ตอนที่ 224

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 224 – น้ำตาของเทเรซ่า (2)

ความเงียบงันได้คงอยู่ไม่นานนัก…

“…อ่า”

ในที่สุดแล้วเทเรซ่าก็มีปฏิกิริยาออกมา

“อ่า อ่า…”

ริมฝีปากของเธอส่งเสียงที่ไร้ความหมายออกมาอย่างต่อเนื่อง

ใบหน้าของเทเรซ่าได้หม่นหมองลงไปอย่างรวดเร็ว เธอพยายามทำเหมือนกับมันไม่มีอะไร แต่ว่าบนใบหน้าของเธอได้เต็มไปด้วยความสับสน

“วะ ว่ายังไงนะ?”

ในท้ายที่สุดเธอก็ถามกลับมาโดยไร้จุดหมาย

มันไม่มีทางที่เธอจะไม่เข้าใจ แต่เธอเพียงแค่ทำเหมือนกับไม่ได้ยินอะไร เหมือนอย่างซอลจีฮูทำบ่อยๆ

ซอลจีฮูได้ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ในตอนนี้เขากำลังรู้สึกต่างๆมากมายเช่นัน

หลังจากบรรยากาศระหว่างพวกเขาลดลงเล็กน้อย ความรู้สึกที่ไม่อาจจะอธิบายก็พวยพุ่งออกมาจากตัวเขา เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับปฏิกิริยาของเทเรซ่าที่เกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้

หลังจากเงียบอยู่ไม่นานนักในที่สุดเทเรซ่าก็เริ่มเปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง

“นายกำลังโกหก… ใช่ไหม?”

“ไม่ครับ”

ซอลจีฮูได้ปิดปากลงไปในทันทีที่ตอบกลับไป สายตาที่เร่าร้อนของเทเรซ่าได้บังคับให้เขาต้องเงียบลง

สายตาของเธอไม่ใช่การกล่าวโทษหรือการประนามเขา มันยังไม่ใช่สายตาของคนที่ถูกทรยศด้วยเช่นกัน

แต่ถึงแบบนั้นซอลจีฮูก็ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ จริงๆแล้วเขาไม่อย่างเผชิญหน้ากับเทเรซ่าที่ยืดตัวขึ้นมาจับจ้องที่เขาเลย

ในท้ายที่สุดริมฝีปากที่ปิดแน่นของเทเรซ่าก็ค่อยๆเปิดขึ้นมา

“ทำไมล่ะ?”

และคำพูดที่เธออดกลั้นเอาไว้ก็หลั่งไหลออกมา

“ทำไม? ทำไมอยู่ๆนายถึงจากไปแบบนี้? มันต้องมีเหตุผลใช่ไหม?”

ซอลจีฮูยังไม่ได้ตอบกลับไป ความอยากที่จะพูดของเขาได้หายไปพร้อมๆกับความรู้สึกที่หม่นหมอง

ขณะที่ซอลจีฮูยังคงเงียบอยู่ เทเรซ่าดูเหมือนเธอจะกำลังขาดใจตาย ยังไงก็ตามไม่นานนักเธอก็ฝืนยิ้มและพูดออกมาอย่างอ่อนโยน

“ฉันเข้าใจแล้ว นายคงจะผิดหวังในราชวงศ์ฮารามาร์คสินะ ฉันเข้าใจแล้ว”

“ไม่-“

“อ๊า ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจ ฉันก็ผิดหวังเหมือนกัน เราไม่ได้ให้การดูแลวีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์ค-“

“เจ้าหญิง”

ซอลจีฮูไม่อาจจะทนฟังต่อได้ และจ้องตรงไปที่เทเรซ่า

“มันไม่ใช่เรื่องพวกนั้นเลย”

เขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เทเรซ่าได้ชะงักไป เธอได้สูดหายใจลึก และยังคงรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้

“อ่า แล้วถ้างั้นเรื่องอะไรกัน? เรื่องนั่นสินะที่ทำให้นายเกลียดฮารามาร์ค?”

เธอคงจะกำลังพูดถึงเหตุการณ์ ‘ป้ายสีวีรบุรษ’ อย่างแน่นอน แต่ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา

“นั่นก็ไม่ใช่”

เทเรซ่าได้ถอนหายใจ จากนั้นก็เสยผมขึ้น

“หากไม่ใช่แบบนั้น… ถ้างั้นแล้วอะไรกันล่ะ?”

“ฉันจะพูดให้ชัดนะครับ มันไม่ใช่ว่าฉันไม่พอใจราชวงศ์หรือเกลียดฮารามาร์คเลย”

“ถ้างั้นอะไรล่ะ!?”

