใหม่ในชาตินี้…
ก็เพื่อให้นางได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง!
นิ้วมือของฉู่สวินหยางค่อยๆ เคลื่อนออกไป กดลงบนพื้นดินที่ขรุขระนั้น
ครั้งหนึ่ง ที่นี่เคยถูกเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดที่ไหลรินมาจากร่างของเขา แม้ว่ายามนี้จะไม่เหลือร่องรอยไว้แม้แต่น้อยกระนั้นฉู่สวินหยางก็ยังคงใช้แรงกดฝ่ามือไว้บนพื้นดินนั้น คล้ายกับว่าหากเพิ่มแรงกดลงไป ก็จะรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิภายในกายของคนผู้นั้น
ในอดีต ยามที่เขากอดนางอย่างอ่อนโยน มีหลายครั้งที่นางทำไปลวกๆ เล่นกับเขาไปอย่างนั้น เวลานี้ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทั้งสองไม่อาจพานพบหน้า จึงเพิ่งรู้สึกคะนึงหาความลึกซึ้งเช่นนั้น
น้ำตาของฉู่สวินหยางไหลลงอย่างเงียบเชียบ
ตั้งแต่ครั้งที่ฉู่ฉีเฟิงนำนางขึ้นมาจากหน้าผา นางก็ไม่เคยเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่ว่าในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเพราะผูกพันลึกซึ้งหรือเพราะคิดถึงใครคนหนึ่งเข้ามากๆ นางจึงไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว ร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
ฉู่ฉีเฟิงผละกายลงจากม้า เดินเข้ามาอย่างช้าๆ จากด้านหลัง ค่อยๆ ค้อมกายลงไปคุกเข่าเล็กน้อยอยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกัน
มองเห็นไหล่นางกระตุกสั่นไหว ทั้งมือที่กดไว้กับพื้นนั้นถูกทรายหยาบบาดลงบนฝ่ามือ ใจของเขาก็พลันเจ็บปวดตามไปด้วย
ชั่วขณะนั้น เขาจึงไม่กล้าเดินไปเผชิญกับใบหน้าของนางด้านหน้าแม้แต่น้อย เพียงแต่ยื่นมือออกไปโอบไหล่นางแผ่วเบาจากด้านหลัง
“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่ระมัดระวังเช่นนั้น ถึงขนาดทำให้รู้สึกว่า น้ำเสียงตัวเองที่เปล่งออกมานี้ดูอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด
ร่างของฉู่สวินหยางสั่นสะท้าน เวลานี้จึงหันกลับไปอย่างไม่สนใจอะไร ถลาเข้าไปในอ้อมกอดเขา พลางเปล่งเสียงร้องไห้ออกมา “ท่านพี่!”
ในใจของฉู่ฉีเฟิงรู้สึกเจ็บปวดคณานับ ยกมือขึ้นประคองไหล่นางไว้เบาๆ ปล่อยให้น้ำตานางเอ่อล้นจนเสื้อเขาเปียกชุ่ม ในช่วงเวลานั้น ความรู้สึกทั้งหมดก็คล้ายกับท่วมท้นไหลตามน้ำตาของนางออกมา กลายเป็นชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปเต็มพื้นที่ไม่อาจเก็บคืนมาได้
เรื่องที่เขากลัวที่สุด เรื่องที่ไม่อยากพบเจอมากที่สุด ในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้
หากถามใจตัวเองจริงๆ แล้ว เหยียนหลิงจวินก็ดีกับฉู่สวินหยางมากเพียงแค่…
“อย่าร้องอีกเลย บอกพี่มาว่าเกิดเรื่องอันใดกันแน่?” มือของเขาลูบปลอบแผ่นหลังของนาง “สถานการณ์ของเขาย่ำแย่หรือ? ทางด้านเจิงจี พี่ให้เขาเตรียมจัดเก็บสัมภาระกลับเมืองหลวงแล้ว หากไม่ไหวจริงๆ ก็พาตัวเขากลับเมืองหลวงไปด้วยกันดีหรือไม่”
“ข้าไม่รู้!” ฉู่สวินหยางซุกอยู่ที่หัวไหล่เขา เอาแต่ร้องไห้ “เขาไม่ยอมพบข้า ข้าคิดว่าเขาต้องเจ็บหนัก อาการสาหัสแน่ๆ มิเช่นนั้น…มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่กล้าที่จะไม่มาพบหน้าข้าหรอก! แม้แต่เหยียนหลิงโซ่วก็ไม่ได้รับปากว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ท่านพี่…ท่านบอกสิว่าตอนนี้เขาเป็นเช่นไรกันแน่?”
