ตอนที่ 223

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 223 – น้ำตาของเทเรซ่า

“…คุณกำลังทำอะไรอยู่?”

“เฝ้ายาม”

มาเรียได้ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนแรง

“ฉันฝันร้ายว่าของรางวัลที่เราหาได้มาหายไป… ฉันกลัวว่ามันจะหายไปอีก…”

เธอพึมพำออกมาก่อนจะหาวขึ้น ซอลจีฮูได้กระพริบตาอย่างสับสนก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา

ความจริงต่างกับความฝันอย่างที่คิดไว้เลย

จู่ๆเขาก็อยากจะถามเล่นๆออกมาว่า ‘อยากจะแบกกระเป๋าหนีไปไหม?’ แต่แล้วเขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้

เพราะว่านี่มันหยาบคายเกินไป

“ขอบคุณนะ ตอนนี้เดี๋ยวผมดูต่อให้ เพราะงั้นไปพักเถอะ”

“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก~”

มาเรียได้ส่ายหัวออกมา

“แค่ดูกระเป๋าพวกนี้ก็ทำให้ตัวฉันเต็มไปด้วยพลังแล้ว…”

เธอได้หัวเราะออกมาเบาๆเหมือนกับคนเมา ที่เสพสารเสพติดจนเกินขนาด

นี่มันอันตรายแล้ว

มาเรียได้จ้องอยู่นิ่งสักพัก จากนั้นจู่ๆเธอก็แตะไหล่ของซอลจีฮู แล้วก็หยักหน้าออกมา

“ใช่แล้ว ฉันต้องขอบคุณพี่ชายสินะ พี่ชายทำได้ดีมาก รู้ไหมว่าฉันเชื่อในตัวพี่ชายนะ? ฉันเชื่อว่าในสักวันพี่ชายจะต้องราคาพุ่งกระฉูดแบบนี้! ใช่แล้วล่ะ นี่คือพลังของการลงทุนระยะยาว!”

“…ทำไมผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังทำเหมือนผมเป็นหุ้นเลยล่ะ”

มาเรียได้รีบหุบปากลงไป จากนั้นเธอก็รีบโบกมือและหัวเราะออกมา

“เอ๋ อย่าพูดแบบนั้นสิ! ฉันแค่รู้สึกซาบซึ้งเท่านั้นเอง”

“จริงหรอครับ?”

“ก็แน่นอนสิ! พี่ชายรู้อะไรไหม จริงๆแล้วฉันเห็นด้วยกับคาซุกิแล้วก็เจ้าหญิงเทเรซ่าสุดๆเลยนะ คือพี่ชายได้ทำทุกๆอย่างไปจริงๆ! ไม่ใช่ว่าเราควรจะให้ส่วนแบ่งกับพี่ชายมากกว่านี้หรอกหรอ?”

“โฮ่”

ตาของซอลจีฮูได้มีประกายออกมา

“คนพวกนั้น พวกเขาเอาแต่ห่วงตัวเองเกินไป ชิ ชิ ฉันรู้สึกแย่จริงๆที่เอาส่วนแบ่งของคุณพี่มาเป็นของตัวเอง”

มาเรียกำลังจะพูดต่อเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด แต่จากนั้นมุมปากของซอลจีฮูก็โค้งขึ้นมา

“เยี่ยมไปเลย! ถ้างั้นก็เอาแบบนั้นแล้วกัน”

“?”

“ผมไม่คิดเลยว่าคุณมาเรียจะเป็นห่วงผมขนาดนี้… ผมประทับใจมาก ประทับใจจริงๆ”

“มะ ไม่หรอก”

“ขอบคุณมากครับ! หลังมื้อเช้าเดี๋ยวผมจะขอทำการแบ่งรางวัลใหม่นะ แน่นอนว่าแค่ส่วนแบ่งของคุณมาเรียเท่านั้น”

อาการง่วงนอนของมาเรียได้หายไปในทันที ใบหน้าเธอได้กลายเป็นบูดบึ้ง และดวงตาเรียบนิ่งของเธอก็เริ่มเอ่อร้นไปด้วยน้ำตา

ซอลจีฮูได้หัวเราะขึ้นในใจและถามออกมา

“คุณโอเคใช่ไหมล่ะ? เมื่อกี้คุณคงไม่ได้โกหกเพื่อให้ผมดีใจใช่ไหม?”