เทเรซ่าได้ส่งเสียงดังขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นเธอก็รีบส่งเสียง ‘อ่า’ ออกมา ดวงตาของเธอได้เบิกกว้าง และกระทั่งปากเธอก็ยังอ้าค้างราวกับเธอทำพลาดไป

แต่ว่าในตอนนี้เมื่อฟิวส์ของเธอถูกจุดแล้ว เธอจึงพูดต่อไป

“มันคืออะไรล่ะ? เหตุผลอะไรที่ทำให้นายออกไป พูดอะไรหน่อยสิ!”

ซอลจีฮูได้หลับตาลงเงียบๆ

“นั่นเพราะพาราไดซ์”

“พาราไดซ์…?”

“ฉันมีเป้าหมายที่อยากจะทำให้สำเร็จ จริงๆแล้วก็มีสามอย่าง”

เขาได้หยุดสั้นๆก่อนจะพูดต่อ

“ผมออกจากฮารามาร์คเพื่อทำเป้าหมายเหล่านั้นให้สำเร็จเท่านั้นเอง”

“ในฮารามาร์คทำไม่ได้หรอ?”

“ไม่ได้หรอก”

“พูดตรงๆแล้วเป้าหมายทั้งสามอย่างนี้เป็นเพียงแค่ก้าวๆหนึ่งที่จะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้าย เป้าหมายทั้งสามนั้นเป็นหินหยั่งเท้าให้ฉันทำตามเป้าหมายจริงๆให้สำเร็จ หากว่าขาดไปสักอย่าง ฉันก็ไม่อาจจะทำตามเป้าหมายสูงสุดของฉันได้”

“…”

“สิ่งสำคัญก็คือมีหนึ่งในสามเป้าหมายที่ไม่อาจจะทำสำเร็จได้ในฮารามาร์ค เพราะงั้นฉันถึงได้ไปที่อีวา”

“…แล้วเป้าหมายนั่นมันอะไรกัน?”

เทเรซ่าได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“บางทีฉันอาจจะช่วยได้ก็ได้นะ”

น้ำเสียงของเธออ่อนลง แต่ว่าก็ยังแข็งขืนเช่นเดิม

ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะพูดลากยาวออกไปเลย

“ก็ได้”

เพราะงั้นเขาจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ

“ถ้างั้นเธอมั่นใจที่จะกลายเป็นศัตรูกับซิซิเลียไหมเจ้าหญิง?”

เทเรซ่าได้เบิกตากว้างขึ้นมา ซอลจีฮูได้พูดต่อไปโดยไม่หยุดลง

“ฉันไม่ได้พูดแบบนี้เพื่อจะผลักเธอออกไปหรอกนะ แต่ว่าถ้าเธอช่วยฉัน ความสัมพันธ์ของเธอกับซิซิเลียจะพังลงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ในตอนนี้เธออาจจะเป็นมิตรกันอยู่ แต่ว่าทาเซียน่า ซินเซียไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยคนที่ท้าทายอำนาจของเธอไว้ นี่คือสิ่งที่ฉันมั่นใจได้เลย”

เทเรซ่าได้กลายเป็นสับสนขึ้นมา เธอได้หมดคำพูดไปเพราะในที่สุดเธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการได้แล้ว

นี่ไม่ใช่คำถามที่เธอจะตอบได้ง่ายๆเลย ทั่วทั้งภูมิภาคทางใต้แล้ว แม้กระทั่งเด็กๆยังรู้จักชื่อซิซิเลียเลย

และหลังจากสงคราม การที่ทาเซียน่า ซินเซียได้เผยตัวออกมาว่าเป็นผู้บริหารแห่งความเกลียดคร้าน ตำแหน่งของซิซิเลียในฮารามาร์คก็ยิ่งกลายเป็นป้อมปราการสุดแกร่งขึ้นไปอีก

มันเป็นอย่างที่ซอลจีฮูบอกเอาไว้ คาเพเดี่ยมจะกลายเป็นองค์กรในฮารามาร์คโดยมีราชวงศ์หนุนหลังงั้นหรอ? ด้วยการเล็งตำแหน่งเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์งั้นหรอ?

