บนเรือเหาะ

จ้าวควนถูกควบคุมตัวเอาไว้ได้โดยสิ้นเชิง

“ทำไม? คงไม่คิดว่าจะต้องมาจบลงในสภาพแบบนี้ เลยมิได้เตรียมคำตอบไว้ล่ะสิใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถาม

จ้าวควนอ้าปากกว้าง แต่สุดท้ายก็หุบลง

กู่ฉิงซาน “งั้นไม่เป็นไร… ในเมื่อเจ้าไม่บอก ข้าคงต้องค้นมันด้วยต้นเอง!”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็เอื้อมมือออกไป และกดลงเบาๆ บนหน้าผากของจ้าวควน

เปิดใช้งานเทคนิคค้นวิญญาณ!

หน้าผากของจ้าวควนพลันสะท้อนประกายแสงจรัส กระแทกสวนเข้าใส่ฝ่ามือของกู่ฉิงซานโดยตรง

เส้นแสงสีทองลึกลับปรากฏขึ้นบนหน้าผากของจ้าวควน ยังมี! กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เริ่มพวยพุ่งออกมาจากภายในแสงสีทองที่ว่านั่น

นี่มันลายลักษณ์เทวะ!

จ้าวควนถุยก้อนเลือดจากปาก หัวเราะเสียงดัง “เฉินหยาง เจ้าต้องการที่จะค้นวิญญาณข้าอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ”

สีหน้าของกู่ฉิงซานผิดแผกไป เขาคำรามเสียงต่ำ “ที่แท้เจ้าก็หันไปยอมสยบต่อเทพวิญญาณ! เจ้าเป็นศิษย์อันดับหนึ่งแห่งนิกาย และยังได้รับสืบทอดเป็นปรมาจารย์นิกายคนต่อไป เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้!”

จ้าวควนกล่าวด้วยความเกลียดชัง “ปรมาจารย์นิกายนับเป็นสิ่งใด! นั่นมันไร้สาระ! ท่านอาจารย์เพียงต้องการให้ข้าทุ่มเททำงานทั้งวันคืนต่างหาก!”

เขาคำรามลั่น “ทราบหรือไม่ ว่าเขาไม่ส่งต่อวิถีนักดาบนิรันดร์แก่ข้า แม้กระทั่งกฎเกณฑ์แห่งนักดาบนิรันดร์ก็ไม่ยอมสืบทอดมา!”

“เฉินหยาง เจ้าสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกของข้าได้หรือไม่? เมื่อใดก็ตามที่ข้าเห็นนักดาบนิรันดร์คนอื่นๆ ควบคุมดาบบิน ทว่าข้ากลับทำได้เพียงแค่ใช้ดาบยาวเข้าสู้เท่านั้น ในทางกลับกัน ข้าดันเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของนิกาย เคยสังเกตเห็นถึงสายตาที่ทุกคนมองข้าหรือไม่ ข้าจำต้องกล้ำกลืนความน่าสมเพชนี้เอาไว้ เจ้าไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของข้าหรอก!”

กู่ฉิงซานชะงักงัน เปล่งเสียงอธิบายอย่างช้าๆ “หากคิดเป็นนักดาบนิรันดร์ จำต้องค้นหาเส้นทางสู่มันด้วยตนเอง เรื่องนี้ไม่มีใครสามารถสอนสั่งได้ เพราะนั่นเป็นเส้นทางของเจ้าเอง เรื่องแค่นี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ?”

จ้าวควน “ข้าเข้าใจ แน่นอน ข้าทราบดีทุกสิ่ง แต่มันเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว เฉินหยาง มันเนิ่นนานกว่าสามสิบปี! ที่แท้ฐานวรยุทธ์ของข้าจักเพิ่มพูนขึ้นต่อเนื่อง เหนือล้ำยิ่งกว่าสาวกคนใด แต่แท้จริงกลับมิอาจบรรลุนักดาบนิรันดร์ เจ้าเข้าใจความรู้สึกนี้หรือไม่?”

“ข้าเข้าใจ” กู่ฉิงซานกล่าว

จ้าวควนขู่ฟ่อ “เจ้าโกหก!”

“ทุกคนต่างกล่าวว่าจ้าวควนน่ะกำลังวุ่นอยู่กับกิจการของนิกายทุกวี่วัน ดังนั้นการฝึกฝนดาบจึงล่าช้า แต่พวกเขาไม่เคยทราบเลย ว่าข้าฝึกฝนดาบหนักหนาสาหัสเพียงใด”

“ทว่าผลลัพธ์กลับเลวร้าย! ใช่ มันเลวร้าย!! ภายใต้ความพยายามแสนสาหัสของข้า ไม่ว่าในกรณีใด ข้าก็มิอาจควบคุมดาบด้วยจิตนึกคิดได้ -เหตุนี้เองข้าจึงทำลายวิถีดาบเดิม และเปลี่ยนมาเป็นวิถีแห่งดาบใหม่ ทว่ามันก็ยังไร้ประโยชน์!”

