ตอนที่ 737 ได้รับสิทธิ์ค้นหาดาบนภา

Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

เขาค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง

รอบตัวเป็นอาคารที่แตกร้าว ทรุดโทรมทอดยาวจากตีนเขาไปจนถึงยอดเขา

แม้วังบางแห่งจะถูกทิ้งร้างมานานปี ทว่ามันกลับยังคงเปล่งแสงสวรรค์ออกมาเล็กน้อย  ส่งผลให้ยังดูหรูหรา และยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม เห็นได้ชัดว่ายังคงถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยค่ายกลกำจัดฝุ่น

ค่ายกลกำจัดฝุ่น สามารถทำงานได้โดยการดูดซับพลังงานทางจิตวิญญาณจากสวรรค์และโลก นำมาหมุนเวียน ดังนั้นแม้จะข้ามผ่านสายธารแห่งประวัติศาสตร์มานานปี แต่มันก็ยังคงสภาพเอาไว้ได้

กู่ฉิงซานถอนสายตาของเขากลับ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ มีวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา และมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ขอเรียนถาม…” กู่ฉิงซานกำลังจะประสานมือ

“ไม่จำเป็นต้องถาม นี่ข้าเอง เต่ายักษ์ไง จำมิได้หรือ?” วัยรุ่นกล่าว

กู่ฉิงซานเบนตาลงมองกระดองเต่าบนแผ่นหลังอีกฝ่าย และพยักหน้า “เป็นท่านอาวุโ…”

วัยรุ่นขัดจังหวะเขา “อาวุสงอาวุโสอันใด ข้าอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น ดูรูปลักษณ์ข้าสิ เห็นไหมว่าข้ายังเด็กนัก ดังนั้นนับจากนี้ไปจงเรียกข้าว่า เต่าหนุ่ม หรือจะเต่าน้อยก็ได้ มันฟังดูดีกว่า”

กู่ฉิงซาน “…”

เต่าน้อยโยนสิ่งหนึ่งให้เขา

“เจ้าทำได้ดีกว่าเฉินหยาง ดังนั้น เจ้าจึงผ่านการทดสอบ และได้รับรางวัลเป็นใบหยกของสาวก”

กู่ฉิงซานก้มลงมองใบหยกในมือของเขา

และค้นพบว่า ในใบหยก มันฟุ้งไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณอันน่าอัศจรรย์ใจ เพียงวางลงบนฝ่ามือ ก็ปรากฏหมอกสีขาวพรั่งพรูออกมาตลอดเวลา

ทว่ารูปทรงของใบหยกนี้มันค่อนข้างแปลก เพราะแลดูคล้ายกับอักษรรูนที่เสียหายซะมากกว่า

“ไม่เอาน่า อย่ามองมันแบบนั้น เพราะเจ้าผ่านการทดลองเบื้องต้นแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ เจ้าสามารถเป็นสาวกของวังสวรรค์เมฆาวิเวก และเริ่มฝึกยุทธได้” เต่าน้อยกล่าว

“ฝึกยุทธอันใด?” กู่ฉิงซานถามแปลกๆ “ข้ามาที่นี่เพื่อต้องการตามหาดาบนภาต่างหาก”

“ข้ารู้” เต่าน้อยมองเขาด้วยแววตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง “ทว่าความแข็งแกร่งของเจ้ามันอ่อนแอเกินไป เจ้ายังคงไม่สามารถใช้ดาบนภาได้ เลยทำได้เพียงฝึกยุทธก่อนเป็นอันดับแรกเท่านั้น”

“ซึ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว การได้ถูกส่งกลับไปยังโลกสวรรค์ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตของเจ้า เจ้าสามารถฝึกฝนเทคนิคเต๋าในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด และเสริมสร้างความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว”

“เช่นนั้น ข้าต้องฝึกยุทธถึงขอบเขตใดกัน จึงจะสามารถออกตามหาดาบพิภพได้?” กู่ฉิงซานถาม

“นับตั้งแต่ที่เจ้าได้รับใบหยกสาวก เจ้าก็ต้องเป็นสาวกอันดับหนึ่งในรุ่นนั้นเสียก่อน เจ้าจึงจะได้รับโอกาสในการค้นหาดาบนภา”

เขายื่นมือออกไป และแตะลงเบาๆ บนใบหยก

คลื่นความผันผวนที่มองไม่เห็นแพร่กระจายจากใบหยกไปทุกทิศทาง

เต่าน้อยกล่าวว่า “จดจำเอาไว้ให้ดี แม้ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังจะพบเผชิญ จักเป็นเพียงภาพทับซ้อนในสมัยโบราณ แต่กฎเกณฑ์แห่งโลกย่อมเชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้น หมายความว่าความแข็งแกร่งที่เจ้าได้รับจากการฝึกยุทธ ย่อมสามารถนำมันกลับมาได้เช่นกัน”

