บทที่ 57 หยกเซว่ซือ
สิ่งที่ซ่งหวั่นถิงพูดออกมาล้วนพูดออกมาจากใจจริง
เธอคิดจริง ๆ ว่า ผู้บริหารคนใหม่ของตี้เหากรุ๊ปเป็นคนที่ยากแท้หยั่งถึง
จะซื้อบริษัทมูลค่าหลายแสนล้านก็ซื้อได้สบาย ๆ ทั้งยังไม่เคยแสดงตัว นี่ยังมองออกว่า ธุรกิจของเขาไม่ใช่ตี้เหากรุ๊ปธรรมดา ๆ แน่
เทียบกันแล้ว ตระกูลซ่งก็ด้อยกว่าจริง ๆ
แต่ว่า เธอไม่รู้ว่า ผู้บริหารคนที่เธอต้องการจะสร้างพันธมิตรด้วย ตอนนี้นั่งอยู่ใกล้เธอบนรถของเธอ
เย่เฉินถ่อมตัวมาก พูดเสริมออกไปอีกสองประโยค แต่ก็ไม่แสดงให้เห็นอะไรที่จะเป็นการเปิดเผยตัวตนของเขา
ซ่งหวั่นถิงขับรถทั้งเร็วทั้งนิ่ม
ไม่นาน ก็ขับรถมาถึงลานของเจียงเปียน
ลานแห่งนี้สวยงาม ข้างนอกดูธรรมดา แต่ด้านในล้วนแล้วเป็นบรรยากาศของเจียงหนานทั้งนั้น
สะพานเล็ก ๆ มีน้ำไหล สวนสวยหรู ตึกรามสวยงามที่เรียงต่อกัน
หลังจอดรถ มีคนมาต้อนรับทั้งสองคนเข้าไปด้านใน
เดินผ่านสวนเข้าไปในห้องโถง
ห้องโถงที่ตกแต่งสไตล์จีน มีโต๊ะไม้สีแดงตั้งอยู่ ข้างโต๊ะมีเก้าอี้ประมุขอยู่มากมาย
เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ชายที่มีผมขาวลุกขึ้นยืน และเข้ามาทักทายซ่งหวั่นถิง “คุณหนู คุณมาแล้ว”
สีหน้าของซ่งหวั่นถิงเลิ่กลั่ก พยักหน้าและพูด “ท่านฉี ท่านมาได้อย่างไร”
ชายชรายิ้มอ่อน ๆ และพูด “คุณท่านได้ข่าวว่าคุณหนูจะมา จึงให้กระผมมาดูแล”
ซ่งหวั่นถิงพยักหน้า และหันไปแนะนำให้แก่เย่เฉิน “ท่านฉีคือคนตรวจสอบสมบัติของตระกูลซ่ง เป็นคนที่ที่บ้านส่งมา อาจเพราะกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาด”
เย่เฉินพยักหน้า ตัวเองอายุยังน้อย ตระกูลซ่งไม่ไว้ใจเขาก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ท่านฉีจ้องมอง สีหน้าไม่พอใจ และพูดขึ้น “ท่านผู้นี้คือผู้ตรวจสอบที่คุณหนูเชิญมา? ยังดูหนุ่ม เคยเรียนเกี่ยวกับการตรวจสอบสมบัติมาหรือ?”
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างงเขามีสีหน้าถอดสี รีบหัวเราะออกมา และพูด “เอาคนแก่แบบนี้มาออกหน้าออกตา ตระกูลซ่งไม่มีคนแล้วหรือ? ผมให้ยืมคนของผมเอาไหม? 5555+”
ซ่งหวั่นชิงมีสีหน้าที่เย็นชาและพูดขึ้น “หลี่ไท่หลาย ที่นี่คือจินหลิง ไม่ใช่เมืองไห่ของคุณ อย่าเสนอหน้าพูดมาก”
หลี่ไท่หลายยักไหล่ พูดขึ้นแบบไม่รู้สึกอะไร “คุณหนูแห่งตระกูลซ่งอารมณ์ร้ายเหมือนกันนะ”
“พอได้แล้ว……..” คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกลมฝั่งตรงข้าม ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ทุกคนมาเพื่อประมูล ไม่ได้มาทะเลาะกัน ใจเย็น ๆ ”
“ยังมีคนหนุ่มผู้นี้ มานั่งด้วยกันเถอะ”
ซ่งหวั่นถิงหึขึ้นมา ถึงจะค่อย ๆ นั่งลง
เย่เฉินก็นั่งลงด้วย หลังจากนั้นซ่งหวั่นถิงก็ได้ยินคนพูดขึ้นข้าง ๆ หูเธอ “คนที่ชื่อหลี่ไท่หลาย เป็นคนรวยอันดับหนึ่งของเมืองไห่ ที่นั่งข้างเขาชื่อว่ากัวหมิง เป็นซินแสที่เก่งมาก คนที่พูดขึ้นเมื่อกี้ชื่อฉินกาง หัวหน้าตระกูลฉินของจินหลิง ช่วงนี้ตระกูลของพวกเขา……..”