“ทำลายวิถีดาบเดิม…”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ต้องขมวดคิ้ว

จ้าวควนกล่าว “เฉินหยาง ข้าเป็นผู้ฝึกดาบ และเส้นทางของผู้ฝึกดาบนั้นสาหัสนัก มันจำต้องปฏิเสธวิถีอื่นๆ ไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถเบนเข็มสู่ความเชี่ยวชาญในแขนงอื่นๆ ได้ เจ้าทราบหรือไม่ว่าเพราะเรื่องนี้ มันทำให้ข้าอยากจะฆ่าตัวตายไปแล้วกี่ครั้ง?”

เขาหัวเราะออกมาทันใด เลือดสดๆ ไหลย้อยลงจากใบหน้าของเขา เผยสภาพที่ดูน่าหวาดกลัวและคลุ้มคลั่ง

“ยิ่งนานวัน ข้าก็ยิ่งมิอาจทานทนต่อผลลัพธ์นี้ได้ ดังนั้นจึงเดินทางไปร้องขอเทพวิญญาณเป็นการส่วนตัว แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เจ้าพอจะเดาได้ไหม?”

“ปรากฏว่าหลังจากนั้น กระบวนการทั้งหมดช่างง่ายดายยิ่ง! มันเกินกว่าที่จักสามารถจินตนาการนัก–ข้าได้รับการถ่ายทอด สามารถเรียนรู้เทคนิคในการควบคุมดาบโดยตรง!”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงหันไปเลียแข้งเลียขาเทพวิญญาณ”

“เลียแข้งเลียขาแล้วอย่างไร นิกายนับเป็นสิ่งใด ข้าไม่สน ยามนี้ ข้าเพียงได้รับคำสั่งจากเทพวิญญาณ ว่าจะต้องล้างบางนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกจนสิ้น เหล่าลูกศิษย์ลูกหาที่ออกเดินทางไปล่วงหน้า หวงซาน ตัวเจ้า และบุตรสาวอาจารย์เองก็ไม่มีละเว้น พวกเจ้าทุกคนมิอาจหนีรอดไปได้!”

ในหัวใจของกู่ฉิงซานหนักอึ้ง เขาเร่งถามอย่างรวดเร็ว “เหล่าสาวกที่ออกเดินทางไปก่อนหน้านี้…เจ้าทำอะไรลงไป?”

สีหน้าของจ้าวควนเผยถึงความภาคภูมิ “ข้าจ้าวควนคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกาย ดังนั้นย่อมมีหลายสิ่งที่มันจำต้องผ่านมือข้า เจ้าลองคาดเดาดูสิว่า ข้าใช้วิธีใดในการจัดการเรื่องนี้?”

กู่ฉิงซานถลึงตามองอีกฝ่าย ในหัวใจของเขาโศกเศร้าเล็กน้อย

โลกแห่งผู้ฝึกยุทธในสมัยของเขานั้นอ่อนแอยิ่ง พวกเขาไม่รู้กระทั่งการเดินทางข้ามผ่านระหว่างโลก ส่งผลให้มักจะถูกเผ่ามารรุกราน กดดันอยู่บ่อยๆ

ทว่าหากหนึ่งในสาวกเหล่านี้ของโลกสวรรค์สามารถหลบลี้จากเภทภัยนี้ไปได้ คนรุ่นต่อๆ มาในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธคงไม่พบจุดจบเช่นนั้น

ดูเหมือนว่าในกรณีนี้ แม้ว่าเฉินหยาง แท้จริงจะสามารถหลบหนีไปได้ แต่เกรงว่าเขาคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยืนยาว

มิฉะนั้นศาสตร์ของนักสู้หวูเต๋าของเขาก็คงจะได้รับการสืบทอดต่อๆ กันมาแล้ว

จ้าวควนจงใจกล่าว “รอก่อนเถอะ อีกไม่นานทวยเทพจะส่งคนมาตามล่าสาวกเหล่านั้น และจะไม่มีใครสามารถรอดพ้นไปได้”

“เฉินหยาง ข้าส่งมอบดาบพิภพให้แก่เทพวิญญาณไปแล้ว เทพวิญญาณปลื้มปีติถึงขั้นมอบพลังแห่งชีวิตให้แก่ข้า แม้ข้าจะตกตาย จิตวิญญาณของข้าก็จะกลับไปหาเทพวิญญาณ ทั้งหมดที่เจ้ากำลังทำตอนนี้ ล้วนเป็นความพยายามที่สูญเปล่า”

กู่ฉิงซานมองเขา ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกแปรปรวนในหัวใจ

“ไม่เป็นแบบนั้นหรอก”

แล้วเขาก็เรียกไม้เท้ามนตราออกมาจากในความว่างเปล่า

-เป็นไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูต

ไม้เท้าง้างสูงขึ้น

กระแทกลง!