แน่นอนว่าซิซิเลียจะต้องตอบสนองในแง่ลบอย่างแน่นอ อย่างเลวร้ายที่สุดมันอาจจะเกิดความขัดแย้งภายในขึ้นเหมือนอย่างในอดีตก็ได้

เทเรซ่าได้ติดอ่างขึ้นมา

“แต่ อ่า… เราจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับซิซิเลียด้วยหรอ? มันไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของนายกับซิซิเลียก็ไม่ได้แย่นี่นา บางทีมันอาจจะออกมาดีก็ได้…”

ใช่แล้ว มันก็เป็นไปได้

ด้วยความสัมพันธ์ในปัจจุบันของเขากับซิซิเลีย ซินเซียก็อาจจะให้องค์กรเขาได้เติบโตในระดับหนึ่งได้ แต่ว่านั่นก็จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อซอลจีฮูไม่ได้แทรกแซงในอำนาจในปัจจุบันของซิซิเลีบเท่านั้น

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ซอลจีฮูต้องการเลย

เรือหนึ่งลำไม่อาจมีกัปตันสองคนได้ นอกไปจากนี้ซอลจีฮูก็อยากที่จะขึ้นเป็นที่หนึ่งและยืนอยู่บนบัลลังก์

เทเรซ่าที่ตีความว่าความเงียบของเขาเป็นการปฏิเสธก็ได้กัดฟันขึ้นมา

“ซอล… นายคือวีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์คนะ”

เสียงสั่นเครือได้ดังออกมา

“สำหรับชาวโลกมันอาจจะต่างไป แต่ว่าประชาชนของฮารามาร์คแล้ว นายเป็นทั้งฮีโร่และความหวัง สำหรับชาวบ้านจากหมู่บ้านแรมแมน สำหรับทหารที่ปกป้องเมือง และสำหรับฉัน…”

“…”

“แต่ว่าหากนายจากไป…”

คำพูดช่วงท้ายของเธอได้ขาดหายไป แต่ว่าซอลจีฮูรู้อยู่แล้วว่าเธออยากจะบอกอะไร เทเรซ่ากำลังร้องขอความเห็นใจ แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว

“…ต่อให้ฉันจะจากไปแล้ว แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ฮารามาร์คตกอยู่ในอันตราย ฉันก็จะไม่เมินเฉย”

เทเรซ่าได้หลับตาลงไป เธอได้รู้แล้วว่ามันไม่มีทางที่เธอจะเปลี่ยนใจเขาได้อีก

เธอได้หลับตาที่อ่อนล้าแน่น

ลำคอเธออุดตัน และไม่มีคำพูดใดๆดังออกมาอีก

ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ใช้สองมือปิดหน้า และก้มหัวลงไป ผมสีทองชมพูของเธอได้ไหลลงมาเหมือนกับน้ำตก

“น่าอายจริงๆ…”

เสียงสะอื้นเบาๆได้ดังออกมา

“ฉัน… ฉันคิดว่านายจะยกระดับมาเป็นองค์กรในฮารามาร์ค… ฮ่าฮ่า ฉันตื่นเต้นไปเองคนเดียวเลย…”

เธอได้พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเอามือออกมาจากใบหน้า

แขนของเธอได้ตกลงไป แต่ว่าหัวของเธอยังคงก้มมองพื้นอยู่

ซอลจีฮูได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อมองดูใบหน้าของเทเรซ่า จากนั้นเธอก็ตัวแข็งทื่อ

เธอกำลังร้องไห้

น้ำตากำลังไหลออกมารอบดวงตาคู่งามของเธอ

“ฉันมีสิ่งที่อยากจะทำ… เมื่อปฏิบัติการนี้จบลง…”

“…”

“ถ้าฉันรู้ว่านี่เป็นปฏิบัติการจากลาของเรา… ฉันก็จะไม่รับข้อเสนอ…”

เทเรซ่าได้เงยหน้าขึ้นมา เธอได้กระพริบตาสูดอากาศ และมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

เสียงกลืนน้ำลายได้ดังขึ้น และซอลจีฮูก็ได้ยินเธอหันหน้าไป

“ขอโทษนะ!”

“เจ้าหญิง”

“ฉันจะไปทำให้อารมณ์เย็นลงหน่อย”

เทเรซ่าได้ทิ้งคำพูดนี้เอาไว้ และเดินหายไปเหมือนกับอยากจะหนีไปจากที่นี่

ซอลจีฮูได้พ่นลมหายใจที่กลั้นเอาไว้มานา

เขาคิดไว้แล้วว่าเขาอาจจะได้ยินในสิ่งที่เขาไม่อยากจะได้ยิน แต่ว่าเขาก็คาดไม่ถึงว่าเทเรซ่าจะแสดงอารมณ์ออกมามากขนาดนี้

เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกในทันทีที่เห็นเทเรซ่าร้องไห้

‘เจ้าหญิง…’

กลางดึกแบบนี้เธอจะไปไหนกัน?

