ตอนที่ 1658 การมาถึงของอวิ๋นลั่วเฟิง (4) / ตอนที่ 1659 การมาถึงของอวิ๋นลั่วเฟิง (5)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 1658 การมาถึงของอวิ๋นลั่วเฟิง (4)

อวิ๋นลั่วเฟิงก้มหน้ามองเด็กหญิงผู้ไร้เดียงสาหัวใจของนางก็เหมือนโดนลูกศรปัก ทันใดนั้นหัวใจก็พลันอ่อนยวบ

“เจ้าชื่ออวิ๋นรั่วสุ่ยสินะ

“ท่านเรียกข้าว่าสุ่ยเอ๋อร์ก็ได้เจ้าค่ะ!” อวิ๋นรั่วสุ่ยพูดอย่างมีความสุข

อวิ๋นลั่วเฟิงส่งยิ้มให้อวิ๋นรั่วสุ่ยแล้วใช้นิ้วแตะที่ระหว่างคิ้วของนางเบาๆ

ทันใดนั้น อวิ๋นรั่วสุ่ยก็รู้สึกว่านิ้วมือของอีกฝ่ายคล้ายกำลังเจาะเข้ามายังบริเวณระหว่างคิ้วของนาง แล้วไม่นานพลังฌานอบอุ่นสายหนึ่งก็ไหลผ่านเข้ามาแล้วแผ่ขยายไปทั่วร่างจนทำให้นางรู้สึกผ่อนคลาย

“ท่านอารอง” อวิ๋นลั่วเฟิงหันไปหาหนิงซิน “ร่างกายของนางมีบางอย่างพิเศษและข้าก็ทำได้แค่ใช้วิธีนี้ในการกดพลังฌานภายในนางร่างไว้ชั่วคราว หลังจากที่ข้าหาวิธีอื่นได้แล้ว ข้าจะกลับมาช่วยนาง”

วินาทีแรกที่นางเห็นอวิ๋นรั่วสุ่ย อวิ๋นลั่วเฟิงก็รู้ว่าในร่างกายนางมีบางอย่างแปลกๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่กี่ปี อวิ๋นรั่วสุ่ยก็จะถูกพลังฌานสีดำนี้กลืนกิน

เมื่อหนิงซินได้ยินคำพูดของอวิ๋นลั่วเฟิง หัวใจของหนิงซินก็เต็มไปด้วยความกังวล “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าไม่มีหนทางช่วยสุ่ยเอ๋อร์งั้นหรือ”

“อันที่จริง…” อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ “การช่วยนางไม่ใช่ปัญหา ข้ามีความสามารถพอจะทำให้พลังฌานสีดำหายไป แต่ว่ามันจะทำให้นางไม่สามารถฝึกพลังฌานได้อีกและจะกลายเป็นขยะอย่างแท้จริง”

สีหน้าของหนิงซินตื่นเต้น นางไม่ได้สนใจว่าบุตรสาวของนางจะมีพรสวรรค์หรือไม่ แค่บุตรสาวของนางปลอดภัยก็พอ แต่ว่าก่อนที่นางจะได้พูด อวิ๋นรั่วสุ่ยก็รีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ไม่นะเจ้าคะ สุ่ยเอ๋อร์ไม่อยากเป็นขยะ ถ้าสุ่ยเอ๋อร์ต้องกลายเป็นแบบนั้น ข้าก็คงไล่ตามพี่เฟิงไม่ได้ ข้าไม่ต้องการเป็นแบบนั้น!”

หัวใจของหนิงซินหยุดเต้น นางต้องการให้บุตรสาวมีชีวิตต่อไปแต่ก็ไม่อยากขัดใจของนาง

“เฟิงเอ๋อร์มีวิธีอื่นหรือไม่”

อวิ๋นลั่วเฟิงส่ายหน้า “ความตั้งใจของข้าก็เหมือนสุ่ยเอ๋อร์ แทนที่จะทำลายรากฐานพลังฌานภายในร่างของนางทั้งหมด ข้าแนะนำว่าพวกเราควรปล่อยพลังนี้กลายเป็นพลังของนาง ไม่ใช่แค่พลังนี้จะไม่ทำร้ายนางแต่ยังกลายเป็นความแข็งแกร่งของนางเองด้วย แต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่มีความสามารถพอจะทำแบบนั้นได้…”

หนิงซินถอนหายใจ “เฟิงเอ๋อร์ กว่าเจ้าจะสามารถช่วยสุ่ยเอ๋อร์ได้ นางจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