“นั่นหมายความว่าที่ข้าสมควรทำ มีแค่ฝึกยุทธก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เต่าน้อยส่ายหัว และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงก็ใช่ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถเข้าร่วมกับวังสวรรค์เมฆาวิเวก เพื่อฝึกฝน ทว่าหากไม่สามารถเข้าร่วมได้ ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาเช่นกัน”

“หมายความว่าข้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปฝึกยุทธกับทางวังสวรรค์ก็ได้งั้นหรือ?” กู่ฉิงซานสงสัย

เต่าน้อยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ว่าจะเข้าร่วมกับนิกายใด แท้จริงแล้วล้วนมีโอกาสค้นหาดาบนภาทั้งนั้น แต่เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้เจ้าไม่ได้รับสิทธิ์ในการค้นหาดาบนภา ทว่าด้วยประสบการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวที่เจ้าได้รับ ก็นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวดแล้ว”

กู่ฉิงซานกำลังจะกล่าวถามต่อ ทว่าใบหยกพลันเปล่งประกายสดใสเสียก่อน

มันรับเอากู่ฉิงซานเข้าไปในความว่างเปล่า และกลืนหายวับไป

สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แสนสดชื่น และสายลมเบาๆ ชวนให้ผู้คนรู้สึกสุขสบาย

ภูเขาที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ผืนป่าสีเขียวขจี สะพานขนาดเล็กที่ทอดยาว และทะเลสาบที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันขาวฟุ้ง

ช่วงเวลานี้ ชัดเจนว่าเป็นช่วงเช้ามืด

เด็กๆ ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสะอาด กำลังยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เข้าแถวอยู่หน้าประตูวิหารในภูเขา เฝ้ารอการคัดเลือกของนิกาย

เด็กแต่ละคนล้วนได้รับสิทธิ์ในการฝึกยุทธ

แม้ว่าบางคนจะเกิดมาโดยไม่มีรากวิญญาณก็ตาม แต่เทพวิญญาณจักยังคงประทานเม็ดยา มอบให้สำหรับพวกเขาเพื่อปลูกฝังรากวิญญาณที่สามารถสอดรับกับธาตุทั้งห้าได้

นั่นหมายความว่าย่อมไม่มีใครถูกทอดทิ้ง

เทพวิญญาณต้องการกำลังคนจำนวนมากในการต่อสู้ ขณะเดียวกัน มนุษย์ก็กระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งขึ้น

กล่าวได้ว่านี่คือยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ที่สุด

กู่ฉิงซานกางสองมือออก ก้มหน้าเบนสายตาลงบนมือของเขา

เจ้าตัวไม่รู้ว่าสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เพราะเวลานี้ มือของเขาได้กลายเป็นสีขาวผ่อง นุ่มนวล ราวกับว่าไม่เคยผ่านการตกระกำลำบากมาก่อน

อันที่จริง สภาพเขาในตอนนี้ ได้กลายเป็นเด็กอายุประมาณหกถึงเจ็ดปีไปแล้ว

เขากำลังยืนต่อแถวกับเด็กคนอื่นๆ เพื่อทำการเลือกนิกาย

และแน่นอน ว่าฐานวรยุทธ์ย่อมถูกล้มล้าง กลับกลายเป็นศูนย์

ปัจจุบันนี้ ตนเองเพียงสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังวิญญาณจางๆ ในอากาศเท่านั้น ส่วนตันเถียน มันว่างเปล่าโดยสมบูรณ์

แต่โชคยังดี ที่พลังศักดิ์สิทธิ์ และสองดาบยังคงอยู่กับเขา

และทั้งความทรงจำหรือประสบการณ์ต่อสู้เอง ก็มิได้ถูกพรากจากไป

ท่ามกลางเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ หากไม่นับเรื่องพลังวิญญาณ ภายในกายเขามันไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ในแถว เฝ้ารอเวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบๆ

ไม่นานนัก

บางคนก็ตะโกนมาจากระยะไกล “กลุ่มที่ห้าสิบเก้าเข้ามาในลานวิหารเต๋าได้”