แน่นอนว่าเขารู้ว่าเทเรว่าแข็งแกร่ง และมันไม่น่าจะมีมอนสเตอร์ตัวไหนที่คุกคามเธอได้ เนื่องจากว่าพวกเขาอยู่ใกล้ฮารามาร์คแล้ว

เขารู้ดี แต่ว่าเขาก็ยังคงมองไปรอบๆด้วยความไม่สบายใจ

ยังไงก็ตาม…

“…”

จนกระทั่งถึงเวลาเปลี่ยนกะเฝ้ายามแล้ว เธอก็ยังไม่ได้กลับมา

เมื่อเขาตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขาก็ได้เห็นเทเรซ่ากำลังนอนคู้ตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของเต็นท์ เมื่อเห็นเธอกำลังพลิกตัวและหันไปมาเล็กน้อย เธอก็คงจะอยู่ตรงนี้มาทั้งนี้แน่ๆ

ซอลจีฮูกำลังคิดที่จะเรียกเธอ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจหยุดเอาไว้ และออกจากเต็นท์ไปทำอาหารเช้า

ในระหว่างทางกลับฮารามาร์ค รถม้าก็ยังคงครึกครื้นเช่นเคย

เทเรซ่ายังได้เข้าร่วมพูดคุยอย่างตื่นเต้นอีกด้วย แต่แม้ว่าปากของเธอจะยิ้ม แต่ตาเธอไม่ได้ยิ้มเลย

ทั้งซอลจีฮูกับเทเรซ่าต่างก็รู้ว่าพวกเขาไม่ควรจะทำลายบรรยากาศแห่งความสำเร็จ

ซอลจีฮูได้พูดคุยไปในบางจังหวะ จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างโดยใช้ความรู้สึกไม่สบายเป็นข้ออ้าง

ภาพทุ่งสีเขียวได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากมองไปข้างนอกนิ่งๆอยู่หลายสิบนาที

“โอ้? ดูเหมือนเราจะใกล้ถึงแล้วนะ”

เขาได้เหลือบไปมองเห็นเมืองที่คุ้นเคย

***

ทีมปฏิบัติการได้เดินทางมาถึงฮารามาร์คอย่างปลอดภัย ด้วยแบบนี้ปฏิบัติการของพวกเขาจึงเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

สมาชิกแต่ล่ะคนต่างก็กอดส่วนแบ่งเอาไว้ และพูดคุยกัน

มาเรียกับฮิวโก้ได้ไปที่วิหารในทันทีหลังจากลงรถม้า

แต่ว่าก็ไม่มีใครว่าพวกเขาเลย ทุกๆคนต่างก็อยากจะรีบเก็บโชคของตัวเองเอาไว้ในที่ที่ปลอดภัย เพราะงั้นทั้งกลุ่มจึงตัดสินใส่ไปวิหารพร้อมๆกัน

เว้นก็แต่เทเรซ่า

เธอไม่มีเหตุผลต้องไปวิหารเพราะเธอมีที่เก็บของที่ปลอดภัยอยู่แล้ว

แต่ว่าก่อนจะแยกกันเทเรซ่าได้เข้ามาหาซอลจีฮู

ใบหน้าของเธอได้แสดงความมุ่งมั่นออกมาให้เห็น

“ขอบใจนะที่พาฉันไปปฏิบัติการนี้ด้วย”

“ไม่มีปัญหา ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอที่มาด้วย”

“เดี๋ยวฉันจะต้องตอบแทนความช่วยเหลือนี้อย่างแน่นอน”

เทเรซ่ายื่นมือออกมาหลังจากพูดอย่างเฉยเมย ซอลจีฮูได้จ้องไปที่เธอก่อนจะจับมือของเธอเบาๆ

ในขณะที่พวกเขาต่างก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของมืออีกฝ่าย จู่ๆเทเรซ่าก็จับแน่นขึ้น

มันราวกับว่าเธอไม่อยากจะปล่อยมือเขา ราวกับเธอไม่อาจจะปล่อยได้

และซอลจีฮู…

“เดี๋ยวฉันจะไปหาเธอนะ”

“…”

“ฉันจะโน้มน้าวเธอเอง ฉันสัญญา”

เขาค่อยๆบิดข้อมือและดึงมือออกมา ด้วยความระวังเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเสียใจ

มือของเทเรซ่าได้ขยับตามมือของซอลจีฮู แต่ในท้ายที่สุดก็หลุดไป

เทเรซ่าได้หน้ามุ่ยออกมา

“ฉันจะไม่มีวันถูกโน้มน้าว”

“เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน”

ซอลจีฮูได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม

“เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะ”