ถ้าบุตรสาวของนางไม่รอด นางยอมให้อวิ๋นรั่วสุ่ยเป็นขยะแล้วนางจะคอยดูแลบุตรสาวไปชั่วชีวิตเอง

“ข้าผนึกพลังฌานเอาไว้แล้วเพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลต่อร่างกาย แต่ข้าทำได้แค่ผนึกไว้อย่างมากที่สุดก็ห้าปี ภายในห้าปีนี้ข้าจะหาทางช่วยสุ่ยเอ๋อร์ให้ได้ อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปชั่วครู่ก่อนพูดต่อ “ถ้าข้าหาวิธีไม่ได้ภายในห้าปี ข้าจะกำจัดพลังฌานในร่างนางเอง”

หนิงซินตัวแข็งทื่อ นางก้มมองใบหน้าเยาว์วัยของอวิ๋นรั่วสุ่ย นางก็แอบตัดสินใจอยู่เงียบๆ “ก็ได้ พวกเราจะทำตามแผนของเจ้า”

ในทางกลับกันอวิ๋นรั่วสุ่ยไม่ได้กังวลมากนักแล้วยิ้มอย่างไร้เดียงสา “พี่เฟิง ท่านแข็งแกร่งมากและท่านต้องช่วยสุ่ยเอ๋อร์ได้แน่ สุ่ยเอ๋อร์เชื่อในตัวท่านเจ้าค่ะ”

สุ่ยเอ๋อร์เชื่อในตัวท่าน…

เสียงอ่อนเยาว์ของเด็กทำให้อวิ๋นลั่วเฟิงค่อยๆ มั่นใจ ประโยคนี้ของนางต้องทำให้นางหาทางช่วยได้แน่

“ข้าขอเวลาห้าปี หลังจากห้าปี ข้าจะทำให้สุ่ยเอ๋อร์เป็นอัจฉริยะที่ไร้คู่แข่ง!”

หนิงซินมองอวิ๋นรั่วสุ่ยและอวิ๋นลั่วเฟิง ดวงตาใสกระจ่างของนางปรากฏความมุ่งมั่น

“สุ่ยเอ๋อร์ ในอนาคต เฟิงเอ๋อร์จะไม่ได้เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องเจ้าแต่จะเป็นอาจารย์ของเจ้าด้วย เจ้าเข้าใจหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน เจ้าต้องจำไว้ว่าเฟิงเอ๋อร์เป็นคนมอบให้เจ้า แม้แต่ชีวิตเจ้า นางก็เป็นคนช่วยไว้”

อวิ๋นรั่วสุ่ยพยักหน้าอย่างสับสน “ท่านแม่ สุ่ยเอ๋อร์เข้าใจเจ้าค่ะ”

…………………………………..

ตอนที่ 1659 การมาถึงของอวิ๋นลั่วเฟิง (5)

ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดว่าจะพวกเขาสามารถช่วยบุตรสาวนางได้ หนิงซินไม่มีทางเชื่อ แต่เพราะเป็นอวิ๋นลั่วเฟิง หนิงซินถึงเชื่อว่านางทำได้!

สมาชิกสองคนของกลุ่มโจรพยัคฆ์ร้ายหวาดกลัวอวิ๋นลั่วเฟิงจนไม่กล้าพูดออกมาสักคำเดียว พวกเขายังคงลังเลว่าทำไมแม่นางหรูอี้ถึงยังไม่มา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเห็นเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจและไม่รู้ว่าสัตว์วิญญาณอสูรพวกนั้นมาที่นี่เพราะกลุ่มโจรพยัคฆ์ร้าย…

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด…” อู๋เหยียนเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้ามองหนิงซิน “ท่านมาจากตระกูลเยี่ยสินะขอรับ”

“เขาว่ากันว่าลูกสะใภ้ตระกูลเยี่ยมีแซ่อวิ๋น ส่วนภรรยาของคุณชายรองตระกูลอวิ๋นมีชื่อว่าหนิงซิน ข้าสงสัยว่าท่านใช่คนคนนั้นหรือไม่ขอรับ”

หนิงซินหรี่ตาแล้วยิัม “เจ้ารู้เยอะดีนะ”

เด็กหนุ่มยิ้ม “ในดินแดนนี้ไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้ขอรับ”

“อ้อ” หนิงซินเลิกคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงมาตกอยู่ในกำมือของกลุ่มโจรพยัคฆ์ร้ายได้ล่ะ”

เด็กหนุ่มดวงตาเป็นประกาย “ก็เหมือนม้าที่สะดุดล้มได้ มนุษย์ก็ทำผลาดได้เหมือนกันแล้วข้าก็แค่ไม่ระวัง” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมพูดอะไรไปมากกว่านี้

“ในเมื่อท่านเป็นภรรยาของคุณชายรองตระกูลอวิ๋น” เด็กหนุ่มหันไปมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างช้าๆ “ท่านก็ต้องเป็นหายนะของแดนลับแล นายหญิงของหอแพทย์ อวิ๋นลั่วเฟิงสินะ!”