มาเรียได้กำหมัดแน่น และปากเล็กๆของเธอก็กำลังสั่นขึ้นมา

“นะ นะ แน่นอน… ฉันหมายถึง… อย่างที่ฉันพูด…”

เมื่อเห็นเธอพูดสะดุดแบบนี้ ซอลจีฮูก็กุมท้องหัวเราะออกมา

จากนั้นพอเขาโบกมือและบอกออกไปว่าเขาแค่ล้อเล่น ตาของมาเรียก็เบิกกว้างขึ้น

“ฮือออออออ”

มาเรียได้หัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมๆกัน จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าใส่ซอลจีฮู

“ขอโทษ ขอโทษ”

“ฮึ่ม ฉันเกลียดนาย พี่ชาย!”

มาเรียได้ใช้มือเล็กๆของเธอทุบหน้าอกของเขา ไม่สิ หมัดของเธอมีแรงมากกว่าการทุบตามปกติซะอีก

“…ทั้งคู่กำลังทำอะไรกันอยู่?”

ความวุ่นวายคงจะทำให้โชฮงตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน เพราะเธอได้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“อ๊าา หัวฉัน เมื่อคืนฉันดื่มหนักไปหน่อย…”

เธอได้ค่อยๆคลานออกมาจากถุงนอน จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น

“เฮ้ ซอล”

“…เธอตั้งใจพูดแบบนั้นใช่ไหม?”

“อะไรนะ?”

“อย่าพูดว่า ‘เฮ้ ซอล’ สิ นี่มันแปลกๆ” (เฮ้ ซอล ในภาษาเกาหลีแปลว่า ลามก)

“จู่ๆก็อะไรของนายเนี้ย?”

โชฮงได้บ่นออกมา จากนั้นก็ถอนหายใจ ลมหายใจของเธอที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ผสมอยู่ได้โชยเข้าจมูกของซอลจีฮู

“ยังไงก็ตาม ฉันกำลังสงสัยอยู่…”

จู่ๆใบหน้าของเธอก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมา และจากนั้นก็ถามขึ้นนิ่งๆ

“เรื่องคำสาปแห่งความฝัน ไม่ใช่ว่าตอนแรกเราติดมาจากเด็กมนุษย์จิ้งจอกหรอกหรอ? แล้วคำสาปนั่นก็ติดต่อกันได้”

“ใช่แล้ว ทำไมหรอ?”

“แล้วเราก็ล้างคำสาปไปได้เพราะโชคดี”

“ใช่แล้ว”

“แล้วถ้างั้นเจ้าพวกนั้นล่ะ?”

ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้นทันที

“พวกไหน?”

“ก็เจ้าพวกที่ไล่ตามเฮเรียวมาไง”

ในตอนที่เขาได้ยินเรื่องนี้-

“ไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนั้นจับตัวเฮย่าไว้หรอ?”

ซอลจีฮูได้ชะงักไปทันที

“ถ้างั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาล่ะ?”

ความตื่นเต้นของเขาได้หายไปในทันที

“แล้วหากว่าพวกเขาเข้าไปในเมือง…?”

“โชฮง”

ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

“ปลุกทุกคน”

ทั้งแคมป์ได้คึกคักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบสนิทลงไป ซอลจีฮูกับคนอื่นๆได้พยายามติดต่อกลับไปที่บ้าน

เทเรว่าเป็นคนแรกที่ทำการติดต่อออกไป เธอได้อธิบายถึงสถานการณ์และถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่อีวาหรือไม่ แต่ว่าคำถามกลับผิดคาด นั่นคือ ‘ไม่มีอะไร’

ไม่มีข่าวการกระจายของคำสาป ไม่ว่าจะทั้งในอีวาหรือเมืองอื่นๆ

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ซอลจีฮูก็ได้เอียงหัวออกมา

ต่อมาในเวลาไม่ถึงวัน พวกเขาก็ได้เจอเข้ากับศพจำนวนมากในระหว่างทางกลับบ้าน

มีศพกว่ายี่สิบคนนอนอยู่รอบๆแคมป์ ดูจากระยะไกลแล้วพวกเขาเป็นกลุ่มพวกลักลอบที่เขาเพิ่งเจอไม่กี่วันก่อนอย่างแน่นอน

