กู่ฉิงซานมองไปทางอีกฝ่าย
เห็นแค่เพียงปรมาจารย์วัง ที่หากเทียบกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาพบเจอแล้ว ปัจจุบันอีกฝ่ายยังดูอ่อนวัยอยู่มาก ผมไม่ได้เป็นสีขาว ทั้งคนทั้งร่างดั่งต้นไม้หยก ให้ความรู้สึกมั่นคง ไม่โอนอ่อนตามแรงลม
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดบุตรสาวของเขาถึงได้งดงามนัก!
ระหว่างขบคิด กู่ฉิงซานก็เบนสายตาตกลงไปข้างกายปรมาจารย์วัง
เขาค้นพบว่ามันมีดาบยาวลอยอยู่ก็จริง แต่นั่นมิใช่ดาบพิภพ
ดูเหมือนว่าในช่วงเวลานี้ ดาบพิภพยังไม่ถือกำเนิดขึ้น
ในเวลานี้ เด็กๆ ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน ส่วนปรมาจารย์วังหันไปมองรอบๆ และโบกมือออกไป
ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก้าวเดินออกมา และยืนอยู่หน้าสะพานหิน
“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์เทคนิคมนตราแห่งธาตุทั้งห้า จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาวารีกระจ่าง” เขาตะโกนเสียงดัง
ผู้ฝึกยุทธคนที่สองก้าวออกมายังอีกสะพานหินหนึ่ง เอ่ยปากกล่าว “ผู้ใดได้รับอุปกรณ์วิญญาณ ชุดเกราะ ถุงมือ สนับมือ จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขารุ่งอรุณโบราณ”
แล้วผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ก็เริ่มมาหยุดยืนเบื้องหน้าสะพานหินแต่ละแห่ง เริ่มอธิบายให้เด็กๆ ฟัง
“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์มนตรา จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาสดับวิญญาณ”
“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์กระบี่ คันธนู ดาบ ไม้พลอง หรืออาวุธอื่นๆ จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาเมฆาพยศ”
“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์เครื่องดนตรีต่างๆ จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขาทำนองเสนาะ”
“ผู้ใดได้รับอุปกรณ์ดิสก์ค่ายกล เม็ดยา เตาหลอมโลหะ ค้อนเหล็ก อุปกรณ์ทำครัว จงเดินมาตามเส้นทางนี้ จากนั้นจักได้ปีนป่ายขึ้นไปยังขุนเขากระเรียนเทา”
“เหนือขึ้นไปคือยอดขุนเขาทั้งหก พวกเจ้าทุกคนจะต้องปีนป่ายขึ้นไป แต่ก่อนหน้านั้นจงไปจัดแถวอย่างเป็นระเบียบ ตามอุปกรณ์ที่พวกเจ้าได้รับเสียก่อน”
เมื่อเด็กๆ ได้ฟัง ก็เริ่มปฏิบัติตาม ทุกคนเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าสะพานหิน ตามลำดับ
กู่ฉิงซานเองก็เข้าแถว และมองออกไปนอกเกาะ
นอกเหนือไปจากเกาะเล็กๆ ที่ใช้ขนส่งแห่งนี้แล้ว บนยอดต้นน้ำ มันมีขุนเขาอยู่ทั้งสิ้นเจ็ดลูก
ทว่าที่เหล่าผู้ฝึกยุทธแนะนำกันก่อนหน้านี้ พวกเขาเอ่ยออกมาเพียงหกขุนเขาเท่านั้น ขณะที่ขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่กลับไม่มีใครออกมาให้คำแนะนำใดๆ เลย
เขาจึงหันไปเอ่ยถามอาวุโสที่เป็นคนนำตนเข้ามา
อาวุโสกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขุนเขาที่ใหญ่ที่สุด แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นขุนเขาของปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวก ซึ่งมีแค่เพียงปรมาจารย์วังกับศิษย์ของเขาเท่านั้นจึงจะสามารถขึ้นไปได้”
กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปชั่วครู่
วังสวรรค์เมฆาวิเวก…
นอกจากฉันจะเคยขึ้นไปยังวังสวรรค์ด้วยตนเองมาแล้ว ฉันยังได้เข้ามายังนิกายในยุคก่อนที่ยังคงมีผู้นำนิกายอยู่อีก
ท่านอาจารย์เองครั้งหนึ่งก็เคยขึ้นมายังวังสวรรค์ เพื่อทำการศึกษาเทคนิคมนตราเช่นกัน
นอกจากนี้ ปรมาจารย์วังในยุคนี้ ก็ยังเป็นพ่อของท่านอาจารย์
อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงตามการรับสืบทอดมรดก ปรมาจารย์วังเป็นจ้าวนิกายของคนรุ่นก่อน ไม่ทราบว่ากี่ชั่วอายุคนแล้ว ดังนั้น เขาย่อมสามารถนับถือปรมาจารย์วังในฐานะบรรพบุรุษของตนเองได้
