ตอนที่ 739

Elixir Supplier

739 สอนมวย

 

“ตอนนี้เขายังเด็กอยู่ พยายามอย่าให้เขาดื่มเครื่องดื่มเย็นๆเยอะเกินไป” หวังเย้าพูด “ให้เขากินสลัดน้อยลงด้วย โดยเฉพาะของที่ซื้อมาจากข้างนอก มันไม่ค่อยจะสะอาดเท่าไหร่”

 

เขาเจอเคสแบบนี่มามากกว่าหนึ่งครั้ง  คนส่วนใหญ่มักจะซื้ออาหารจากด้านนอกกลับมากินที่บ้านเพื่อความสะดวก รวมไปถึงเนื้อสัตว์กับสลัด ถึงมันจะสะดวกสบาย แต่ในช่วงหน้าร้อน อาหารมักจะเสียง่าย หลังจากที่กินอาหารเหล่านั้นเข้าไป คนก็มักจะมีอาการท้องเสียตามมา

 

“โอ้ ฉันเข้าใจแล้ว” ชายชรามองดูหลานของเขาด้วยรอยยิ้ม “ค่ารักษาเท่าไหร่เหรอ?”

 

“ไม่คิดเงินครับ” หวังเย้าพูด เพราะคิดดูแล้ว สมุนไพรแค่นี้ไม่ถือว่ามากมายอะไรเลย

 

“ขอบคุณ ขอบคุณนะ” ชายชราพูด

 

“ลาก่อนครับ” หวังเย้าพูดในตอนที่ชายชรากำลังพาหลานของเขาเดินออกไปจากคลินิก

 

เขารออยู่ครู่หนึ่งและมองดูเวลา เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีคนมาแล้ว เขาก็จัดการล็อกประตูคลินิกและเดินไปที่บ้านของจงหลิวชวน

 

“หมอ วันนี้ไม่ทำงานเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม

 

“ช่วงบ่ายนี้ไม่มีคนไข้น่ะ ผมก็เลยปิดคลินิก แล้วมาหาคุณ” หวังเย้าตอบ

 

“หมอรอเดี๋ยวนะครับ” จงหลิวชวนพูด “ผมจะไปชงชามาให้”

 

ครู่ต่อมา ก็มีกาน้ำชาที่กำลังปล่อยกลิ่นหอมของชาวางอยู่ตรงหน้าหวังเย้า จงหลิวชวนกลับมาพร้อมกับชาและถามว่า “หมอมีเรื่องอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ?”

 

“อืม คุณเคยพูดกับผมก่อนหน้านี้ว่า คุณอยากจะเรียนกังฟูกับผม ผมก็เลยมาที่นี่ยังไงล่ะ” หวังเย้าพูด

 

“ครับ ผมกำลังฟังอยู่” จงหลิวชวนจัดเสื้อผ้าและนั่งตัวตรง

 

เขาได้เห็นความสามารถของหวังเย้าด้วยตาตัวเอง หวังเย้าคือเทพที่อยู่บนดิน จงหลิวชวนไม่คิดว่าเขาเรียนรู้ทั้งหมดจากหวังเย้า แค่เขาเรียนได้สักหนึ่งในสิบ มันก็มากพอสำหรับเขาในชีวิตนี้แล้ว

 

“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “ผมแค่อยากจะคุยก่อนเท่านั้น ผมอยากรู้เรื่องของคุณให้มากกว่านี้”

 

จงหลิวชวนบอกถึงตอนที่เขาเริ่มเรียนกังฟู รวมไปถึงตอนที่เขาทำอาชีพ “พิเศษ” เขาอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงความลับที่เขาซ่อนเอาไว้และประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดของเขา

 

สิ่งที่เขาเรียนรู้มานั้นมีหลายอย่างด้วยกัน เขาได้เรียนมวย, การตอสู้มือเปล่า, และยิวยิตสู เขาไม่ได้เชี่ยวชาญการต่อสู้ทั้งสามอย่างนั้นและไม่ได้เข้าใจแก่นแท้ของแต่ละวิชา แต่การต่อสู้เหล่านั้นสามารถนำไปใช้ได้จริงและมีประโยชน์มาก เขายังชื่นชอบในการใช้กริชและมีประสบการณ์ต่อสู้ด้วยกริชมาอย่างโชกโชน

 

“เอาล่ะ เราไปที่ลานบ้านกันเถอะ” หวังเย้าลุกขึ้นยืน เมื่อออกไปถึงที่ด้านนอกแล้ว เขาก็พูดว่า “มา ใช้ทักษะของคุณโจมตีใส่ผมดู”

 

จงหลิวชวนพุ่งเข้าโจมตีในทันที ความว่องไว้ของเขานั้นสูงมาก

 

หวังเย้าเพียงแค่มองดูการกระทำของเขา “ฝีเท้าของคุณดูสับสนมาก มันมีประโยชน์ก็จริง แต่กลับขาดหลักการ

 