“ครั้งก่อนพวกเขามีกันยี่สิบกว่าคน… เพราะงั้นพวกเขาคงตายไปกว่าครึ่ง”

คาซุกิได้พึมพำออกมาหลังจากที่มองดูสำรวจภาพตรงหน้าด้วยสายตาพันไมล์จากระยะไกล ซอลจีฮูได้ถามขึ้น

“เป็นยังไงบ้างครับ?”

“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ฝันร้ายคงจะกลืนกินพวกเขาไป”

“เป็นอย่างที่เราคิดเลย…”

“น่าแปลกนะ ที่ฉันไม่คิดว่าเราควรที่จะต้องกังวลเลย”

คาซุกิได้อธิบายออกมาว่าทำไม

“เป้าหมายของพวกลักลอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ฉันมั่นใจว่าพวกเขาคงไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับพาราไดซ์หรอก”

ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาเหมือนกับความคิดนี้เข้าท่า

“ถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นกับอีกยี่สิบคนที่เหลือล่ะ?”

“ฉันไม่เห็นศพของหัวหน้า”

คาซุกิได้พูดต่อด้วยเสียงเมินเฉย

“ฉันอาจจะแค่คิดไปเองนะ แต่ว่าคนหัวหน้าคงจะรู้ตัวก่อน”

ใช่แล้ว การที่จู่ๆลูกน้องก็ล้มตายลงไป มันก็คงแปลกหากว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นถึงปรากฏการณ์ลึกลับที่ส่งผลต่อพวกเขา

“เขาอาจจะไม่รู้ว่าคำสาปมันคืออะไร… แต่ว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะรู้ว่าการนอนหลับหมายถึงความตาย ฉันสงสัยว่าเขาคงจะกลับไปที่อีวาโดยที่ไม่นอนหลับ และได้รัการรักษาจากนักบวชของอินวิเดียไปแล้ว”

ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา

“…นี่มันจะไม่คิดง่ายไปหรอครับ”

“ก็ใช่ แต่ว่าหากเป็นหมอนั่นมันก็เป็นไปได้”

คาซุกิได้พูดออกมาด้วยความมั่นใจแบบแปลกๆ

“หากว่านายได้เจอกับเขาอีก ก็อย่าได้ดูถูกเขาไป เขาเป็นคนที่อยู่ที่ระดับบนในบทการฝึกสอนได้ด้วยแค่ความสามารถในการอ่านสถานการณ์ และในเขตพื้นที่เป็นกลาง เขาถึงขนาดขายคะแนนจนกลายเป็นธุรกิจได้ด้วย”

ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในสิ่งที่ได้ยินขึ้นมา เขาทำธุกิจในเขตพื้นที่เป็นกลาง?

‘มันเป็นไปได้ยังไงกัน?’

“ไม่ว่าเขาจะอ่านสถานการณ์ได้ดียังไง แต่ว่ามันเป็นไปได้ยังไงกัน?”

“เอาเถอะนะ ไว้พอเรากลับไปแล้วเราก็จะรู้เอง แต่ว่าเรามาตรวจรอบๆนี้ให้มั่นใจกันก่อนดีกว่า”

ทีมปฏิบัติการได้เริ่มเดินทางอีกครั้งหนึ่งโดยที่ใช้เส้นทางอ้อมศพที่นอนอยู่

หลังจากผ่านไปสองสามวันซอลจีฮูก็ได้รู้ว่าคาซุกิคาดเดาถูกต้อง นั่นก็เพราะว่าพวกเขาได้มาเจอเข้ากับกลุ่มนักบวชจากวิหารอินวิเดีย

กลุ่มนักบวชได้อธิบายว่ามีกลุ่มพ่อค้าได้ไปหาพวกเขาพร้อมคำสาปร้ายแรง และในตอนนี้กลุ่มนักบวชก็กำลังตามรอยทางเดินที่พวกพ่อค้าได้ใช้เพื่อเคลียร์ให้ถนนเรียบร้อย