… มันค่อนข้างที่จะซับซ้อนนิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม นี่ก็ชัดเจนแล้วว่า เพื่อที่จะเรียนรู้ทักษะขั้นพื้นฐาน การได้เข้ามายังนิกายนี้ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
กู่ฉิงซานพิจารณา สุดท้ายตัดสินใจเดินตรงเข้าหาปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวกโดยตรง
เมื่อเขาเดินไปได้ครึ่งทาง ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดก็ตระหนักถึงการเคลื่อนไหวของเขา
ทว่าปรมาจารย์วังมิได้เอ่ยห้าม ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกยุทธจึงไม่คิดสอดมือหยุดเขา
ไม่นานนัก เด็กๆ คนอื่นๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนี้บ้างแล้วเช่นกัน
ทั้งหมดหยุด และมองไปยังกู่ฉิงซานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
กู่ฉิงซานเดินไปยังเบื้องหน้าปรมาจารย์วัง และโค้งคารวะอย่างนอบน้อม
“เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร?” ปรมาจารย์วังมองเขาและเอ่ยถาม
“ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ของท่านด้วย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง
ปรมาจารย์วังมองเขาอย่างเงียบๆ และจู่ๆ แววตาของเขาก็สะท้อนประกายบางอย่าง
เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ กำลังมีใครบางคนรายงานเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ของกู่ฉิงซาน
ปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่นๆ เองก็ได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาคนแล้วคนเล่าเริ่มเผยให้เห็นถึงความปีติ
มันเป็นเรื่องที่ดี ที่เด็กน้อยผู้นี้กล้าหาญไม่ธรรมดา
แต่ที่ดียิ่งกว่าคือพรสวรรค์ที่แท้จริงของเขา
ทั้งหมดต้องการจะดูว่า ปรมาจารย์วังจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
ปรมาจารย์วังเอ่ยถาม “เหตุใดข้าจักต้องยอมรับเจ้าในฐานะศิษย์ด้วย?”
กู่ฉิงซานกล่าว “เป็นเพราะข้าต้องการที่จะกลายเป็นผู้ฝึกดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธรุ่นนี้”
ปรมาจารย์วัง “ก็แล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับการที่เจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์?”
กู่ฉิงซาน “เพราะข้างกายท่านมีดาบอยู่ ดังนั้นชัดแจ้งว่าเป็นผู้ฝึกดาบ นอกเหนือไปจากนี้ ท่านยังเป็นถึงปรมาจารย์วัง ข้อสรุปจึงง่ายดายยิ่ง ทักษะดาบของท่านย่อมต้องแสนวิเศษ เหนือธรรมดา จึงสามารถเหยียบย่ำทุกผู้คน แล้วขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งนั่นได้”
“ดังนั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด การได้ศึกษาดาบจากท่าน ย่อมเป็นวิธีบรรลุเป้าหมายได้ดีที่สุด”
ปรมาจารย์วังพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกดาบที่แข็งแกร่งที่สุดงั้นหรือ? เหตุใดเป้าหมายของเจ้าจึงมิใช่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเล่า?”
กู่ฉิงซาน “โลกใบนี้กว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุด มีผู้คนโดดเด่นอยู่นับไม่ถ้วน ดังนั้นข้าไม่กล้าคิดเหยียบย่างขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นอันดับแรก”
ปรมาจารย์วังผงกหัวเล็กน้อย เอ่ยถามอีกครั้ง “ทว่าการคิดกับการลงมือทำ นั่นเป็นคนละเรื่อง เส้นทางแห่งผู้ฝึกดาบยากเย็นเหลือแสน หากข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ แต่เจ้ามิอาจบรรลุผลดังหวังได้ นี่มิใช่หมายความว่าคำสอนที่ข้าอุทิศให้เสียเปล่าหรอกหรือ?”
กู่ฉิงซานประสานกำปั้น “ในภายภาคหน้า หากมีวันใดที่ข้ามิได้เป็นผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่งแห่งนิกาย ในบรรดาผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันอีกต่อไป ข้าจักทำลายฐานวรยุทธ์ตนเอง และหลีกลี้ออกจากนิกาย… ร้องขอฟ้าดินเป็นพยาน!”
เปรี้ยง!
บังเกิดสายฟ้าคะนองลั่น
วิถีสวรรค์ได้ตอบรับคำสาบานของเขาแล้ว!
