บทที่ 70.3 ข้ารู้มาโดยตลอด! (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ดังนั้นจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว รีบแสร้งป่วยเพื่อที่จะสลัดตัวให้พ้นจากภารกิจนี้

ใช้การป่วยหนักหนักมาเป็นข้ออ้าง กระทั้งฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจสงสัยอะไรเขาได้

ฉู่สวินหยางมองดูเขาที่ยังคงเผยใบหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาจึงยิ่งแฝงด้วยความเหน็บแนมขึ้นมา “ก็ใช่ มีโรคบางโรคที่แฝงอยู่ในร่างกายมานาน เมื่อถึงเวลาก็ต้องรีบนำออกมาผึ่งแดดสักหน่อย มิเช่นนั้นก็จะขึ้นราเน่าเสียได้ คล้ายกับต้องการหลีกเลี่ยงจุดจบที่ไม่ตายดี แม่ทัพฮั่ว ท่านอยู่ในกองทัพมาหลายปี คาดว่าโรคที่หลงเหลืออยู่ก็คงจะไม่ได้มีเพียงแค่นี้กระมัง ภายหลังยิ่งต้องระวังให้มาก อย่าได้ให้โรคพวกนี้กำเริบขึ้นมา เพราะเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว…ไอแค่ครั้งสองครั้งก็ใช่ว่าจะสามารถจบเรื่องได้ง่ายๆ”

คำพูดนี้ของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยันถากถาง ทั้งสองคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

ใบหน้าของฮั่วกังดำคล้ำ

เขาก็นับว่าเป็นแม่ทัพที่มากประสบการณ์ผู้หนึ่ง กลับถูกฉู่สวินหยาง เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้พูดจาโจมตีกระแทกกระทั้น?

แม้ว่าเขาอยากจะรักษาท่าทีเอาไว้ ทว่าก็ยังอดกลั้นไม่ไหว เผยใบหน้าหงิกงออยู่บ้าง โทสะพุ่งปรี๊ดขึ้นมาที่หัวทันที

ผ่านไปสักพัก เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก พลางกล่าว “ขอบคุณท่านหญิงที่ตักเตือน!”

“ตักเตือน?” จู่ๆ ฉู่สวินหยางทำท่าคล้ายกับเพิ่งได้ฟังเรื่องขำขันก็มิปาน พลางสั่นศีรษะอย่างนับถือ “ข้าไม่คิดจะพูดเหลวไหลตักเตือนอะไรท่านหรอก เพียงแต่การดูแลของแม่ทัพฮั่วที่มีต่อข้าระหว่างทางไปหนานเจียงครั้งนั้น ทั้งยามนี้ยังให้ท่านมายืนคุยที่นี่กับข้า แค่นี้ข้าซาบซึ้งใจมากแล้ว”

“ท่านหญิงกำลังพูดเรื่องอันใดอยู่ ข้าไม่เข้าใจ!” ฮั่วกังกล่าว ใบหน้าเหลี่ยมนั้นราบเรียบไร้อารมณ์ ท่าทางเคร่งขรึมยังแฝงมาด้วยความแข็งกระด้างเยี่ยงนิสัยแม่ทัพ

เพียงแต่แววตาในวันนี้ของเขาดูมืดมนเกินไป ทำให้ใบหน้าของเขาแฝงไปด้วยไอสังหารที่โหดเหี้ยม

เขารู้ดีว่าฉู่สวินหยางนั้นยากที่จะรับมือ แต่กลับคาดไม่ถึงว่านางจะถึงขนาดเปิดไพ่ของตัวเขาอย่างโจ่งแจ้งที่วังหลวงเช่นนี้

นางหมายความว่าอย่างไร? เป็นการเตือน? การข่มขู่?

ฉู่สวินหยางกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น ไม่สนใจการสำบัดสำนวนของเขา เพียงแค่ทอดสายตามองไปที่ไกลๆ กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังพึ่งใครอยู่ เพียงแค่เพราะว่าในมือของข้ายังไม่มีหลักฐานจะเอาผิดท่านได้ ท่านไม่ยอมรับก็เป็นเรื่องปกติ ในเมื่อท่านอยากจะแบกไว้ก็แบกเช่นนี้ไปก่อนเถิด เบื้องหลังดำมืดที่เหี้ยมโหดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าตัวท่านจะสามารถทำได้ผู้เดียวเสียเมื่อไร หากข้าทำขึ้นมา อาจจะทำได้คล่องมือกว่าท่านเสียอีก!”