ในมุมมองของหวังเย้า การโจมตีของจงหลิวชวนนั้นเชื่องช้ามาก ในตอนที่เขาเริ่มลงมือ หวังเย้าก็สามารถจับการเคลื่อนไหวของเขาได้ทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา เขาสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของอากาศที่อยู่รอบตัวของเขาได้

 

ในตอนแรก จงหลิวชวนยังคงเก็บแรงเอาไว้บ้าง เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นทั้งผู้มีพระคุณและอาจารย์ เขาไม่ต้องการโจมตีเขาด้วยความมุ่งร้าย

 

“คุณไม่ต้องออมแรงหรอก” หวังเย้าพูด เขารับรู้ได้ว่าจงหลิวชวนกำลังออมแรงอยู่ “แสดงทั้งหมดที่คุณมีออกมา ให้ผมได้เห็นความสามารถที่แม้จริงของคุณ”

 

แม้ระยะทางระหว่างพวกของคนจะใกล้กันมาก และถึงจงหลิวชวนจะใช้ปืนพก เขาก็รู้ว่า หวังเย้าจะสามารถหลบการโจมตีได้ หรือทำให้เขาหมดความสามารถในการโจมตีได้ในทันที

 

“ได้ หมอหวัง ระวังตัว!” จงหลิวชวนตะโกน

 

ครั้งนี้ เขารวดเร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ และมุมที่เข้าโจมตีก็ดูซับซ้อนมากขึ้น เขาพยายามที่จะโจมตีเข้าที่จุดสำคัญของหวังเย้า มันเป็นเทคนิคการต่อสู้ที่รวบรวมเอาทุกอย่างที่เขาร่ำเรียนมาทั้งหมดไว้ในเทคนิคนี้ อาชีพของเขาทำให้เขาต้องเป็นนักฆ่าที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้และให้ความสำคัญกับการจัดการฝ่ายตรงข้ามเป็นหลัก สถานภาพและศีลธรรมไม่สามารถเอามาใช้กับเรื่องนี้ได้ ถ้าเขาคิดถึงเรื่องพวกนั้น เขาก็อาจจะพลาดท่าเสียชีวิตได้เลย

 

“คุณมีมีดด้วยเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ใช่” จงหลิวชวนพูด

 

เขาพกมีดเล่มหนึ่งเอาไว้กับตัวมาตลอดระยะเวลาหลายปี และยังทำแบบนี้อยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะอยู่ในหมู่บ้านที่แสนสงบแบบนี้ก็ตาม อาชีพที่เขาเคยทำบังคับให้เขาทำจนกลายเป็นนิสัยติดตัว เพราะวิกฤตสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

 

“ใช้มัน” หวังเย้าพูด

 

อยู่ๆมีดเล่มหนึ่งก็สะท้อนแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมา เมื่อมีมีดอยู่ในมือ ความเร็วในการโจมตีของจงหลิวชวนก็เพิ่มขึ้นอีก และมุมที่เขาโจมตีก็ยิ่งยากต่อการป้องกันมากขึ้นด้วย มันทั้งรวดเร็วและหนักแน่น ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะในการต่อสู้ของเขา มันเน้นไปที่การโจมตีไม่ใช่การป้องกัน

 

“พอ” หวังเย้าพูด

 

จงหลิวชวนหยุดมือและเก็บมีดในทันที พร้อมกับปรับการหายใจของเขาให้กลับมาเป็นปกติ เขาได้เข้าใจระดับฝีมือของหวังเย้าขึ้นมาอีกขั้น เขาสู้สุดความสามารถและไม่ได้ยั้งมือเลย แต่เขากลับทำได้แค่เกือบแตะโดนชายเสื้อของหวังเย้าเท่านั้น เขารู้สึกได้ว่า การเคลื่อนไหวของหวังเย้าเป็นเหมือนกับการเดินอยู่บนอากาศ ช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นกว้างมาก คนหนึ่งอยู่บนฟ้า ส่วนอีกคนอยู่บนพื้นดิน

 

“มันเป็นการผสมผสาน ไร้แบบแผน และการโจมตีกับการป้องกันขาดความสมดุล” หวังเย้าพูด

 

ในตอนที่เขาเริ่มเรียนการต่อสู้กับโจวฉงนั้น เขาก็เริ่มชื่นชอบมัน เมื่อเขาศึกษาด้วยตนเอง เขาก็บังเอิญได้อ่านตำราการต่อสู้โบราณรวมกับความช่วยเหลือจากคัมภีร์จื้อหรานจิง ทำให้เขาเริ่มพัฒนาความสามารถได้อย่างก้าวกระโดด ในเวลานี้ เขาประสบความสำเร็จไปถึงจุดที่หลายคนต่างวาดฝันแต่ก็ทำไม่ได้ตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา ทั้งที่อายุยังน้อยแบบนี้ได้

 

“ครับ หมอพูดถูก” จงหลิวชวนพูด

 

