ตอนที่ 274: ไม่ต่อยตีไม่รู้จักกัน

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 274: ไม่ต่อยตีไม่รู้จักกัน

นายน้อยจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างจริงจังและพูดอย่างโหดเหี้ยม กระบี่ของเจ้าค่อนข้างเร็วและการหลบการโจมตีของเจ้าก็เริ่มทำให้ข้าเหนื่อยเกินกว่าที่จะทำต่อไป เมื่อเจ้าสามารถบังคับให้ข้าใช้การป้องกันขั้นสุดท้ายของข้าได้ เจ้าก็เหมาะสมที่จะเป็นคู่แข่งของข้า จากนี้ไปข้าจะใช้กำลังทั้งหมด เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม !

เขาควงกระบี่วายุโปรยก่อนที่จะปล่อยปลายกระบี่ชี้ลงดิน จากนั้นจ้องมองกลับไปที่นายน้อยก่อนที่จะพูดว่า หากเจ้าพร้อมแล้วก็เข้ามา !

ตาของนายน้อยก็เบิกกว้างก่อนที่จะมองอย่างจริงจังพร้อมกับพูดว่า พายุปฐพี ! ทันใดนั้นพลังเซียนธาตุดินจำนวนมากก็ลอยออกจากร่างของเขาและฝุ่นดินรอบ ๆ ก็ม้วนเป็นพายุ โดยระหว่างเขากับเจี้ยนเฉินที่ซึ่งอยู่ในใจกลางของพายุที่มีศูนย์กลางกว่า 10 เมตร

การมองเห็นของเจี้ยนเฉินถูกจำกัด เขาเห็นได้แค่เพียงพลังเซียนธาตุดินเท่านั้นและไม่อาจมองเห็นนิ้วมือของเขาได้ ภาพเหล่านี้เตือนให้เจี้ยนเฉินนึกถึงวันที่เขาตกอยู่ในหล่ม มันมีความรู้สึกอึดอัด การเคลื่อนไหวของเขาก็ถูกจำกัดและทำให้เขาต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

นี่เป็นทักษะการต่อสู้ใช่หรือไม่ ? ช่างน่าแปลกเสียจริง เจี้ยนเฉินพึมพำกับตัวเองทันใดนั้นดวงตาของเขาส่องแสงขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนที่จะแทงกระบี่วายุโปรยของเขาออกไป

ติ้ง ! ตามมาด้วยเสียงกระทบกันของเหล็ก สิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ในพายุฝุ่นก่อนหน้านี้ก็ถูกเผยออกมาด้วยแรงปะทะกับกระบี่วายุโปรย พายุฝุ่นเริ่มไม่เป็นรูปร่างก่อนที่เจี้ยนเฉินจะแทงกระบี่ไปอีกครั้ง

ด้านนอกพายุฝุ่น ไม่มีใครเห็นว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น พวกเขาทำได้เพียงแค่ฟังเสียงการปะทะกันของอาวุธเท่านั้น พายุฝุ่นยังคงถูกทำลายจนไม่อาจคงรูปร่างได้และทำให้รู้สึกว่าพวกมันจะหายไปได้ตลอดเวลา

อีกด้าน ผู้คุ้มกันตระกูลเทียนฉินต่างก็จ้องมองไปที่พายุฝุ่น ระหว่างนายน้อยของพวกเขาเป็นคนที่โดดเด่นมากที่สุดของตระกูลเทียนฉินและเด็กหนุ่มผู้นั้น ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน ?