แววตาของฮั่วกังสั่นสะท้านเล็กน้อย แววตาแวดระวังมองไปที่นางทันที

ทว่าฉู่สวินหยางกลับหมุนกายไปแล้ว ก้าวเดินออกไปด้วยท่วงท่าสบายๆ

ฮั่วกังมองกระโปรงสีสันสดใสของนาง ทั้งแผ่นหลังที่เหยียดตรง ก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที

ฉู่สวินหยางออกจากวัง นั่งอยู่ในรถม้าของจวน เพื่อรอฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงออกมาอยู่ทางประตูตะวันออก

ชิงเถิงรู้ว่านางกลับมา ก็ตั้งใจตามมา เดิมทีตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วถึงเรื่องในเมืองที่ได้พบได้ฟังในช่วงนี้ ผ่านไปสักครู่ จึงค่อยพบว่าฉู่สวินหยางกลับไม่ได้ตอบรับบทสนทนาของนางแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่ตอบรับ แต่กระทั่งความสนใจสักนิดก็ยังไม่มี เอาแต่นั่งนิ่งเงียบในรถ เหม่อลอยมองดูผืนฟ้าไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา

“ท่านหญิง? ท่านเป็นอันใดหรือเจ้าคะ?” อาการเช่นนี้ของนาง ยากที่จะพบ เมื่อชิงเถิงเห็นอย่างนี้ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา

ฉู่สวินหยางรวบรวบสติกลับมา จู่ๆ ก็กล่าวออกคำสั่งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ช่วงนี้ข้าไม่ต้อนรับแขก ถึงเวลานั้นไม่ว่าผู้ใดจะส่งจดหมายหรือมาหาถึงหน้าประตู ก็ปฏิเสธไปให้หมด ไม่จำเป็นต้องรายงานให้ข้ารู้”

“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว” ชิงเถิงกล่าว อย่างไรนางก็อยู่กับฉู่สวินหยางมาระยะหนึ่งแล้ว จึงรู้นิสัยนางเป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน เพราะว่าท่าทีของฉู่สวินหยางผิดแปลกจากปกติไปมาก ชิงเถิงจึงอดคิดมากไม่ได้ หันซ้ายหันขวามองรอบๆ ท้ายที่สุดสมองพลันสว่างวาบ หลุดปากออกไป “เอ๊ะ เหตุใดบ่าวจึงไม่เห็นได้ยินว่าใต้เท้าเหยียนหลิงกลับมาด้วยเลยเจ้าค่ะ? ไม่ใช่ว่าเขาตามไปเมืองฉู่กับท่านหญิงด้วยหรอกหรือ?”

เพื่อสกัดกั้นข่าวของเหยียนหลิงจวินจากราชสำนักหนานฮวา ดังนั้นหลังจากที่เกิดเรื่องกับเหยียนหลิงจวิน ฉู่ฉีเฟิงก็ออกคำสั่งปิดข่าวเอาไว้ เวลานี้ทางซีเยว่ เนื่องจากเหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยางไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ ข่าวนี้จึงยากที่จะปกปิดอยู่บ้าง คนส่วนมากก็ไม่ได้รู้ละเอียดมากเท่าไร ทราบเพียงแต่ว่าเหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยางออกจากเมืองไปด้วยกัน หลังจากนั้นจนถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมา

พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของฉู่สวินหยางก็หม่นหมองลงโดยไม่รู้ตัว เพิ่งจะปิดตาลงเล็กน้อย ก็ได้ยินองครักษ์ที่ประตูวังทางนั้นกล่าว “องค์รัชทายาท ท่านชาย เดินทางปลอดภัยนะขอรับ!”

ฉู่สวินหยางเห็นเช่นนั้นก็รีบเก็บท่าทีที่ฟุ้งซ่าน กระโดดลงจากรถเข้าไปต้อนรับ “ท่านพ่อ ท่านพี่!”

“อืม!” ฉู่อี้อันที่อยู่ต่อหน้าผู้คนยังคงวางท่าเป็นรัชทายาทที่ยิ้มยากคนหนึ่ง เพียงกล่าวรับด้วยการเอามือไพล่ไว้ที่หลังไปเท่านั้น

ฉู่ฉีเฟิงมองไปบนผืนนภาที่ออกไกลไป ก็กล่าวอย่างสองจิตสองใจ “ท่านพ่อ ถือโอกาสตอนนี้ที่ยังมีเวลาอยู่ ข้าอยากขึ้นไปหาท่านแม่ที่บนเขาเสียหน่อย!”