กู่ฉิงซานเดินตามเด็กคนอื่นๆ ในแถวเดียวกันเข้าไปสู่ลานวิหารเต๋าตามลำดับ

ทันทีที่เข้ามา วิสัยทัศน์ของเขาก็ส่องสว่างวาบ

เขาค้นพบว่าตลอดทั้งวิหารเต๋ากว้างขวางนัก มันสามารถรองรับผู้มาเยือนได้ถึงหลายพันคน

ใจกลางวิหาร เป็นลานจัตุรัสที่ว่างเปล่า ซึ่งมีไว้เพื่อให้เด็กๆ ก้าวไปข้างหน้า แสดงความถนัดของพวกเขา

โดยมีนิกายต่างๆ ห้อมล้อมอยู่นอกจัตุรัส

เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า ลอยล่องไปด้วยเมฆหลากสีสันสดใส

เมฆเหล่านี้ ลอยนิ่งอยู่บนท้องฟ้า

ผู้ฝึกยุทธยิ้มให้เด็กๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “จากซ้ายไปขวา เริ่มได้”

ทุกคนต่างหันไปมองตามเด็กทางซ้ายสุดคนแรก

เด็กที่ไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เริ่มรู้สึกประหม่า เขากระวนกระวาย ยืนนิ่งอยู่กับที่ เนิ่นนานมิกล้าเคลื่อนไหว

แต่แล้วในที่สุด ก็ถูกเสียงของผู้ฝึกยุทธกระตุ้น เจ้าตัวเร่งก้าวไปข้างหน้า และหยุดยืนอยู่กลางจัตุรัส

ไม่นานนัก แสงจากเมฆสีสันสดใสก็สาดลงมา เข้าปกคลุมตัวเด็กเอาไว้

ขณะเดียวกันนั้นเอง

แท่งไม้สั้นๆ ก็ตกลงมาจากฟากฟ้า และลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้าเด็กอย่างเงียบๆ

บรรดาอาวุโสของแต่ละนิกาย เริ่มเบิกตามอง

แต่แล้วผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม กวักมือเรียกเด็กน้อย “มาเถอะเจ้าหนู เจ้าได้รับไม้กายสิทธิ์ของนิกายข้า และจักได้กลายเป็นผู้ใช้มนตราในอนาคต”

เด็กคนนั้นคว้าจับไม้สั้น และวิ่งไปทางชายชราด้วยความดีใจ

จากนั้น เด็กคนที่สองก็ก้าวออกมาข้างหน้า

เขาหยุดยืนใจกลางจัตุรัส แสงจากเมฆหลากสีสันสาดลงมา ตามต่อด้วยของสามสิ่งที่ตกลง

เป็นไม้เท้า มีดสั้น และพัด

ผู้อาวุโสของทั้งสามนิกายมองเขาด้วยความสนใจ

อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยยังคงยืนจ้องทั้งสามสิ่งเบื้องหน้าอยู่นาน ไม่ทราบว่าควรเลือกชิ้นใดดี

ผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบในพิธีกล่าว “เพียงเลือกมาหนึ่งที่ใจเจ้าปรารถนา”

เด็กน้อยจึงค่อยเอื้อมมือไปคว้าจับมีดสั้น และโบกมันไปมาด้วยความตื่นเต้น

ไม้เท้ากับพัด เมื่อไม่ถูกเลือก ก็บินกลับไปข้างบนเมฆหลากสีสันทันที

ชายชราคนหนึ่งเรียกเขา “มานี่สิ เจ้าได้รับมีดของข้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นศิษย์ของนิกายข้านับจากนี้ไป”

เด็กน้อยกุมมีดสั้น และวิ่งไปทางผู้อาวุโสนิกาย

การคัดเลือก ยังคำดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

เด็กคนที่สามก้าวออกมาข้างหน้า

เด็กคนนี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยดิสก์ค่ายกลกว่าแปดชิ้น ใช้เวลาเล็กน้อย สุดท้ายเลือกหนึ่งในนั้น

อีกหนึ่งอาวุโสรับตัวเขาไป

เด็กคนที่สี่ เป็นเด็กสาวตัวน้อย

เมื่อเธอเดินมายืนอยู่ใจกลางจัตุรัส ร่างของเธอก็พลันเปล่งแสงสีฟ้าออกมาทันที

เมฆหลากสีสันสาดแสงปกคลุมร่างของเธอ

พริบตาใน วัตถุกว่าหกสิบชิ้นพลันร่วงหล่น ลอยมาอยู่เบื้องหน้าของเธออย่างเงียบๆ

วินาทีนั้นเหล่าผู้อาวุโสต่างเริ่มกระซิบกระซาบ

พวกเขาเริ่มที่จะแก่งแย่ง เพื่อชิงเด็กสาวคนนี้มาอยู่กับนิกายตนเอง

ผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบในพิธีก้าวขึ้นมา และเอ่ยถามเด็กสาวตัวน้อย “หากเป็นในกรณีนี้ จะ…เจ้าสามารถเลือกได้เลยว่าต้องการเข้าร่วมกับนิกายใด”