ผู้คุ้มกันบางคนมองหน้ากันเองอย่างเป็นกังวล อัจฉริยะที่เป็นนายน้อยของตระกูลเทียนฉินคือความภาคภูมิใจและยินดี ผู้คุ้มกันของตระกูลไม่ต้องการเห็นความภาคภูมิใจของพวกเขาพ่ายแพ้แก่เด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่า

แม้กระทั่งหญิงสาวที่อยู่ในรถม้าก็ไม่อาจทำอะไรได้ นางได้แต่จ้องมองไปยังชายสองคนที่กำลังต่อสู้กลางพายุฝุ่น แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน จากที่นางเห็นสภาพของพายุฝุ่นที่พี่ชายของนางสร้าง นางก็รู้ว่ามันต้องไม่เป็นเรื่องดี

ผู้คุ้มกัน เหตุพวกนี้เป็นเพราะเจ้า เมื่อเรากลับไปถึงบ้านแล้ว เจ้าและคนอื่น ๆ จะถูกลงโทษ หญิงสาวคนนั้นคาดโทษผู้คุ้มกันด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ผู้คุ้มกันทุกคนก็หน้าซีดและเริ่มตื่นตระหนก ผู้นำตระกูลเทียนฉินนั้นเอ็นดูคุณหนูรองราวกับเป็นนางเป็นลูกสาวคนโปรด หากนางพูดบางอย่างให้กับผู้นำแล้วล่ะก็ มันก็คงจะมีบทลงโทษที่รุนแรง

ด้วยความคิดเหล่านี้ผู้คุ้มกันสองสามคนเริ่มตระหนกก่อนที่จะกล่าวขอโทษ ขออภัยคุณหนูรอง นี่เป็นความผิดของพวกเราผู้คุ้มกัน เมื่อเรากลับไปเราจะไปขอรับโทษที่หอลงทัณฑ์เอง

ในเวลานั้นพายุฝุ่นก็สั่นไหวอีกครั้งก่อนที่มันจะจางลงจนสามารถเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในได้

เจี้ยนเฉินยืนอยู่ตรงกลางพร้อมกับกระบี่ที่ชี้ลงพื้น ห่างจากตัวเขาออกไป 5 เมตร นายน้อยก็ยังคงยืนพร้อมกับสวมเกราะและยืนอยู่ด้วยการปักดาบยักษ์ไว้ที่พื้นเหมือนเดิม

ในขณะที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่แตกต่างกันหลังจากการต่อสู้ เสื้อผ้าของพวกเขายังคงไม่มีอะไรหายไป แต่ผู้ที่มีสายตาดีจะเห็นว่าเกราะของนายน้อยจางลงกว่าเดิม การไหลของพลังเซียนธาตุดินที่เคยมีก่อนทั้งหมดก็หายไป

นายน้อยยิ้มให้เจี้ยนเฉินและยกดาบของเขาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เลว ความแข็งแกร่งของเจ้าค่อนข้างสูง ในรุ่นเดียวกัน การที่สามารถทำให้ข้าแพ้ได้มันก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้ ข้า ฉินเซียว ขอยอมรับความพ่ายแพ้

เจี้ยนเฉินก็เก็บกระบี่ของเขาและหันหน้าไปมองนายน้อย เจ้าถ่อมตัวไปแล้ว อย่าด่วนสรุปผลการต่อสู้ครั้งนี้เลย มันยังเร็วเกินกว่าที่จะบอกได้ ! จากคำพูดของนายน้อย เจี้ยนเฉินก็สรุปได้ว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมา

แพ้ก็คือแพ้ มันไม่ได้แย่นักที่จะยอมรับ ข้าฉินเซียวไม่ใช่คนขี้แพ้ นายน้อยโบกมือเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เกี่ยวกับการต่อสู้

ในตอนนี้ความคิดเกี่ยวกับเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้เขาเริ่มที่จะมองอีกฝ่ายด้วยความนับถือมากขึ้น

นายน้อยป้องมือพลางถามว่า ขอทราบชื่อของน้องชายและอาจารย์ที่สอนเจ้าได้หรือไม่ ? ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าที่มีตั้งแต่อายุน้อย ๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นผู้ไร้ชื่อเสียง

เจี้ยนเฉินป้องมือกลับและกล่าวว่า นายน้อยกล่าวชมเกินไปแล้ว ข้ามีชื่อว่าเจี้ยนเฉิน อาจารย์ของข้าเป็นคนสันโดษคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขา

ฉินเซียวเดินเข้ามาหาเจี้ยนเฉิน ร่างกายของเขาดูบอบบางกว่าเจี้ยนเฉินมาก เมื่อทั้งสองยืนอยู่ใกล้กัน ความแตกต่างก็เริ่มเห็นได้อย่างชัดเจน

ฉินเซียวตบบ่าของเจี้ยนเฉินเบา ๆ และพูดว่า น้องเจี้ยนเฉิน เรียกข้าว่าพี่ฉินเซียวก็แล้วกัน เรียกกันเช่นนี้ฟังดูดีมาก ทุกคนในกลุ่มมักจะเรียกข้าอย่างนั้น จากนั้นเขาก็หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า น้องเจี้ยนเฉิน เจ้าเป็นคนแรกในรุ่นเดียวกันที่เอาชนะข้าได้ ข้าฉินเซียวชื่นชมเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นข้าต้องการเชิญเจ้าไปที่ตระกูลเทียนฉินของข้าในฐานะแขก เจ้าจะให้เกียติข้าได้หรือไม่ ?

นี่… มีความประหลาดใจบนใบหน้าของเจี้ยนเฉิน ขณะที่เขาลังเลว่าเขาควรจะไปเป็นแขกของตระกูลเทียนฉินหรือไม่ เขาพึ่งจะมาถึงเมืองหว่าลู่เหริ่นและเพราะเหตุนี้เขาจึงไม่คุ้นเคยกับตระกูลใดๆ เขาเพิ่งจะได้รู้จักเกี่ยวกับตระกูลเมื่อไม่นานมานี้และในขณะที่นายน้อยคนนี้ก็ดูเหมือนจะสัตย์ซื่ออยู่บ้างและถ้ามีบางคนในตระกูลที่เก็บงำความรู้สึกแล้ว เจี้ยนเฉินก็เหมือนกับแกะที่เดินเข้าไปในถ้ำเสือ

อย่างไรก็ตามฉินเซียวไม่ได้รอให้เจี้ยนเฉินตัดสินใจ เขาโอบไหล่เจี้ยนเฉินพร้อมกับเดินไปด้วยกันอย่างเป็นมิตร น้องเจี้ยนเฉินไปเถอะ ช่วงเวลาที่ข้าเห็นเจ้าครั้งแรก ข้าก็รู้สึกว่ามันคือโชคชะตา เรากลับไปพูดคุยกันเถอะ

หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้นและมองไปยังพี่ชายของนางที่อยู่ใกล้กับเจี้ยนเฉินราวกับว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานอย่างไม่อยากจะเชื่อ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อมากไปอีกก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นพี่ชายของนางปฏิบัติกับคนอื่นเช่นนี้ราวกับเป็นสหายที่ดีต่อกัน

เมื่อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างนายน้อยกับเจี้ยนเฉินที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คุ้นกันต่างก็มองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผู้หนึ่งที่ต้องการฆ่าหมิงตงนั้นดูกังวลเป็นพิเศษ ใบหน้าของเขาเริ่มไม่น่ามองและกระตุกอย่างไม่อาจควบคุมได้ ตอนที่เขาได้โยนความผิดให้อีกฝ่าย เขาก็เริ่มเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป

ตระกูลเทียนฉินเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลอย่างมากในเมืองหว่าลู่เหริน พวกเขาอาจกล่าวได้ว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองและแม้กระทั่งเจ้าเมืองก็ยังเป็นตระกูลเทียนฉินและเป็นน้องชายของผู้นำด้วย

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองหว่าลู่เหริน แต่อาณาเขตหลักของตระกูลเทียนฉินนั้นก็ไม่ได้อยู่ใจกลางเมือง พวกเขาอยู่ขอบชานเมืองด้านหนึ่งซึ่งมีคฤหาสน์ที่สวยงามและมีแม่น้ำไหลผ่าน มันมีต้นไม้มากมายที่ส่งกลิ่นหอมออกมานับไม่ถ้วน กลิ่นหอมนั้นแรงจนปลุกคนให้ตื่นนอนได้ทันที