ฮือฮา! กลุ่มคนแตกตื่น

พวกเขาอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของหนิงซินในแดนลับแลหรือ อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยแต่ไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อของอวิ๋นลั่วเฟิง

ตั้งแต่คนชราอายุร้อยปีไปจนถึงเด็กน้อยอายุสามปี พวกเขารู้เรื่องที่อวิ๋นลั่วเฟิงทำในอดีตดี ถึงแม้ว่านางจะถูกทุกคนเรียกว่าเทพแห่งหายนะแต่นางก็เป็นต้นแบบที่สูงส่งของทั้งดินแดน โดยเฉพาะเรื่องที่อวิ๋นลั่วเฟิงทำลายล้างพรรคใหญ่ทั้งสามในนครอนันต์เพื่อระบายความโกรธ การกระทำของนางยังถูกพูดถึงอยู่จนถึงทุกวันนี้

สมาชิกสองคนของกลุ่มโจรพยัคฆ์ร้ายตะลึงจนปัสสาวะรดกางเกง พวกเขาหวาดกลัวจนหน้าซีด

ตระกูลเยี่ย? อวิ๋นลั่วเฟิง? สวรรค์ ยอดฝีมือแบบไหนที่ครั้งนี้พวกเขาไปยั่วยุมา

เทียบกับคนที่กำลังตะลึงแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นรั่วสุ่ยยิ่งดูสดใส คล้ายกับพระอาทิตย์ที่ทำให้หัวใจอบอุ่น

“ข้าก็บอกแล้วว่าสำหรับครอบครัวของข้าแล้ว กลุ่มโจรพยัคฆ์ร้ายไม่นับว่าเป็นอะไร ตอนนี้พวกเจ้าเชื่อข้าหรือยัง”

ฝูงชนยังคงเงียบกริบ แล้ววินาทีต่อมาเด็กสาวที่ไม่เชื่ออวิ๋นรั่วสุ่ยก็ยืนขึ้นแล้วเดินมาก้มลงสุดตัวตรงหน้านาง “ข้าขอโทษที่ไม่รู้ถึงอำนาจของตระกูลเจ้า ข้าขอร้อง ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย ข้าอยากกลับบ้าน”

อวิ๋นรั่วสุ่ยไม่ใช่คนที่เก็บความขุ่นเคืองใจเอาไว้แต่ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่ได้ทำเกินขอบเขต ดังนั้นเมื่อได้รับคำขอโทษจากเด็กหญิง นางก็ยิ้มอย่างเขินอาย

“ตั้งแต่ข้าพูดว่าข้าจะช่วยพวกเจ้า ข้าก็ต้องพาพวกเจ้าออกไปอยู่แล้ว” พูดจบอวิ๋นรั่วสุ่ยก็หันไปหาอู๋เหยียน “พี่อู๋เหยียน บ้านท่านอยู่ที่ไหน ข้าจะให้ท่านมามอบหมายให้คนพาท่านกลับบ้าน”

หนิงซินขมวดคิ้ว แล้วเผลอมองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม นางสัมผัสได้ว่าบุตรสาวของนางปฏิบัติกับเด็กหนุ่มคนนีัดีเป็นพิเศษแต่เขาทำตัวลึกลับเกินไป นางจึงไม่อยากให้บุตรสาวของนางเกี่ยวข้องกับเขา

อู๋เหยียนเงียบไปนานกว่าจะพูดขึ้น “ท่านพ่อท่านแม่ข้าเสียหมดแล้ว ข้าอยู่ด้วยตัวเองคนเดียว”

หนิงซินเอ่ยปากถาม “เจ้ารู้เรื่องราวในแผ่นดินนี้ขนาดนี้โดยไร้ซึ่งบิดามารดาได้อย่างไร ถึงกลับกล้าบอกว่าไม่มีอะไรในแผ่นดินนี้ที่เจ้าไม่รู้”