เด็กสาวตัวน้อยพยักหน้าและกล่าว “นิกายวารีปริศนา”

นิกายวารีปริศนา คือนิกายผู้ใช้เทคนิคมนตราธาตุน้ำที่แข็งแกร่งที่สุด นอกจากนี้ยังได้รับคำแนะนำเป็นการส่วนตัวจากเทพวารี เป็นนิกายที่มีชื่อเสียงอย่างมาก

ข้อพิพาทยุติลงทันที

สาวงามในชุดกิโมโนยิ้มกว้าง และกวักมือเรียกเด็กสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม

เด็กสาวตัวน้อยมองผู้ฝึกยุทธในพิธี หลังจากได้รับอนุญาต เธอก็วิ่งไปทางสาวงามชุดกิโมโนด้วยความสุข

ถัดมา เป็นตาของกู่ฉิงซาน

เขาก้าวเดินมาไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ยืนอยู่ท่ามกลางจัตุรัส

วินาทีนั้น ระหว่างสวรรค์และโลกพลันบังเกิดคลื่นความผันผวนอันน่าอัศจรรย์ขึ้น

คลื่นความผันผวนที่มองไม่เห็นนี้ คืบคลานเข้ามาในจิตใจของเขา คล้ายกำลังสำรวจสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงความผันผวนนี้ ในหัวใจของเขาบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก

นั่นเพราะต่อมาในคนรุ่นหลัง มันไม่ได้มีวิธีการคัดเลือกที่ซับซ้อนเช่นนี้ เพื่อช่วยให้เด็กๆ สามารถเลือกก้าวเดินในหนทางที่ดีที่สุดแต่แรกได้

เต่ายักษ์บอกกับเขาว่า ไม่สำคัญว่าจะเข้านิกายใด อย่างไรเขาก็ย่อมได้รับโอกาสที่จะค้นหาดาบนภาอยู่ดี

ทว่าเมื่อลองย้อนนึกไปถึงฉากก่อนหน้านี้ ฉากในวังสวรรค์ เขาจดจำได้ว่าอาจารย์วังเป็นผู้ฝึกดาบที่ทรงอำนาจยิ่ง

ต้องไม่ลืมนะว่าเขาสามารถสะกดข่มเทพวิญญาณได้กว่าครึ่ง…

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และเห็นว่าเมฆหลากสีสันยังคงนิ่งงัน

บังเกิดความคิดผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา

‘เอาดาบ… จงมอบดาบมาให้ข้าสิ’

วินาทีต่อมา คลื่นความผันผวนในร่างกายเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เห็นแค่เพียงเมฆหลากสีนับร้อยก้อนสั่นไหวเล็กน้อย

ทันใดนั้นเอง ดาบเล่มหนึ่งก็ร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า ลอยนิ่งอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

ตัวดาบยาวส่งเสียงฮึมฮัมต่ำๆ

นี่คล้ายเหมือนเป็นสัญญาณเรียกขาน

ดาบยาวอีกเล่มพลันย้อยตกลงมาจากก้อนเมฆ ลอยมาอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน

หลังจากนั้นหลายลมหายใจ

ฉากอันน่าตื่นตะลึงก็ปรากฏขึ้น!

ดาบยาวเล่มแล้ว เล่มเล่าทยอยกันร่วงหล่น ลอยเรียงราย ล้อมรอบกู่ฉิงซาน จัดขบวนกันเป็นวงกลม ซ้อนกันไปชั้นแล้วชั้นเล่า

ประมาณโดยรวมแล้วเป็นดาบยาวทั้งสิ้นนับพันเล่ม!

พวกมันต่างฮึมฮัมเสียงต่ำอย่างพร้อมเพรียง คล้ายกับว่ากระตือรือร้นอยากจะเป็นที่หมายปองของกู่ฉิงซาน

เหล่าเด็กน้อยที่ยืนอยู่โดยรอบกลายเป็นโง่งม

บรรดาอาวุโสต่างผุดลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ผู้ฝึกยุทธรับผิดชอบในพิธีพยายามข่มสติอารมณ์ และเอ่ยถาม “เด็กน้อย เจ้าต้องการจะเข้านิกายใด มีอยู่ในใจแล้วหรือไม่?”

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“วังสวรรค์เมฆาวิเวก”

………………….