เห็นได้ชัดมากว่าพ่อค้าได้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลเป็นค่าตอบแทน

“โชคดีที่พวกเราได้เจอพวกเขานอกเมือง หากว่าพวกเขาเข้าไปในเมืองพร้อมคำสาปนั่น…”

เมื่อเห็นนักบวชส่ายหัวออกมา ซอลจีฮูก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ทีมปฏิบัติการได้เริ่มเดินทางต่อไปอย่างช้าๆ จากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็ได้มาถึงเมืองอีวา ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอย่างที่พวกเขาได้ยินมา

การพักผ่อนในเมืองใหญ่ที่ในที่สุดแล้วพวกเขามาถึงก็เป็นเรื่องที่เข้าท่า แต่ว่าทีมพวกเขาได้ขึ้นรถม้ากลับฮารามาร์คในทันที

นั่นมันก็เพราะว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจจนกว่าพวกเขาจะได้เอาของไปเก็บไว้ในที่เก็บของของวิหารฮารามาร์ค

***

ในที่สุดแล้วปฏิบัติการอันแสนยาวนานก็ได้จบลง ภายใต้แรงกดดันจากทีมปฏิบัติการได้ทำให้คนขับรถม้าต้องขับรถม้าเต็มกำลังผ่านถิ่นทรุกันดารทั้งกลางวันและกลางคืน

ผลก็คือพวกเขาดูจะเหมือนว่าจะไปถึงฮารามาร์คในเช้าวันถัดไป

ซอลจีฮูได้หยิบเอาไข่สีแดงออกมาดูตลอดการเฝ้ายาม ระหว่างทางเขาก็ได้อ่านหนังสือทั้งสองเล่มจบไปแล้ว

จิตใจอันชอบธรรมดูจะเป็นวิธีการบ่มเพาะมานา ในขณะที่เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนั้นก็เป็นอย่างชื่อของมัน เขาคิดว่ามันคงเป็นอะไรที่เอาไว้ใช้กับหอกพิสุทธิ์

แม้ว่าเขาจะประเมินมูลค่าของมันไม่ได้ แต่ว่าของเหล่านี้ก็จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งกับความสำเร็จในอนาคตของเขาอย่างแน่นอน เขาได้ผ่านแผนเอาไว้ว่าจะให้จางมัลดงตรวจสอบดูให้ในทันทีที่กลับไป

‘ปัญหามันอยู่ที่นี่’

หอกกับไข่

ตามที่โฟลนบอก ฟินิกซ์ถูกกล่าวถึงไว้ว่าเป็นจิตวิญญาณผู้พิทักษ์ของตระกูลรอชเชอร์ซึ่งมีชี่อว่า ‘อาร์คัส’ นอกไปจากนี้เขายังจำเป็นต้องใช้จิตวิญญาณผู้พิทักษ์ตนนี้ยอมรับเขาก่อนถึงจะดึงพลังที่แท้จริงของหอกพิสุทธิ์ออกมาได้

อธิบายให้ละเอียดกว่านี้จิตวิญญาณผู้พิทักษ์จะใช้ชีวิตร่วมกันกับคนที่มันยอมรับเป็นเจ้านาย และเมื่อเจ้านายของมันตายไป มันก็จะกลับมาอยู่ในร่างของไข่เพื่อเฝ้ารอเจ้านายคนใหม่

หรือก็คือจิตวิญญาณจะทำหน้าที่เป็นทั้งคู่หู และผู้ดูแล

ในอดีตมีหัวหน้าตระกูลรอชเชอร์หลายร้อยคนเข้ารับการทดสอบแบบเดียวกัน และมีอยู่หลายคนที่ไม่ได้รับการยอมรับจากจิตวิญญาณ

ในกรณีแบบนั้นพวกเขาจะใช้พลังของหอกพิสุทธิ์ได้เพียงแค่บางส่วนหรือไม่ก็ถูกบังคับให้ต้องก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้า

นอกไปจากนี้หัวหน้าผู้ก่อตั้งก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่ดึงพลังของหอกพิสุทธิ์ออกมาได้เต็มกำลัง