เจี้ยนเฉินและหมิงตงทั้งคู่ต่างก็ยอมรับคำเชิญของฉินเซียวและเดินเคียงข้างกันไป ระหว่างทางฉินเซียวยังคงคุยกับเจี้ยนเฉินต่อเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ของตระกูลเขา อย่างไรก็ตามไม่มีสิ่งไหนที่เป็นความลับสำหรับคนที่อยู่ในเมืองหว่าลู่เหริ่น ตราบที่อยู่ในเมืองพวกเขาก็สามารถรับรู้ได้

ตระกูลเทียนฉินนั้นตั้งมากว่า 400 ปีแล้วนับตั้งแต่ก่อตั้งตระกูล พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองหว่าลู่เหริ่นและเติบโตขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ หลังจากผ่านมา 400 ปี ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับที่เกินความเข้าใจของทุกคน แม้กระทั่งนายน้อยของตระกูลเทียนฉินก็ทราบเพียงผิวเผินเล็กน้อยเท่านั้น

ตระกูลเทียนฉินก่อตั้งครั้งแรกโดยคนเพียง 2 คน ดังนั้นตระกูลเทียนฉินจึงแบ่งออกเป็นตระกูลหลักและตระกูลรอง โดยตระกูลหลักจะใช้คำว่า เทียน และตระกูลรองจะใช้คำว่า ฉิน ทั้งสองสายต่างก็มีอำนาจเท่ากัน พวกเขาจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์ของตระกูลเทียนฉิน

เจี้ยนเฉินมองดูรอบ ๆ ภายในใจของเขาก็อดที่จะเปรียบเทียบกับตระกูลเจียงหยางของเขาไม่ได้ เมื่อสังเกตไปยังผู้คุ้มกันที่ค่อนข้างเข้มงวดขึงขัง มันแตกต่างไปจากตระกูลเจียงหยางจากปกติไปมาก

ฉินเซียวหันหน้าไปมองน้องสาวของเขา น้องรอง เนื่องจากมันนานมากแล้วตั้งแต่เจ้ากลับมาครั้งสุดท้าย เจ้าควรจะไปพบท่านพ่อ เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอีก

น้องรองของครอบครัวฉินนั้นยืนอยู่เงียบ ๆ ด้านหลังพี่ชายของนางตลอด ดวงตาของนางทั้งสองข้างเป็นประกายสดใส นางกระพริบตาด้วยความอยากรู้เมื่อนางมองเจี้ยนเฉินจากด้านหลัง

เจ้าค่ะ ข้ารู้ ท่านพี่รับแขกไปก่อน ข้าจะไปหาท่านพ่อ จากนั้นน้องรองก็เดินจากไปพร้อมกับสาวใช้สองคนทิ้งเจี้ยนเฉินและพี่ชายของนางไว้ตามลำพัง

ภายในตระกูลเทียนฉิน เจี้ยนเฉิน, หมิงตงและฉินเซียวนั่งอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวและพูดคุยกันพร้อมกับสุราเลิศรสและอาหารอร่อย อาจเป็นเพราะกลิ่นหอมที่สดใหม่นี้ มันทำให้ทุกคนนั้นอยากจะทานอาหาร ด้านข้างมีหญิงรับใช้สองสามคนคอยรินสุราให้พวกเขา

น้องเจี้ยนเฉิน เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าฉินเซียวชื่นชมอย่างแท้จริง เจ้าเป็นคนแรกที่โจมตีถูกตัวข้าในเมืองหว่าลู่เหรินในบรรดาคนอายุรุ่นเดียวกันและยังบังคับให้ข้าพ่ายแพ้ได้อีก มาเถิด เรามาดื่มฉลองกัน ฉินเซียวพูดขณะที่เขายกจอกสุราขึ้น