เทเรซ่าได้ถอนหายใจเบาๆ และลดแขนลง จากนั้นเธอก็หันหน้าเดินจากไป

ซอลจีฮูได้มองดูเดินออกไปไกลก่อนจะหันหลังกลับ จากนั้นเขาก็เริ่มเดินไปวิหารกู่ลา

แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ทันได้ก้าวถึงสิบก้าว เขาก็รู้สึกว่าถูกมองอยู่

ยังไงก็ตามเขาไม่ได้หันกลับไป

***

มีอยู่สองเหตุผลที่ชาวโลกจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนเพื่อใช้ห้องเก็บของของวิหาร

อย่างแรกคือความปลอดภัย และอย่างที่สองคือประโยชน์ใช้สอย

มันไม่สำคัญว่าพวกเขาเก็บของเอาไว้ที่ไหนตราบเท่าที่เป็นวิหารในเมือง ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถจะไปหาของของพวกเขาได้ แม้ว่าพวกเขาจะเก็บของเหล่านั้นเอาไว้ในวิหารลูซูเรียก็ตามที

“ฟู่ววว”

หลังจากใส่กระเป๋าลงไปในกล่องเก็บของแล้ว ซอลจีฮูก็ยิ้มสดใสออกมา แค่มองดูกระเป๋าเขาก็เต็มไปด้วยความสุขแล้ว

เขาไม่ได้ออกไปจากวิหารและในทันที และได้เดินลึกเข้าไปข้างในแทน จากนั้นเขาก็ได้มาก้มหน้าอยู่ตรงหน้ารูปปั้นหิน

ทั้งหมดก็เพื่อการฝักไข่

ยังไงก็ตามกู่ลาได้ให้คำแนะนำที่เขาคาดไม่ถึง

[รอสักสามสามวันก่อนจะไปพบลูซูเรียนะ]

‘ว่าไงนะครับ?’

[ลูซูเรียคือพี่น้องฝาแฝดของเทพธิดาคาทิตัส เธอน่าจะให้ข้อมูลที่แม่นยำได้]

‘ผมไปตอนนี้เลยไม่ได้หรอ?’

ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยความร้อนใจ

[ลูซูเรียกำลังอยู่ระหว่างพิธีกรรมใหญ่อยู่ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องรอสักสองสามวัน]

จากนั้นกู่ลาก็ได้ปลอบเขาอย่างใจเย็น

[หากว่าเป็นหอกพิสุทธิ์… เราก็มีเรื่องที่ต้องคุยกันระหว่างพวกเรากันเองก่อน ฟุฟุฟุฟุ]

เธอได้หัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ

ซอลจีฮูจะรอสักสองสามวันเลยไม่ได้หรอในเมื่อเขาเพิ่งจะได้เจอคนที่รอมาเป็นร้อยๆปีได้?

เขาได้ตอบตกลงและจากนั้นก็หันหน้ากลับไป

[แล้วก็]

เสียงของกู่ลาได้หยุดเขาเอาไว้

[พยายามแก้ไขให้ดีนะ ปลอบโยนเธอ หรือไม่ก็ทำให้เธอสบายใจด้วยการประทับตาของเจ้าไว้]

‘?’

[ฉันเคยบอกไว้แล้วใช่ไหมว่าอนาคตได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว]

[การที่เจ้าได้เปลี่ยนอนาคตได้ทำให้มีอนาคตใหม่เปิดขึ้นมาสำหรับเด็กนั่น]

[หากว่าชายคนนั้นคือโล่ที่จะป้องกันความมืดมิดที่คืบคลานเข้ามา ถ้างั้นในอนาคตเด็กคนนั้นก็อาจจะกลายมาเป็นมือซ้ายของเจ้าก็ได้นะ]

ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนเขาพอจะรู้ว่าเด็กที่ถูกพูดถึงคือใครกัน

[มันเป็นเรื่องดีที่เจ้ารู้ถึงจุดประสงค์อย่างชัดเจน มันไม่ได้แย่เลย แต่ยังไงแล้วเจ้าก็ยังอยู่ในขั้นตอนการปรับแต่งโล่]

[ข้าแค่จะบอกว่าเจ้าไม่ควรจะใจเย็นเกินไปนะ]

ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆให้กับคำแนะนำของกู่ลา

***

สมาชิกทีมปฏิบัติการซึ่งนอกจากมาเรีย เทเรซ่า และฮิวโก้ ต่างก็รอเขาอยู่ด้านนอก แต่เพราะอะไรบางอย่างโชฮงกับฟีโซราดูร้อนรนอยู่เล็กน้อย

“เฮ้ อืมม ฉันจะกลับไปดูอีกครั้งนะ”

“ฉันด้วย”

ทั้งสองคนได้วิ่งกลับไปในวิหารอีกครั้งหนึ่ง

ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมา

นี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อไหร่ก็ตามที่จู่ๆก็มีเงินจำนวนมาก ความเป็นจริงก็จะเป็นเหมือนความฝัน มันก็คล้ายๆกันกับการที่คนเราจะตรวจดูบัญชีธนาคารบ่อยๆหลังจากถูกหวย

“นายไม่ได้เก็บของทุกอย่างไว้ในห้องเก็บของหรอ?”