เย่เฉินเพิ่งจะสังเกตเห็น ว่าข้างหลี่ไท่หลายมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งสวมชุดแบบถังสีน้ำเงินเขียว
บนหัวของเธอเต็มไปด้วยผมสีเงิน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเทพ ทั้งตัวของเธอเต็มไปด้วยรังสีที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ นั่งหลับตาอยู่ตลอด แม้ตอนที่เย่เฉินและหวั่นถิงเข้ามา เธอก็ยังไม่ลืมตาขึ้น
พูดถึงตรงนี้ ซ่งหวั่นถิงยังปิดปากไม่พูดอะไร แม้เย่เฉินจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป
เมื่อรอให้ทุกคนนั่งกันจนครบแล้ว ชายอ้วนที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะก็ยิ้มและพูดขึ้น “ในเมื่อทะเลาะกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว งั้นรีบมาดูสินค้าในวันนี้กันเถอะ ทุกท่านคือลูกค้ารายใหญ่ ของราคาไม่กี่สิบล้านนี้ ไม่จำเป็นต้องลังเลหรือใช้เวลานาน”
ฉินกางพูดขึ้น “ขอแค่ของชิ้นนั้นมีสรรพคุณอย่างที่บอกไว้ ว่าสามารถเรียกลมเรียกฝน สงบจิตใจ ไม่กี่สิบล้านเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก”
คนอ้วนดูไปครู่หนึ่ง ก็วางกล่องไม้นั้นลงบนโต๊ะ
ในกล่องเป็นหยกแดงที่เต็มไปด้วยออร่าสีเลือด แลดูเก่า หยิบขึ้นมา ทุกคนในนั้นก็รู้สึกว่าอากาศอุ่นขึ้น
ฉินกางและพวก อยู่ ๆ ดวงตาก็ลุกวาวขึ้น
ซ่งหวั่นถิงหันไปถามท่านฉี “ท่านฉี ท่านคิดว่าหยกชิ้นนี้เป็นอย่างไร?”
ท่านฉีจ้องมองไปที่หยกครู่หนึ่งและพยักหน้า “น่าจะไม่มีปัญหา เป็นหยกเซว่ซือในสมัยราชวงศ์ถัง ทั้งยังดูแล้วรู้เลยว่าผ่านการเก็บรักษาอย่างดีมาเป็นเวลานาน”
ซ่งหวั่นถิงพยักหน้า และหันมาถามเย่เฉิน “คุณชายเย่คิดว่าอย่างไร?”
เย่เฉินเม้มปากและพูดขึ้น “ของปลอม……”
ท่านฉีส่งเสียงหึขึ้นมาอย่างเย็นชา และพูดขึ้น “อายุยังน้อยอยู่ ไปเอาความกล้ามาจากที่ไหน กล้าโกหกต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้”
คนชราที่ชื่อหงหมิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลี่ไท่หลาย ลืมตาขึ้น มองดูไปที่หยกชิ้นนั้น ถามขึ้น “ฉันขอจับได้ไหม?”
เจ้าอ้วนยิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดขึ้น “ท่านกัว ท่านกำลังล้อเล่นอยู่เหรอ? หยกเขาห้ามจับท่านไม่รู้หรือ?หยกเซว่ซือชิ้นนี้เป็นหยกของราชวงศ์โจว ถ้าทำตกขึ้นมาจะเอาผิดที่ใครได้?”
กัวหมิงเบิกตากว้างครู่หนึ่งและพูดขึ้น “ข้าหยาบคายไปหน่อย….”