ทุกผู้คนสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
ปรมาจารย์วังเอง ถึงแม้จะเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้น
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงคำสาบานของเด็ก แต่เด็กผู้นี้มีรากวิญญาณอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงสามารถส่งผ่านพลังทางจิตวิญญาณไปยังสวรรค์และโลกได้ ตั้งแต่ที่ยังไม่เริ่มฝึกยุทธ
ส่งผลให้กฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินตอบรับคำสาบานของเขา!
หกปรมาจารย์ขุนเขาต่างมองไปยังกู่ฉิงซาน สีหน้าของพวกเขาเผยถึงความประหลาดใจ
เพราะในการฝึกยุทธในภายภาคหน้า หากเด็กน้อยผู้นี้ไม่สามารถรักษาวิถีดาบในฐานะอันดับหนึ่งเอาไว้ได้ เขาจะต้องสูญสิ้นฐานวรยุทธ์ และถอนตัวออกจากนิกาย กลายเป็นคนพิกลพิการในบัดดล!
วิถีสวรรค์เองก็รับทราบเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นคำสาบานย่อมมิอาจละเมิด ไม่เช่นนั้นโชคชะตาของเขา คงมิแคล้วถูกลงโทษด้วยทัณฑ์สายฟ้า ฟาดผ่าจนจิตวิญญาณหลีกลี้ พลังวิญญาณแตกสลายไป
เด็กคนนี้ ฝืนบังคับตนเองให้ถึงทางตันอย่างกะทันหัน เลือกก้าวเดินในเส้นทางที่มิอาจย้อนกลับ และด้วยจิตแห่งเต๋าที่แสนจะหาได้ยากยิ่งนี้ ปรมาจารย์วังย่อมไม่ควรปฏิเสธ ยิ่งเป็นผู้ฝึกดาบเฉกเช่นเดียวกัน ยิ่งแล้วใหญ่
เป็นครั้งแรกเลยที่ปรมาจารย์วังเพ่งมองกู่ฉิงซาน ตรวจสอบเด็กน้อยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เขาไตร่ตรองและกล่าว “ข้าขอถามเจ้า เหตุใดเจ้าต้องการฝึกฝนทักษะดาบ? เพื่อความโดดเด่น? เพื่อต้องการจักมีชื่อเสียง? เพื่อโค่นล้มมอนสเตอร์จากโลกบรรพกาล? เพื่อแบ่งเบาภาระของเทพวิญญาณ? หรือว่าเพื่อต้องการที่จะเป็นอิสระจากหมู่มวลสวรรค์และโลก ไร้ซึ่งข้อจำกัดข้อผูกมัดใดๆ หรืออันใดกันแน่?”
กู่ฉิงซานเงียบไปหนึ่งลมหายใจ
ในเมื่อตอนนี้เขายังเป็นเด็ก แค่ออกมาพูดคุยกับปรมาจารย์วัง ทุกคนก็ถือว่าฉันมีพรสวรรค์ และจิตแห่งเต๋าอันเลอเลิศแล้ว
ทว่าหากเขาเอ่ยในเชิงลึกเกินไป ผลลัพธ์อาจตรงกันข้าม มันอาจกระตุ้นให้เกิดข้อสงสัยแก่ทุกคนได้
อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถโกหกผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งเป็นเลิศได้ หากเกิดความผิดปกติขึ้นแม้เพียงน้อย การรับรู้ทางจิตวิญญาณของพวกเขาก็ย่อมต้องตระหนักได้ในทันที
ดังนั้น คำถามนี้ เขาจะต้องตอบตามความคิดง่ายๆ ง่ายที่สุดที่มันอยู่ในหัวใจของเขา
เมื่อตริตรองถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็โพล่งตอบไปว่า “เพื่อที่ว่าหากบังเกิดความอยุติธรรม ข้าพเจ้าจักชักดาบออกไปฟาดฟันมัน”
สรรพสิ่งโดยรอบพลันเงียบงัน
ปรมาจารย์ขุนเขาต่างสบตากัน แววตาฉายชัดว่าเหนือความคาดหมาย
ปรมาจารย์วังเชิดหน้าขึ้นขบคิดเล็กน้อย ปากเอ่ยวาจาคำหนึ่ง “จงคุกเข่าลง”
กู่ฉิงซานคุกเข่าต่อหน้าเขา น้อมกายโค้งคารวะ “ร้องขอท่านอาจารย์ ได้โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วย”
ปรมาจารย์วังมองเขาและกล่าว “มีเพียงหัวใจอันบริสุทธิ์เท่านั้น จิตแห่งเต๋าจึงจักแข็งแกร่ง เด็กน้อยเช่นเจ้าหาได้ยากเย็นยิ่งนัก วันนี้ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็นจ้าวแห่งเต๋า ลงมือพิฆาตความอยุติธรรมทั้งมวลเพื่อเผ่ามนุษย์”
“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์!”
………………..