คาซุกิได้ถามออกมาพร้อมชี้ที่ถุงบนหลังซอลจีฮู

ซอลจีฮูได้อธิบายออกมาพร้อมกับขำขึ้น

“ของพวกนี้เป็นเครื่องเซ่นน่ะครับ ผมคิดว่าจะเอาไว้ให้พี่สาวในทันที”

คาซุกิที่จำถึงเงื่อนไขของซอลจีฮูได้ ก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาจะสื่อในทันที

“นายไม่คิดว่ามันน่าเสียดายหรอ? หากว่าเอาของพวกนี้ไปขายมันได้หลายเหรียญทองเลยนะ”

“ผมไม่เห็นนะว่าคุณชอบเล่นมุก แต่ว่านี่มันไม่ตลกเลยนะ”

“ก็แค่พูดเฉยๆน่ะ”

คาซุกิได้หัวเราะออกมาเมื่อสังเกตเห็นการเหน็บในคำพูดของซอลจีฮู จากนั้นเขาก็บอกจะไปด้วยโดยที่บอกว่าเขาอยากจะไปทักทาย

ซอลจีฮูก็ได้ตกลงในทันทีเพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย

พวกเขาได้รอจนกระทั่งโชฮงกับฟีโซราเดินออกมาก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยม

ไม่สิ นี่คือสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ

“อ๊าา ฉันจะบ้าแล้ว ฉันขอกลับไปดูอีกครั้งหนึ่ง

“ฉันด้วย!”

ขณะที่พวกเขากำลังเดินลงบันไดไป ฟีโวรากับโชฮงก็ได้รีบวิ่งกลับไปในวิหาร

“ผมด้วย”

แม้กระทั่งมาแชล จิโอเนียก็ยังเป็นไปด้วยคน

“โอ้ ให้ตายสิ!”

ซอลจีฮูได้ตะโกนออกมา

***

โชฮงกับฟีโซราได้กลับไปเช็คห้องเก็บของอยู่ถึงหกครั้งกว่าจะโล่งใจขึ้นมา

หลังจากนั้นซอลจีฮูได้เดินมาถึงอาคารที่อยู่ตรงข้ามกับสำนักงานคาเพเดี่ยม…

“พี่สาว! พี่สาวยูฮุย!”

และเขาก็ได้เคาะประตูออกไป

ตึง ตึง! ซอยูฮุยได้รีบโผล่หน้าออกมาด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของซอลจีฮู

“ชิ… นายทำให้ฉันตกใจนะ”

เธอได้หยิกแก้มเขาเบาๆเพื่อแกล้งเล่นหลังจากไม่ได้เจอกันนาน จากนั้นเธอก็ชวนเขาเข้าไปนั่งข้างใน

หลังจากนั่งลงแล้ว ซอลจีฮูก็ได้หยิบเอาเครื่องเซ่นที่เขาเตรียมไว้ออกมาโชว์

ร่องรอยความประหลาดใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซอยูฮุยในทันทีที่เธอได้เห็นของในกระเป๋า

“ของพวกนี้…”

คุณภาพก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่ยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เก็บไว้มหาศาลอีกด้วย ด้วยของพวกนี้อย่างน้อยก็จะช่วยฟื้นคืนพลังของเธอกลับมาได้ในระดับ 3 หรือกระทั่งอยู่ช่วงต้นของระดับ 4 ได้เลย

การจะหาเครื่องเซ่นที่มีคุณภาพแบบนี้เป็นไปได้ยากมากแม้ว่าเธอจะหาทั่วทั้งเมืองก็ตาม

‘เขาไปเอาเครื่องเซ่นคุณภาพสูงแบบนี้มาจากไหนกัน…?’

ซอยูฮุยได้จ้องมาที่ซอลจีฮูด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไป

“ของพวกนี้… แพงเกินไป”

“อ่า อย่ากดดันสิ ของพวกนี้ทั้งหมดเป็นของคุณ”

เมื่อซอยูฮุยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจที่จะรับเครื่องเซ่นทั้งหมดนี้ไป ฟีโซราก็ตะโกนออกมาอย่างคึกคะนองพร้อมทั้งแตะไหล่ซอลจีฮู

“ปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้พวกเรารวยขึ้นมา เพราะงั้นของพวกนี่นับไม่ว่ามากอะไรเลย!”