เขารู้ถึงข้อจำกัดของตัวเองดี เมื่อเขาต้องต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่เก่งกว่าเล็กน้อย เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญ มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงความยากลำบากและกลายเป็นบ้าคลั่งไปในที่สุด เขาไม่เพียงรู้วิธีการใช้พิษเท่านั้น แต่เขายังรู้จักการต่อสู้อีกด้วย

 

“ผมเรียนรู้การต่อสู้มาจากโจวฉง และคุยก็เคยเห็นมาแล้ว” หวังเย้าพูด

 

“ครับ ผมเคยเห็นมาก่อนแล้ว” จงหลิวชวนพูด

 

“มันคือมวยแบบฉางโจว” หวังเย้าพูด “ผมจะสอนวิธีการหายใจให้กับคุณก่อน และเป็นสิ่งที่คุณต้องฝึกให้ได้ในเวลานี้”

 

เขาสอนวิธีการหายใจให้กับจงหลิวชวน ซึ่งมีพื้นฐานมาจากแนวทางของคัมภีร์จื้อหรานจิงกับการต่อสู้ที่เขาเรียนมาจากเฉินหยิง ถึงมันจะไม่ได้อยู่ในระดับสูง แต่มันก็เข้าใจง่ายและใช้ได้จริง

 

ในความคิดของหวังเย้า มันไม่ได้เป็นเรื่องที่สำคัญอะไร แต่กับคนอื่นนั้นต่างออกไป ถ้าหากเขาบอกวิธีการนี้กับนักสู้คนอื่นๆ พวกเขาจะยกให้มันเป็นดั่งอัญมณีล้ำค่า เพราะวิธีการหายใจเพื่อฝึกฝนกำลังภายในนั้นถือว่าหาได้ยากมาก

 

เมื่อเริ่มฝึกฝนกังฟู สิ่งแรกที่ต้องทำคือการฝึกหายใจ ถึงมันจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด แต่มันก็ช่วยให้คนสามารถมีชีวิตรอดได้โดยที่ไม่ดื่มกินเป็นเวลาถึงสามวัน คนไม่สามารถมีชีวิตได้โดยไม่มีการหายใจ การหายใจที่เหมาะสมจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนที่ถูกต้อง

 

หวังเย้าแสดงวิธีการฝึกและให้จงหลิวชวนลองฝึกให้เขาดูอีกสองครั้ง การฝึกนี้ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำได้ภายในเวลาเพียงสั้นๆ

 

“อย่ากังวล” หวังเย้าพูด “ค่อยๆฝึกไป”

 

“ครับ” จงหลิวชวนพูด

 

“แล้วตอนที่คุณเพิ่งจะโจมตีผมไปเมื่อกี้นั้น ผมพบว่า มีแผลเก่าในร่างกายของคุณที่ยังไม่หายดีอยู่ด้วย” หวังเย้าพูด

 

จงหลิวชวนพยักหน้ารับ ในร่างกายของเขามีบาดแผลซ่อนอยู่จริงๆ กระสุนปืนนัดหนึ่งได้สร้างบาดแผลเข้าที่ปอดของเขา ถึงแผลจะหายดีแล้ว แต่มันก็ได้ทิ้งความเสียหายเอาไว้ และเมื่อเขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง มันก็จะทำให้เขาหายใจได้ลำบากขึ้นด้วย

 

“ผมขอดูความเสียหายหน่อยสิ” หวังเย้าตรวจดูร่างกายของเขา “ง่ายมาก”

 

“หา?” จงหลิวชวนตกตะลึง

 

เขามีอาการบาดเจ็บที่ยากจะรักษาให้หายได้ เขายังเคยไปรักษากับหมอหลายคน แต่ก็ไม่มีทางที่จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ ในเมื่ออาการบาดเจ็บนี้ไม่ได้มีผลต่อชีวิตของเขามากนัก เขาจึงไม่ได้สนใจมันอีก

 

“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน” หวังเย้าพูด “อย่าเอาเรื่องที่ผมสอนไปบอกให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”

 

“โอ้ ได้ครับ” จงหลิวชวนพูด

 

ในตอนที่หวังเย้ากลับไป มันก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว

 

 

ที่ปักกิ่งไกลออกไปหลายพันไมล์ แม่ของโฮ่วชื่อต๋าได้เชิญหลี่เชิงหรงและหมออีกคนให้มาดูอาการลูกชายของเธอ การรักษาของทางโรงพยาบาลไม่ได้ผล ลูกชายของเธอมีอาการเจ็บปวดที่ศีรษะและท้อง ซึ่งรักษาได้ยากมาก

 

“หมอหลี่พอจะมีทางรักษาไหมคะ?” เธอกังวลเรื่องอาการลูกชายของเธอมาก

 

“ไม่มี” ชายชราพูด

 

“แล้วฉันจะทำยังไงดีคะ?” เธอเริ่มรู้สึกสิ้นหวังในการหาหนทางรักษาลูกชายของเธอ