“ฉู่ฉีเฟิงออกเดินทางกลับแล้วงั้นรึ?” ฮ่องเต้กล่าวถาม
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงตอบ “อย่างเร็วที่สุดหลังจากนี้อีกสามวันก็คงจะมาถึงเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้กิจการทางทหารมีขุนนางทำหน้าที่แทนชั่วคราว คนผู้นั้นแม้ว่าจะอยู่ที่เมืองฉู่มานานแล้ว ทั้งมีประสบการณ์รับศึกอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วเบื้องลึกเบื้องหลังก็เป็นแค่เพียงบัณฑิตผู้หนึ่งเท่านั้น คุ้มครองเมืองในเวลานี้ยังพอว่า แต่หากภายหลังพวกหนานฮวากลับมา เกรงว่าเรื่องราวจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กลับมานั่งหลังโต๊ะทรงอักษร บีบหัวคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ “เช่นนั้นเจ้าลองว่ามาสิ ว่าใครที่เหมาะสมจะรับตำแหน่งนี้? รัชทายาท? ฮั่วกัง? หรือว่า ซูอี้?”
ฝีมือการจัดการเรื่องศึกสงครามของสามคนนี้ล้วนแต่ไม่ธรรมดา แต่ว่า…
ฉู่อี้อันเป็นองค์รัชทายาท ก่อนที่เขาจะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ฮ่องเต้อาจจะยอมมอบอำนาจในมือ ให้เขามีอำนาจตัดสินใจจัดการทางด้านการทหาร แต่อย่างไรก็ไม่อาจมอบอำนาจทางการทหารไปอยู่ในมือเขาอย่างจริงจังได้
และซูอี้?
ไม่ต้องกล่าวถึงเสียดีกว่า!
ส่วนฮั่วกัง เรื่องราวของหลัวอี้ก็ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว เขายึดตำแหน่งของอีกฝ่าย กักบริเวณให้เขาอยู่แต่ในเมืองหลวง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ฮั่วกังก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เอาแต่ขังตัวเองสงบจิตสงบใจอยู่ในจวน ไม่ได้แสงดงท่าทีไม่พอใจหรือขัดขืนแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้มีท่าทีผ่อนคลายลงแล้ว หลี่รุ่ยเสียงก็ไม่พูดมากอะไรอีก
ฮ่องเต้ยังคงหลับตาชั่งน้ำหนักคิดในใจอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็เอ่ยปากออกมา “พรุ่งนี้เรียกตัวเขาเข้าวังหน่อยเถิด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรับคำสั่ง ทั้งไม่พูดอันใดอีก
ฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงยังเร็วกว่าที่หลี่รุ่ยเสียงคาดการณ์ถึงครึ่งวัน วันที่สามยามอู่ก็กลับถึงเมืองหลวงแล้ว
วันนี้ทั้งสองคน ตั้งแต่เช้าก็ได้เปลี่ยนเป็นชุดทางการ ก่อนจะรีบเร่งเดินทาง หลังจากเข้าเมืองก็นำตัวองค์ชายหกไปส่งในวังทันที
ฮ่องเต้ไม่ได้พบหน้าองค์ชายหกผู้นั้น มีเพียงแค่หลี่รุ่ยเสียงที่นำคนไปจัดการอย่างเงียบๆ
เวลานี้ในห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ มีฉู่อี้อัน ทั้งยังมีฮั่วกังที่ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังมาอย่างกะทันหันอยู่
“ฉีเฟิง สวินหยางถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ!” เมื่อทั้งสองคนเข้าไปก็ทำความเคารพฮ่องเต้ที่หลังโต๊ะทรงอักษรก่อน หลังจากฮ่องเต้ขานรับแล้ว ก็หมุนกายไปทักทายฉู่อี้อัน “ท่านพ่อ!”