“ใช่แล้วล่ะ! ทั้งหมดก็เพราะเขาเลย! อ๊าาา นายนี่น่ารักจริงๆ!”

โชฮงก็ยังหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า และลูบผมซอลจีฮูจนผมยุ่ง

ทั้งสองคนได้ทำเหมือนซอลจีฮูเป็นเด็ก ในขณะที่สีหน้าของซอยูฮุยได้แปลกไปในตอนที่เธอมองมาที่เขา

“หืมมม~”

เธอได้ส่งเสียงแปลกๆออกมา

“ขอบคุณนะ มันคงจะลำบากแน่ๆ”

“ไม่ครับ ไม่เลย…”

ซอลจีฮูได้เกาหัวออกมา

แต่ว่าซอยูฮุยก็ส่ายหัวออกมา

“มันลำบากใช่ไหมล่ะ?”

เธอได้พูดเบาๆพร้อมกางแขนออกมา ดวงตาของซอลจีฮูเบิกกว้างขึ้น

‘เดี๋ยวนะ! การเคลื่อนไหวแบบนี้!’

เขามั่นใจแล้ว

เธอกำลังชวนให้เขาเข้าไปกอดเธอ

เธอกำลังจะกอดเขาเพื่อเป็นรางวัลสำหรับความพยายาม

ร่างกายของเขาชะงักไปอยู่ครู่หนึ่ง ซอลจีฮูได้กลายเป็นลังเลขึ้นมา

หากว่าเขาหลับอยู่มันก็คงเป็นคนล่ะเรื่อง แต่ว่าการกอดเธอต่อหน้าทุกๆคนมันค่อนข้างจะ…

ในตอนนั้นเองซอยูฮุยก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มหวาน

“มาสิ”

“!?”

ซอลจีฮูได้ประหลาดใจขึ้นมา

‘ยะ ยังไงกัน?’

ซอลจีฮูรู้สึกลังเล ยังไงก็ตามไม่นานนักเขาก็ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากราวกับว่าซอยูฮุยกำลังรอการตัดสินใจของเขา

“จีฮู?”

แค่มองสีหน้าเธอเขาก็บอกได้เลย

นายไม่มั่นใจที่จะกอดฉันเหมือนเมื่อก่อนแล้วหรอ?

นายโตขึ้นมาหน่อยแล้วก็เลยพยายามจะรักษาหน้าเอาไว้หรอ?

“จีฮู…”

ซอยูฮุยได้พูดออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร

ขณะที่น้ำเสียงของเธอดูเศร้าและเจ็บปวดทำให้ซอลจีฮูทำอะไรไม่ถูก

ซอยูฮุยได้เอียงหัวออกมา

“ผลข้างเคียงเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

โอ้ ใช้แล้ว นี่เป็นข้ออ้างที่ดีเลย

“ถะ ถูกแล้วครับ จริงๆผมรู้สึกเหนื่อยอยู่นิดหน่อย…”

ซอลจีฮูได้รีบตอบกลับและเข้าไปหาเธอ เขาไม่ได้สนใจสายตาที่มองแผ่นหลังเขาอยู่ ยังไงก็ตามนี่มันก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเขา

สิ่งสำคัญก็คืออ้อมกอดของซอยูฮุยคือสถานที่ที่สบายที่สุดในโลก ร่างกายที่กระสับกระส่ายของเขาดูเหมือนกับจะสงบลงไป

นี่คือสรวงสวรรค์ในพาราไดซ์อย่างแท้จริง

‘อ่า… น่าทึ่ง’

ในตอนนี้เขารู้สึกถึงชีวิตแล้ว

ซอยูฮุยได้ยิ้มออกมาสดใสพร้อมกับลูบกระต่ายน้อยในอ้อมแขนของเธอ

เธอได้ส่งรอยยิ้มสดใสที่ยากจะเข้าใจไปให้กับหญิงสาวทั้งสองคนที่มองมาที่พวกเขาด้วยความตกตะลึง

***

เพราะการเติมพลังงานจากซอยูฮุย ทำให้ซอลจีฮูได้กลับไปที่สำนักงานอย่างสดใส

เขาไม่ได้เจอกับจางมัลดงและพี่น้องยี่ พวกเขาน่าจะยังคงฝึกกันอยู่ที่ภูเขาหินยักษ์

ในทันทีที่เขาติดต่อไป จางมัลดงก็ได้รับสายในทันที

-นายคงเพิ่งจะมาถึงสินะ

“ครับ ผมติดต่อมาหาอาจารย์ในทันทีที่เรากลับมา”

-แล้วปฏิบัติการประสบความสำเร็จไหมล่ะ?