พูดเสร็จ เขาก็เดินไปใกล้กับหยกโบราณชิ้นนั้น มองดูอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็หลับตา เป็นเวลาครู่หนึ่ง หยักหน้าและพูดขึ้น “หยกนี้เป็นของราชวงศ์โจวใช่หรือไม่ ข้าก็ไม่อาจบอกได้ แต่ดูจากฮวงจุ้ยแล้ว ที่บอกว่าสามารถสงบจิตใจได้ น่าจะจริง”
เมื่อเขาพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนในงานก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
สำหรับพวกเขาแล้ว หยกชิ้นนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ไม่ได้มีความหมายอะไร ที่สำคัญกว่าคือหยกชิ้นนี้มีคุณสมบัติอะไร
ท่านฉียิ้มอ่อนและพูดขึ้น “ท่านกัวเป็นคนที่ตาถึง ไม่เหมือนพวกที่ไม่มีความสามารถ แต่ทำเป็นเหมือนตัวเองรู้ดี”
เมื่อซ่งหวั่นถิงได้ยินประโยคนั้น ในใจรู้สึกผิดหวังกับเย่เฉิน
ดูแล้วเขาน่าจะยังอายุน้อยเกินไป หรืออาจจะมีฝีมือในการซ่อมแซม แต่ไม่มีฝีมือในการตรวจสอบวัตถุโบราณ เมื่อเทียบกับคนเหล่านี้แล้ว ยังห่างไกลกันลิบลับ
เมื่อเย่เฉินเห็นเช่นนั้น ก็ทำได้แค่ส่ายหัวเบา ๆ ในเมื่อคนพวกนี้เต็มใจที่จะตกหลุมพราง งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปขวาง
เมื่อเจ้าอ้วนเห็นว่าทุกคนให้การยืนยันแล้ว จึงปิดฝากล่องลง พูดอย่างร่าเริง “ในเมื่อตรวจสอบของกันเรียบร้อยแล้ว ทุกท่านน่าจะเริ่มการประมูลกันได้แล้ว”
พูดยังไม่ทันจบ ฉินกางพูดขึ้นเป็นคนแรก “ผมให้ร้อยล้าน……”
“ร้อยสามสิบล้าน” หลี่ไท่หลายพูดต่อ
เจ้าอ้วนเห็นว่าซ่งหวั่นถิงยังไม่พูดขึ้น จึงพูด “คุณนายซ่งละ?”
ท่านฉีเห็นว่าซ่งหวั่นถิงมีท่าทางลังเล จึงเข้าไปกระซิบข้างหูเธอ “คุณหนู ของชิ้นนี้ต้องเป็นสมบัติที่ดีมากแน่ ราคาน่าจะอยู่ที่ประมาณสามร้อยล้าน ถ้าหากเอามาได้ที่สองร้อยล้าน งั้นก็ถือว่าได้กำไรโดยไม่ขาดทุนแน่นอน”
ซ่งหวั่นถิงรู้สึกหวั่นไหว หันไปมองเย่เฉินครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าเขานิ่งไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ แต่ว่าในใจของเธอก็ยังรู้สึกลังเล
ท่านฉีมองเย่เฉินอย่างเย็นชา รู้ว่าซ่งหวั่นถิงต้องลังเลเพราะเย่เฉิน ถึงไม่ยอมประมูล จึงพูดขึ้น “เมื่อครู่ คุณชายเย่บอกว่าของชิ้นนี้เป็นของปลอม ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่า คุณชายเย่ดูจากตรงไหนหรือ ช่วยบอกเคล็ดลับให้ฟังได้หรือไม่ !”
ถ้าหากเย่เฉินตอบมั่วละก็ ซ่งหวั่นถิงก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่เย่เฉินพูดไม่เป็นความจริง ถึงตอนนั้นเธอถึงจะไว้ใจและยอมประมูล
คนอื่น ๆ พูดกัน
“เขาก็แค่เด็กจะไปรู้อะไร อย่าขึ้นไปให้ขายหน้าเลย…….”
“ใช่ เขามีสิทธิ์อะไรจะมาพูดที่นี่”
“พวกคุณไม่อยากซื้อก็ช่างเถอะ อย่าทำให้คนอื่นต้องเสียเวลา”
ฟังคำพูดของผู้คน เย่เฉินรู้สึกน่าสนใจ หันไปจ้องท่านฉี ถามขึ้นนิ่ง ๆ “ท่านแน่ใจหรือที่จะให้ผมพูด?”