“อืม!” ฉู่อี้อันตอบรับ ยังคงมีท่าทีจิบชาอย่างช้าๆ ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ราวกับการกระทำของพวกเขาเป็นเพียงฉากประกอบเท่านั้น
ส่วนฮั่วกังที่อยู่ด้านข้างก็ก้มหน้าหลุบตาต่ำตรงมองไปที่ฐานอิฐทองใต้โต๊ะทรงอักษร หลังจากคารวะทั้งสองคนแล้วก็ไม่พูดอันใดอีก
ฮ่องเต้เรียกตัวฉู่ฉีเฟิงมาที่นี่เพราะราชกิจทั้งยังเพื่อถามยืนยันเรื่องสถานการณ์ด้านแคว้นฉู่โดยเฉพาะ ฉู่สวินหยางที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จึงยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เริ่มก็ไม่ได้มองไปที่ฮั่วกังแม้แต่น้อย
หนังตาของฮั่วกังหลุบต่ำ ดูไปแล้วก็คือกำลังมองตรงไป ราวกับทั้งสองฝ่ายเป็นคนทั่วไปที่ไม่รู้จักกันอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากที่ฮ่องเต้ถูกพิษ แม้ว่าจะใช้ยาประคับประคองไว้ ร่างกายในวันนี้ก็ไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อนแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรกับฉู่ฉีเฟิงมากนัก เพียงแค่ฟังเขาเล่าเรื่องไป เวลานี้จึงผงกศีรษะอย่างพอใจเล็กน้อย “ภารกิจครั้งนี้ เจ้าและฉู่ฉีเหยียนต่างก็ทำได้ดี ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม ภายหลังจะจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จของพวกเจ้าแน่นอน”
“ล้วนเป็นเรื่องที่พวกกระหม่อมต้องทำพ่ะย่ะค่ะ เสด็จปู่กล่าวเกินไปแล้ว” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวอย่างถ่อมตัว
ฮ่องเต้หัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ไม่ได้หยุดที่เรื่องนี้นาน ก็ปราดสายตาไปอย่างไม่ใส่ใจ มองไปยังฮั่วกังที่ยืนด้านข้างพลางกล่าวด้วยถอดถอนหายใจ “เกิดเรื่องกับรุ่ยชินอ๋อง กองทัพที่เมืองฉู่ก็ไร้คนบัญชาการในขณะนี้ เดิมข้าตั้งใจส่งขุนนางฮั่วไปที่นั่น ทว่าสองวันมานี้จู่ๆ เขากลับป่วยอย่างกะทันหัน เป็นเรื่องที่ไม่อาจห้ามได้ กลัวว่าแค่เดินทางไปไม่กี่ลี้ก็คงจะไม่ไหวแล้ว!”
ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงล้วนฟังอยู่เงียบๆ ไม่ว่าใครก็ไม่ได้หันกลับไปมองฮั่วกัง
ฮั่วกังได้ยินฮ่องเต้กล่าวเช่นนั้น ก็คุกเข่าลงไปทันที กล่าวด้วยความรู้ผิด “กระหม่อมละอายใจนัก ก่อนหน้านี้อยู่ในกองทัพมานานนม ก็ป่วยออดๆ แอดๆ เช่นนี้อยู่บ้าง แท้จริงแล้วก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงอันใด ฝ่าบาทเชื่อใจกระหม่อมเถิด เลือกกระหม่อมจริงๆแล้ว…”
ขณะที่เขาพูด กลับไอขึ้นมาอย่างกลั้นไว้ไม่ไหว ไอพักใหญ่จนน้ำเสียงแหบแห้ง ท้ายที่สุดแทบจะคล้ายกับไอจนปอดหลุดออกมาด้วยก็มิปาน
กลั้นไอไว้ด้วยความยากลำบาก ฮั่วกังก็โขกศีรษะลงกับพื้นต่อหน้าฮ่องเต้ “กระหม่อมเสียมารยาทต่อฝ่าบาท ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“อืม! ท่านฮั่วมีโรคอยู่กับตัว เดิมทีก็เป็นข้าที่ฝืนใจท่านอยู่แล้ว” ฮ่องเต้ยกมือขึ้น เบนสายตาไปกล่าวกับฉู่สวินหยาง “สวินหยาง เจ้ากับท่านฮั่วออกไปก่อนเถิด ข้ากับพ่อและพี่ชายเจ้ามีราชกิจที่ต้องคุยกันหน่อย”
“เพคะ!” ฉู่สวินหยางค้อมกายคารวะ
ฮั่วกังก็รีบเร่งยืนขึ้นทำความเคารพ ทั้งสองคนเดินตามกันออกไปด้านนอก
คล้อยหลังก็ได้ยินฮ่องเต้กล่าวถามต่อด้านหลัง “ฉีเฟิง เจ้าก็อยู่ที่เมืองฉู่มาสักพักแล้ว ยามนี้กองทัพขาดคนบัญชาการ ในราชสำนักมีแม่ทัพมากมาย เจ้าคิดว่าผู้ใดที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้?”