ฝีมือการแพทย์ของเจ้าหุบเขาปีศาจเหยียนหลิงโซ่วนั้นถูกยอมรับว่าเป็นมือหนึ่งในใต้หล้า ทั้งตัวเฉินเกิงเหนียนและตัวเหยียนหลิงจวินต่างเป็นศิษย์ที่เขาสอนมากับมือ ฝีมือจึงล้วนไม่ธรรมดา ความสามารถของเขาเป็นอย่างไรก็แทบที่จะไม่ต้องคิด
หากแม้แต่เขายังไม่มีความมั่นใจ…
ฉู่ฉีเฟิงได้ยินอย่างนั้น ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจ พยุงไหล่ของฉู่สวินหยางพลางกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ธารน้ำด้านล่างนั้นเป็นแม่น้ำผานหลง แม่น้ำก็ไม่นับว่าตื้น ตามหลักแล้ว แม้ว่าจะตกลงไปในน้ำก็ไม่อาจทำให้บาดเจ็บภายในมากหรือเจ็บภายนอกอันใดได้หรอก ขณะนี้ก็เป็นเดือนเจ็ด แม้ว่าอากาศหนาวจะปกคลุมแม่น้ำอย่างหนาแน่น แต่ว่าพื้นฐานร่างกายของเขาก็ไม่ใช่คนอ่อนแอแต่อย่างใด ไม่อาจเป็นอะไรไปได้แน่”
ขณะที่ฉู่ฉีเฟิงพูด ก็ยกมือเช็ดคราบน้ำตาจากหางตานางออก
เขาและเหยียนหลิงจวิน แม้ว่าต่างจะไม่ชอบใจกัน แต่การที่อีกฝ่ายทำเรื่องพวกนี้เพื่อฉู่สวินหยาง ความเป็นความตายของเหยียนหลิงจวิน เขาก็ไม่อาจไม่สนใจไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น…
ฉู่สวินหยางยังเจ็บปวดเพราะคนผู้นี้
“เอาเถิด เจ้าหยุดร้องได้แล้ว หากเจ้ายังไม่สบายใจ รอข้ากลับไปจัดการเรื่องในค่ายเสียก่อน แล้วข้าจะไปตามหาเขาเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่?” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ดึงตัวนางขึ้นมา ทั้งค้อมกายปัดเศษดินที่เปื้อนกระโปรงออกให้นาง
“ไม่!” ไม่คิดว่าฉู่สวินหยางจะกล่าวปฎิเสธกลับในทันที
ฉู่ฉีเฟิงจึงตกตะลึงไป เงยหน้ามองนาง
“ข้าไม่ไปหาเขา เพื่อข้าแล้ว เขายอมเสียสละสิ่งต่างๆ ทั้งยังยอมถอยไป ข้าจะไม่ให้เขาผิดหวังในตัวข้า!” ฉู่สวินหยางกล่าว เงยหน้าเผชิญกับสายตาของฉู่ฉีเฟิง
ในดวงตาของนางเคลือบไปด้วยชั้นน้ำพร่างพราว แววตากลับยังคงสว่างไสวและแน่วแน่ “พวกเรากลับเมืองหลวงกัน!”
อย่างไรคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นางก็ไม่อาจยอมให้พวกมันได้เสวยสุขอยู่ภายนอกได้แม้แต่คนเดียวหรอก
—————————-