สังหารเทพ

เพราะพลังอำนาจของหอกทรงพลังและอันตรายจนเกินไป เทพธิดาแห่งความบริสุทธิ์จึงตั้งใจวางข้อจำกัดเอาไว้กับหอก

‘ยังไงก็ตาม นั่นหมายความว่าฉันจะต้องหาวิธีฟักไข่ใบนี้’

โฟลนได้บอกไว้ว่าไข่จะตื่นขึ้นจากพลังของเทพเท่านั้น เพราะแบบนี้นั่นจึงหมายความว่าเขาจำเป็นต้องใช้พลังแห่งเทพ ซอลจีฮูจึงวางแผนที่จะไปแวะที่วิหารในตอนที่กลับไป

“หืม”

ระหว่างกำลังคิดกับตัวเองจู่ๆเขาก็หัวเราะออกมา เขายังจำได้ถึงตอนที่โฟลนหัวเราะเยาะเขาเมื่อเขาพยายามจะป้อนเครื่องเซ่นให้กับไข่

“ตลกอะไรงั้นหรอ?”

ในตอนนี้นเองเสียงเท้าเหยียบใบไม้แห้งก็ได้ดังออกมาพร้อมๆกับเสียงพูด คนๆนั้นคือเทเรซ่าที่มีเวรเฝ้ายามร่วมกันกับเขา

เธอบอกว่าเธออยากจะไปเข้าห้องนาน แต่ว่าเธอได้ใช้เวลานานกว่าที่เขาคิดไว้

“ยินดีต้อนรับกลับนะ”

“ขอบคุณมาก! ฟู่ว โล่งจริงๆเลย”

เทเรซ่าได้ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆซอลจีฮู และเอนพิงไหล่เขา

“แค่เราสองคนท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ช่างโรแมนติกจริงๆเลย”

ซอลจีฮูได้ตึงเครียดขึ้นมา ในช่วงเวลาแบบนี้เขาจะประมาทเทเรซ่าไปไม่ได้

“โอ้ จริงสิ พอมาคิดดูแล้ว นายเป็นคนเดียวที่ฉันยังไม่ได้ถามนะ”

เทเรซ่าได้หันมาถามเขา

“พอกลับไปแล้วนายจะทำอะไรเป็นอย่างแรกล่ะ?”

“ก็คงจะไปกินจนกว่าจะอิ่ม แล้วก็นอนล่ะมั้ง”

“เอ๋~ ฉันหมายถึงว่านายจะเอาเงินไปใช้กับอะไร”

ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา

ในช่วงสองสามวันมานี้เทเรซ่าได้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาก็ไม่ได้รู้เรื่องมาก แต่ว่าราชวงศ์ฮารามาร์คดูจะประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักนับตั้งแต่มีสงครามมา

เขาสามารถดูได้เลยว่าเทเรซ่ามีความสุขมากแค่ไหน กับการที่ในที่สุดเธอก็หาวิธีชดใช้หนี้ไปได้แล้ว

‘ตั้งแต่เด็กเลยสินะ…’

ซอลจีฮูชื่นชมเทเรซ่าอยู่ภายในใจ และในเวลาเดียวกันก็ยังสงสารเธออยู่เล็กน้อยด้วย แม้ว่าปฏิบัติการจะสำเร็จไปอย่างยิ่งใหญ่ แต่ว่างบประมาณที่อาณาจักรจะต้องใช้มันต่างไปจากงบประมาณส่วนบุคคลอย่างมาก

แม้ว่ามันอาจจะดูไม่น่าเป็นแบบนั้น แต่เขาก็หวังให้เทเรซ่าได้ใช้มันสักเล็กน้อยเพื่อตัวเองบ้าง

“ฉัน…”

ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอย่างสงบ

“ฉันมีที่ที่จะเอาเงินไปใช้แล้วล่ะ ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม”

“โอ้? แล้วอะไรล่ะ?”

“เป็นเงินทุนเอาไว้สำหรับตั้งองค์กรใหม่น่ะ”

“องค์กร?”

เทเรซ่าได้ส่งเสียงดังออกมา เธอเป็นเพียงคนที่สี่ที่ได้รู้หลังจากฮ่าวอวิ่น จางมัลดง และคาซุกิ เพราะงั้นจึงไม่แปลกเลยที่เธอจะตกใจ

“โอ้ ว้าว! จริงหรอ? นี่นายกำลังจะตั้งองค์กร?”