“ฉีเฟิงอายุยังน้อย ประสบการณ์แค่นี้ จะกล้าถกเรื่องนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว หลังจากที่พวกฉู่สวินหยางเดินออกไปนอกห้องทรงอักษร ก็ไม่ได้ยินประโยคที่ตามมาด้านหลังอีกแล้ว
เวลานี้เพิ่งจะเลยยามเที่ยงไป ด้านนอกแสงดวงอาทิตย์จึงแผดจ้า แสงแดดประกายแสบตา
ฮั่วกังยังมีเรื่องที่ต้องรายงานกับฮ่องเต้ ดังนั้นจึงหยุดยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียงไม่ไปไหน
ฉู่สวินหยางก็ชะงักฝีเท้าตามไปด้วย ยืนห่างจากเขาเล็กน้อยอยู่ที่ระเบียงเช่นกัน
ยามนี้นางจึงค่อยๆ เหลือบตามองพินิจอีกฝ่าย
ใบหน้าของฮั่วกัง เผยท่าทีราวกับป่วยหนักอย่างแท้จริง สีหน้าขาวซีด ริมฝีปากแห้งกรัง ในแววตาก็ดูไม่มีชีวิตชีวา บางครั้งก็ไอขึ้นมาพักใหญ่ ยามที่ไอก็รุนแรงเป็นอย่างมาก เปลี่ยนทั่วทั้งใบหน้าจนเป็นสีแดงก่ำ
“แม่ทัพฮั่วป่วยได้เวลาเสียจริง?” สวินหยางกล่าว ยกริมฝีปากขึ้น กลับไม่ได้ร้อยเรียงเป็นรอยยิ้มออกมา
“พูดตรงๆ กับท่านหญิงแล้วกัน คนแก่แล้ว ล้วนยากที่หลีกเลี่ยงโรคนั้นโรคนี้” ฮั่วกังกล่าวด้วยใบหน้าเช่นเคย ทว่ากลับไม่เหมือนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา ในยามที่พบเจออย่างบังเอิญในปีนั้น
เรื่องราวที่เมืองฉู่ถูกเปิดเผยออกมา แม้ว่าฉู่อี้อันจะไม่ได้พูดแจงกับเขาอย่างละเอียด แต่คนของเขาที่อยู่ในราชสำนักก็ยังมีอยู่บ้าง จึงล่วงรู้สถานการณ์ของทางกองทัพอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางศึกใหญ่นั้น คนสนิทที่เขาคอยอุ้มชูขึ้นมานั้นแทบจะตายอยู่ในสนามรบทั้งหมด
ฉู่ฉีเฟิงส่งรายงานสงครามกลับมา กล่าวว่า พวกหนานฮวาเมื่อจนตรอกแล้วจึงตัดสินใจทุ่มสู้สุดตัว ทำให้เกิดอุบัติเหตุการตายเช่นนี้ขึ้นมา ทว่าเขากลับไม่อาจเชื่อ!
เขารู้ดีว่าฉู่ซิ่นและทัพหนานฮวาเกี่ยวข้องกันอย่างไร กล่าวว่าฉู่ซิ่นถูกพวกหนานฮวาเล่นงาน? เดิมทีก็เป็นคำโป้ปดที่ไร้ทางจะทราบความจริง แต่เมื่อฉู่ซิ่นเปิดเผยออกมา เรื่องของเขา…
ก็ย่อมไม่อาจปิดบังไว้ได้แน่!
ทั้งในเวลานี้ คนสนิทของเขาในกองทัพก็ล้วนแต่พบกับ ’อุบัติเหตุ’ ทั้งหมด?
ยามนี้ หากเขารับราชโองการของฮ่องเต้กลับไปทัพหนานเจียงอีกครั้งจริงๆ กลัวเสียแต่ว่า…
คงจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นด้วยอีกคน
——————