จ้วงทะลวงไป!!

จ้าวควนที่ถูกแทงโดยไม้เท้ามนตรา ทั้งคนทั้งร่างกระตุกเร่า ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง

เลือดพรั่งพรู

สาดกระจายไปทั่ว

น้ำเสียงของกู่ฉิงซานกลายเป็นเย็นชา “เจ้ารู้สึกหรือไม่? นี่ความเจ็บปวดจากการทรยศต่อทุกคน”

“มันช่างน้อยนิดยิ่ง” จ้าวควนอ้าปากหอบหายใจ “เพราะอย่างไรซะ หลังจากนี้ข้าย่อมฟื้นคืนชีพ และจากนั้นข้าก็จะขอให้เทพวิญญาณไปรับเอาดวงจิตของเจ้า และลงทัณฑ์ทรมานเจ้าตลอดไป!”

กู่ฉิงซานเงียบลง

เขาถอนหายใจ “จ้าวควน เห็นว่าเจ้ากำลังจะตาย ข้าเลยอยากจะบอกอะไรให้สักสองสามคำ”

“ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เจ้ากำลังไล่ไขว่คว้าอยู่มันมิใช่ทักษะดาบ หากแต่เป็นชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของวิถีดาบ ที่จักได้รับหลังกลายมาเป็นนักดาบนิรันดร์ต่างหาก”

“ถ้าเจ้ามุ่งมั่นที่จะไล่ตามทักษะดาบอย่างสุดหัวใจจริงๆ ไหนเลยทำลายวิถีดาบดั้งเดิม ไหนเลยจักไปวิงวอนอ้อนขอพลังต่อเทพวิญญาณ?”

“ผู้ฝึกดาบน่ะ จะไม่ไล่ตามพลังจากภายนอกแบบนั้น”

“พลังของดาบจะต้องมาภายส่วนลึกที่สุดภายในจิตใจของเจ้า และพลังเช่นนี้เองที่จักจุดประกายเป้าประสงค์ของเจ้าได้”

หลังจากได้ฟัง จ้าวควนก็กระอักเลือดอีกครั้ง หอบหายใจ อ้าปากเปล่งเสียงตอบกลับอย่างไม่ยินยอม “น้ำหน้า…อย่างเจ้า…น่ะหรือ…มา…สอนสั่ง…ข้า?”

เขาส่ายหัวด้วยความดูหมิ่น

กู่ฉิงซานมองอีกฝ่าย ไม่ขยับกายเคลื่อนไหวใดๆ

อย่างไรก็ตาม มันกลับปรากฏดาบบิน โผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ

มิผิดแล้ว เป็นดาบบินจริงๆ!

จ้าวควงเบิกตากว้าง ทั้งคนทั้งร่างแข็งค้างไปพักหนึ่ง มิอาจยอมรับภาพตรงหน้าเขาได้

“จ้าวควน จงไปเรียนรู้ ฝึกฝนทักษะดาบในชาติหน้าเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

เขากุมไม้เท้าแห่งการจองจำ และจ้วงแทงอย่างรุนแรง

จ้าวควนพ่นหมอกเลือดคำสุดท้าย ไม่ยินยอมที่จะสูญสิ้นชีวิตไป

แต่ทันใดนั้นเอง ร่างศพของเขาก็เรืองแสงสีทองขึ้น

ลายลักษณ์สีทองพวยพุ่ง และเริ่มยกร่างศพของเขา

เมื่อเห็นว่าร่างกายของจ้าวควนกำลังจะหายไปจากเรือเหาะ-

กู่ฉิงซานก็ชูไม้เท้าแห่งการจองจำ และเปิดใช้งานสกิล กระจายวิญญาณ ทันที

“เทคนิคลับแห่งไม้เท้า กระจายวิญญาณ”

“คำอธิบาย ราชาภูตสามารถใช้อำนาจของไม้เท้า สังหารคนตายคนใดก็ตามที่ไม่เชื่อฟัง และวิญญาณของคนตายที่ถูกสังหารก็จะกระจายตัวออก แปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน หนุนเสริมอำนาจให้แก่ตัวไม้เท้า”

เปรี้ยง!