“ผมมีอยู่หลายเรื่องเลยที่ต้องคุยกับอาจารย์”

ซอลจีฮูได้ชูสิงนิ้วออกมา

“แล้วเมื่อไหร่อาจารย์จะกลับมาครับ?”

-เดี๋ยวเราก็จะกลับแล้ว จริงๆเราได้กลับไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับมาที่ภูเขาอีกที

“หืม? ทำไมล่ะครับ?”

-นั่นก็เพราะซังจิน

จางมัลดงได้ยิ้มแห้งๆออกมา

-เขาบาดเจ็บหนักระหว่างการฝึก เพราะงั้นเราก็เลยต้องกลับมาทำการรักษาที่ฮารามาร์ค ฉันคิดว่าจะปล่อยให้เขาพัก แต่ว่าเขากลับยืนกรานที่จะกลับไป

จางมัลดงได้เดาะลิ้นออกมา

-ไอ้หนูนี่มันดื้อรันมากจริงๆ

จางมัลดงได้ส่ายหัวออกมา

ซอลจีฮูได้รีบถามขึ้นด้วยความกังวล

“บาดแผลร้ายแรงไหมครับ? แล้วร่างกายเขาเป็นยังไงบ้าง?

-ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ซังจินฝึกหนักเหมือนนายเลย

“ผมหวังว่าเขาจะไม่กดดันตัวเองเกินไปนะ… เขาจะต้องคำนึงถึงร่างกายตัวเองด้วย”

-นายยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องนี้อีกนะ

จางมัลดงได้หยักหน้าออกมาพร้อมเสียงหัวเราะที่กลั้นไม่ไหว

-เอาเถอะ อีกสองสามวันเราจะกลับไป จากนั้นไว้ค่อยคุยเรื่องรายละเอียดกัน

“เข้าใจแล้วครับ”

-โอ้ จริงสิ

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะวางสาย จางมัลดงก็หยุดเขาเอาไว้

-เป็นเรื่องของเพื่อนนายน่ะ คุณคิมฮันนาห์ เธอเป็นคนเชิญนายถูกไหม?

ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมากับสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง

“ครับ คิมฮันนาห์ทำไมหรอครับ?”

-ในตอนเรากลับไปฮารามาร์ค เธอได้ติดต่อเข้ามา

จางมัลดงได้พูดต่ออย่างสงบ

-ตอนแรกฉันก็ไม่คิดจะหลับสายหรอกนะ แต่ว่าทุกๆครั้งที่ฉันเช็คคริสตัลสื่อสาร เธอจะโทรมาตลอดเลย หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง… มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

‘อะไรนะ’

ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง

“อาจารย์รับสายไปหรอครับ?”

-อืมม มันดูเป็นเรื่องเร่งด่วน ฉันก็เลยรับสายไป ขอโทษทีนะ

“ไม่ ไม่เลยครับ มันไม่เป็นไรเลย แล้วเกิดอะไรขึ้นหรอครับ? ทำไมเธอถึง-“

เขาได้กลืนคำพูดที่จะถามว่า ‘ทำไมเธอถึงโทรมาตลอดเวลาล่ะครับ?’ ลงไป

-ฉันก็ไม่มั่นใจ เธออยากจะคุยกับนาย แต่ว่าพอฉันบอกไปว่านายกำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติการ เธอก็บอกว่าไม่เป็นไร มันก็เท่านี้แหละ

หลังจากพูดแบบนี้แล้ว จางมัลดงก็ขมวดคิ้วและเม้มปากออกมา

-แต่ว่า… สีหน้าเธอค่อนข้างจะ…

“อะไรนะครับ?”

-ไม่หรอก ไม่มีอะไร แค่มองดูเพียงครั้งเดียวมันยังไม่อาจจะตัดสินใจอะไรได้

จางมัลดงได้ส่ายหัวออกมา

-ยังไงก็ตามถ้าเป็นไปได้ก็ลองติดต่อไปหาเธอดูนะ

“เข้าใจแล้วครับ”

-เอาล่ะ งั้นไปเจอกัน

จากนั้นสายก็ตัดไป

ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา

คิมฮันนาห์ได้ติดต่อมาในตอนที่เขาพร้อมจะพัฒนาองค์กรอย่างเต็มกำลัง

‘ช่างโชคร้ายจริงๆ’

หากเขารู้ เขาก็จะชวนเธอเข้าร่วมปฏิบัติการด้วย

ซอลจีฮูได้พึมพำอยู่ในใจ ก่อนที่จะล้วงไปหยิบคริสตัลสื่อสารในลิ้นชักออกมา และวางมือลงไปบนคริสตัลสื่อสาร