ฉู่สวินหยางก้มหน้าลงเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่ดูเงียบเชียบขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าไม่อยากแทรกในบทสนทนานี้

“อืม!” ฉู่อี้อันไม่ได้ว่าอะไร ก็ผงกศีรษะทั้งกล่าว “ให้เจี่ยงลิ่วไปเตรียมของนำไปให้นางเสียหน่อย!”

พูดจบก็เดินไปทางรถม้าก่อน

ฉู่สวินหยางมองตามแผ่นหลังเขาไปโดยไม่รู้ตัว ในแววตานั้นกลับเปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด…

แท้จริงแล้ว ท่านพ่อก็รู้เรื่องนี้!

แต่ว่าเขารู้มากเท่าใดกัน? ท่าทีนี้ของเขา ยากที่จะทำให้คนคาดเดาได้เสียจริง

“สวินหยาง?” ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางเหม่อลอย จึงตะโกนเรียกออกไป

“อ่อ!” ฉู่สวินหยางดึงสติกลับมา หันกลับมาส่งยิ้มให้เขาราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น “ข้ารู้สึกอ่อนเพลียนิดหน่อย อยากกลับไปพักกับท่านพ่อแล้ว ท่านพี่ก็เดินทางระวังหน่อย รีบไปรีบกลับ!”

ฉู่ฉีเฟิงเบนสายตามองไปยังใบหน้าของนาง พินิจอย่างลึกล้ำอยู่บ้าง

ครอบครัวพวกเขาทั้งสี่คน ต่างก็รู้กันดีในหลายๆ เรื่อง เห็นได้ชัดว่าใจทุกคนนั้นต่างก็รู้กันอยู่แก่ใจ และเห็นได้ชัดว่าทุกคนก็ล้วนรู้ดีว่าคนอื่นๆ ก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกัน แต่กลับยังคงต้องแสดงละครต่อหน้ากันและกันเช่นนี้

สถานการณ์อย่างนี้ จริงๆ แล้ว…

เป็นเรื่องยากที่จะพูด

ในใจคิดลังเลแล้วลังเลอีก ท้ายที่สุดฉู่ฉีเฟิงก็ไม่ได้พูดอันใด เพียงเผยรอยยิ้มกลับไปให้นาง “ได้! เจ้ากลับไปก่อนเถิด!”

“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า

ฉู่ฉีเฟิงบังคับม้าหมุนไปอีกด้าน กำชับเจี่ยงลิ่วให้กลับจวนไปเตรียมเสื้อผ้าและสิ่งของ ส่วนตัวเขานั้นจะล่วงหน้าไปอารามเมตตาก่อน

ฉู่สวินหยางทอดสายตามองเขาจากไปแล้วจึงค่อยหมุนกายเบนสายตากลับมายังข้างรถม้า กลับพบถึงความผิดปกติ

“ฝ่าบาทกล่าวว่าง่วงนอน จึงจะนั่งรถม้ากลับไปกับท่านหญิงเจ้าค่ะ” ชิงเถิงอธิบาย

ฉู่สวินหยางเมื่อเข้าใจแล้ว ก็ขึ้นรถม้าไป พบว่าฉู่อี้อันนั่งอยู่ในนั้นจริงๆ

“ไม่ใช่ท่านพ่อเอาแต่พูดว่าไม่ยอมแก่หรอกหรือ? เหตุใดวันนี้จึงรู้สึกเหนื่อยเป็นกับเขาล่ะ?” ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปทั้งยิ้มหยีตา หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ เขา พลางกอดแขนเขาไว้หนึ่งข้าง

รอยยิ้มของนางยังคงสดใสเช่นเคย แต่หากมองให้ลึกลงไปกลับไม่ได้สดใสหมดจดดังเช่นวันก่อนๆ แล้ว

ผู้อื่นอาจจะมองไม่เห็นถึงความผิดปกตินี้ ทว่าในฐานะที่เป็นพ่อ ฉู่อี้อันกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจน

ในดวงตาของเขาปรากฏความรู้สึกความจนใจและเอ็นดู ปล่อยให้นางพิงไหล่ของเขา ก่อนจะยกมือลูบหลังนางอย่างอ่อนโยน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใครใช้ให้เจ้าไม่ฟังพ่อกัน ดึงดันจะไปให้ได้ เป็นอย่างไร? รู้สึกเสียใจหรือไม่?”

————————–