“ใช่แล้วล่ะ ฉันคิดเรื่องนี้อยู่ตั้งนานแล้ว”

“นานแล้วหรอ… จริงสิ คาเพเดี่ยมมีแรงค์เกอร์ระดับสูงอยู่ถึงสี่คน ในตอนนี้นายก็มีเงินแล้วด้วย มันไม่น่าแปลกใจเลย”

เทเรซ่าดูจะมีความสุขมากๆเหมือนกับเป็นเรื่องของเธอเอง

“ยินดีด้วยนะ! ในที่สุดคาเพเดี่ยมก็จะได้กลายเป็นองค์กรแล้ว! ฉันอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่ดีแลนด์ยังเป็นหัวหน้าแล้ว!”

เธอได้ปรบมือและยิ้มออกมาอย่างสดใส

“ถ้างั้นนายก็ต้องมีตึกใหญ่ๆสักหลังแล้วสินะ~? แล้วก็ที่ดินผืนใหญ่อีกด้วย”

“ใช่แล้วล่ ฉันก็พอมองหาเอาไว้บ้างแล้ว แถมที่ดินทุกวันนี้ก็มีราคาแพงมาก เพราะงั้นฉันก็เลยวางแผนปฏิบัติการนี้ไงล่ะ”

“เอ๋ ถ้างั้นนายก็ควรจะมาหาฉันสิ!”

เทเรซ่าได้แตะไหล่ซอลจีฮูและยิ้มออกมา

“นายนี่เป็นกลางจนน่าจนใจเลยนะคุณซอล? ไม่ใช่ว่านายควรจะมาคุยเรื่องสำคัญกับเจ้าบ้านก่อนหรอ?”

“อะไรนะครับ?”

“ช่างมันเถอะ ยังไงก็ตามไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เรามีที่ดินดีๆในครอบครอง-“

“…อ่อ”

ในที่สุดซอลจีฮูก็รู้ถึงความเข้าใจผิด เมื่อเห็นเทเรซ่ากำลังพูดอย่างตื่นเต้น

“โอ้! ฉันมีความคิดดีๆแล้ว! ทำไมนายไม่เอาส่วนแบ่งของฉันไป แล้วมาที่วังค์ล่ะ? นายจะได้ใช้เงินซื้อที่ดินแล้วก็ก่อสร้างได้”

‘อืมม…’

ซอลจีฮูทำอะไรไม่ถูก และเงียบลงไปอย่างลังเลใจ

“ฉันก็รู้สึกผิดกับพ่ออยู่นะ… แต่ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับว่านายจะมองยังไงนั่นแหละ ฉันมั่นใจว่าในตอนฉันอธิบายสถานการณ์ไป พ่อจะต้องมีความสุขแน่ๆ อืมม สามีกับภรรยาจอมต้มตุ๋น ฉันชอบแบบนี้จังเลย”

แต่ว่านี่คือสิ่งที่ในท้ายที่สุดแล้วเขาจะต้องบอกกับเธอไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม เขาไม่อาจจะออกจากฮารามาร์คไปโดยไม่พูดกับเธอสักคำได้ เมื่อคิดว่านี่คือโอกาสเหมาะแล้ว เขาจึงค่อยๆพูดออกไป

“ฉันคิดว่าจะออกไปจากฮารามาร์ค”

เพียงคำพูดคำเดียวนี้ได้ทำให้เทเรซ่าชะงักไปอย่างสิ้นเชิง

ซอลจีฮูได้เพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดของเขาอีกเล็กน้อย

“ฉันคิดว่าจะไปอีวา”

และเมื่อเขาหันมามองเทเรซ่า-

“แล้วก็ในอีวา ฉัน…?”

เขาไม่อาจจะพูดต่อไปได้

วูบบบบ-

สายลมหนาวยามค่ำคืนได้พัดผ่านเข้ามา

“…เจ้าหญิง?”

จู่ๆ…

“…”

บรรยากาศก็ได้เย็นยะเยือกขึ้นมา