แสงสีดำจากตัวไม้เท้า แทงทะลุเข้าใส่ร่างของจ้าวควน

ในเวลาเดียวกัน แสงสีทองก็เริ่มสว่างไสว

สองแสงเริ่มยื้อยุทธกันและกัน

แต่เห็นได้ชัดว่าแสงสีทองมิใช่คู่ต่อสู้ของแสงสีดำ เพียงไม่นาน มันถูกกลืนกินไปโดยแสงสีดำอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานเลิกคิ้วสูง

หกวิถีแห่งสังสารวัฏ ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดของทวยเทพในสมัยโบราณ ขณะเดียวกันไม้เท้าแห่งการจองจำเองก็สามารถบดขยี้อำนาจจากลายลักษณ์เทวะได้อย่างกะทันหัน

ในเสี้ยววินาที

สายลมที่เป็นดั่งภาพติดตา ก็ม้วนเอาแสงสีทองจมหายเข้าไป

ตัวไม้เท้าได้รับสิทธิ์ในการจัดการกับร่างศพแล้ว!

และภาพลวงตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

เป็นจ้าวควน

สีหน้าของจ้าวควนกำลังแสดงออกถึงความอลหม่าน เขาจ้องมองคทาในมือของกู่ฉิงซาน บื้อใบ้มิอาจเอ่ยคำใดได้โดยสมบูรณ์

“ขอโทษที ข้าพูดผิดไป เกรงว่าชาติหน้าเจ้าคงไม่ได้เรียนรู้ทักษะดาบได้อีกแล้ว”

ว่าจบ กู่ฉิงซานก็ดูดวิญญาณของจ้าวควงลงไปในไม้เท้าแห่งการจองจำ

“เพราะเจ้าจะมิอาจได้รับชีวิตต่อไปอีกตลอดกาล”

พริบตานั้นจิตวิญญาณแผดเสียงร้องขมขื่น มันถูกบังคับให้แหลกสลายโดยไม้เท้า และดึงดูดเข้าไป

ภายในไม้เท้าแห่งการจองจำ ได้ยินเพียงเสียง กรุบกรับเล็กๆ น้อยๆ คล้ายกับว่ากำลังขบเคี้ยวอยู่

แต่กู่ฉิงซานไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเก็บไม้เท้ากลับคืน

จ้าวควนตายไปแล้ว

กู่ฉิงซานลองค้นศพอีกฝ่าย แต่แท้จริงแล้วกลับไม่พบถุงสัมภาระหรือสิ่งใดเลย

พบแค่เพียงใบหยกกับดิสก์ค่ายกลหนึ่ง เหมือนว่าสมบัติอื่นๆ จ้าวควนจะนำไปซ่อนไว้

ดิสก์ค่ายกลนี้มันดูเหมือนกันกับดิสก์ค่ายกลที่ใช้รับส่งสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ของกู่ฉิงซานทุกประการ

กู่ฉิงซานก้มลงมองใบหยก

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นใบหยกพิทักษ์กายาของผู้นำนิกาย

กลับกลายเป็นว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่เฉินหยางได้ครอบครองใบหยกและดิสก์ค่ายกลรับส่ง

อย่างไรก็ตาม เกรงว่าเฉินหยางคงต้องประสบกับการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงยิ่งกว่าที่กู่ฉิงซานพบเผชิญแน่ๆ

กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมัน ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงคำรามมาจากส่วนลึกของกระแสมิติอันโกลาหล

แสงสีทองสดใสอันรุ่งโรจน์สาดสว่างขึ้นในความว่างเปล่า และค่อยๆ ใกล้เข้ามาจากในส่วนลึกของความโกลาหล

นั่นมันคืออำนาจของเทพวิญญาณ!

กู่ฉิงซานมองไปที่ร่างศพของจ้าวควน

เขาคาดว่าการแกะรอยของเทพวิญญาณ มันจะต้องเกี่ยวข้องกับร่างศพของจ้าวควนอย่างแน่นอน

กู่ฉิงซานกำลังจะโยนร่างศพลงไปสู่กระแสมิติอันโกลาหล แต่ก็ทันหันไปเห็นแสงริบหรี่ กะพริบไหวท่ามกลางกระแสมิติเป็นดาบพิภพ

“เฉินหยาง รีบจับข้าไว้เร็วเข้า ข้าจะพาเจ้าหนีไปเอง!”

เสียงหนักทึบดั่งขุนเขาของดาบพิภพดังขึ้น

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องคว้าจับมัน

แล้ววินาทีต่อมา ภาพทั้งหมดก็หายไป

……………………