เล่ม 1 ตอนที่ 372 เช่นนั้นก็ไม่เกิดเป็นคนแล้วกัน

ราชินีพลิกสวรรค์

ไอ้คนบ้า!

เจียงหลีถูกหลอก นางโดนโยนลงไปในอ่างอาบน้ำ

“เหอะๆ!”

สำลักน้ำที่อยู่ในอ่างไปสองอึก แล้วเจียงหลีถึงค่อยโผล่ขึ้นมา นางเปียกไปทั้งตัวแล้วยืนขึ้นอยู่ในอ่างอาบน้ำ เสื้อผ้าบางๆ แนบเนื้อของนาง ยิ่งเผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าที่โตเป็นสาวของนาง

ผมยาวๆ ก็เปียกไปหมด หยดน้ำไหลลงมาไม่หยุด เส้นผมลอยอยู่บนผิวน้ำ เต็มไปด้วยเสน่ห์

ใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ ต้องมีคนชื่นชมถึงจะถูก

เจียงหลียกมือขึ้นลูบน้ำบนหน้า แต่กลับเห็นเขาหันหลังเดินจากไป

“…” เจียงหลีอึ้งไป

นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย แล้วก็ไม่เป็นไปตามที่นางคาดไว้ด้วย!

“ลู่เจี้ยยย!” เจียงหลีที่อยู่ในน้ำตะโกนใส่เขาด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก

เขาที่เดินถึงข้างประตูก็หยุดลง แต่กลับไม่ได้หันมา

“เจ้ากลับไปเลยนะ!” เจียงหลีออกคำสั่ง

“เจ้าไปสงบสติอารมณ์ในน้ำเสียหน่อย ไว้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่” เขายิ้มเล็กน้อย หลังจากที่ทิ้งคำพูดนี้ไว้ ก็หายไปต่อหน้าต่อตาจากเจียง

“…”

“…”

เจียงหลีมองไปยังที่ๆ เขาหายไปอย่างเลื่อนลอย นิ่งไปอยู่นานมาก นางกะพริบตา หยดน้ำที่อยู่บนขนตานางก็ล่วงลงมา มือทั้งสองข้างของนางที่อยู่ใต้น้ำก็ค่อยๆ กำหมัด สุดท้ายนางก็ทุบลงบนผิวน้ำอย่างแรง “บ้าที่สุด!”

สมควรตาย! เขาโยนนางลงน้ำเฉยๆ หรือ

เรื่องนี้ นางจะเอาคืนอย่างไร!

ในตำหนักของเซ่าตี้ เขาผู้ที่กลับมาจากจิ่วฮวงเจี้ย รีบเข้าไปในห้องฝึกลับอีกครั้ง หลังจากออกมา ก็ไม่พูดอะไร แล้วก็ออกไปจากห้องใต้ดิน

ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ตัวของเขาก็ได้ไปอยู่ที่เป่ยหงต้าเจ๋อแล้ว

ที่นี่ก็มีอีกวังหนึ่ง เจ้าของวังแห่งนี้ถูกเรียกด้วยความยกย่องว่า ‘ราชินีเฝ่ย’

เขาและนางต่างก็อยู่ในตำแหน่งมหาเทพเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันที่ได้รับความเคารพศรัทธามากมายจากประชาชน ก็แบกรับหน้าที่ปกปักรักษาประชาชนมากมายเช่นกัน

“คารวะเซ่าตี้”

การปรากฏของเขา ได้ดึงดูดความสนใจจากองครักษ์ที่เฝ้าวัง

ด้วยความเป็นมหาเทพตี้จวิน ทุกๆ ร้อยปี ก็จะปรากฏตัวอยู่บนเมฆ เพื่อรับความเคารพศรัทธาจากผู้คน ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จักว่าคนที่มาคือใคร

“ราชินีเฝ่ยอยู่หรือไม่” เซ่าตี้ถามตรงๆ

องครักษ์ที่เฝ้าอยู่มองหน้ากัน หนึ่งในนั้นพูดว่า “ราชิฝ่ยนีเกำลังเข้าฌานอยู่ เซ่าตี้มีเรื่องสำคัญอะไรรึพ่ะย่ะค่ะ”

เข้าฌานหรือ

เซ่าตี้ขมวดคิ้ว เหมือนว่าเขานึกขึ้นได้ ในวันนั้นที่เขากลับมา อวี้ฉีและเสินอวี่เคยบอกเขาว่าราชินีเฝ่ยเข้าฌานแล้ว

เพียงแต่ เรื่องที่เขาต้องแน่ใจก็คือ

เซ่าตี้หรี่ตาทั้งสองข้าง

ขณะนี้ ได้มีร่างของคนๆ หนึ่งลอยจากในวังของราชินีเฝ่ยมาอยู่ตรงหน้าเขา “คารวะเซ่าตี้” เขาคนนั้นก็ทำความเคารพ

เซ่าตี้รู้จักนาง นางคือตี้ไซว่ข้างกายราชินีเฝ่ย ที่มีความสามารถที่สุด แล้วก็น่าเชื่อถือที่สุด เพียงแต่เขาจำชื่อนางไม่ได้

“เซ่าตี้มาพบราชินีเฝ่ยหรือ” นางถามด้วยใบหน้าอมยิ้ม

เซ่าตี้พยักหน้า

“เซ่าตี้มาได้จังหวะไม่ดี ราชินีเฝ่ยเข้าฌานหลายวัน ตอนนี้คงจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ข้าน้อยไม่กล้ารบกวนจริงๆ เพคะ ไม่ทราบว่าเซ่าตี้มีเรื่องอะไร ถ้าหากบอกข้าน้อยได้ รอให้พระองค์ออกฌาน ข้าน้อยจะรายงานให้ก่อนอย่างแน่นอน”

“ไม่ต้องแล้ว” เซ่าตี้มองเข้าไปในวังของราชินีเฝ่ย พลิกตัวแล้วหายไปต่อหน้าทั้งสามคน

ปรากฏตัวอีกที เขาก็กลับมาถึงวังเซ่าตี้แล้ว นั่งลงบนบัลลังก์ที่เป็นของเขา

ณ ช่วงเวลานี้ เจียงหลียุ่งอยู่กับเรื่องของหนานฮวง ส่วนเขาก็ไม่ว่าง ต้องไปวังทั้งห้า เพื่อพบมหาเทพองค์อื่นๆ

พวกเขาก็สบายกันดี ไม่มีตรงไหนไม่สมบูรณ์เลยสักนิด

วังราชินีเฝ่ยเป็นวังสุดท้าย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เจอ แต่คนของวังราชินีเฝ่ยกลับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าราชินีเฝ่ยเข้าฌานอยู่ แต่เพิ่งจะมาเข้าฌานช่วงนี้

นอกวังราชินีเฝ่ย เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังลมปราณของราชินีเฝ่ยจริงๆ เป็นการยืนยันว่านางอยู่ในวัง

ดูแล้ว ราชินีเฝ่ยที่อยู่ในเป่ยหงต้าเจ๋อ ก็ไม่ได้มีอะไรไม่สมบูรณ์เช่นกัน

วิญญาณจักรพรรดิในตัวของหลีเอ๋อร์ แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ เซ่าตี้ผู้สง่างามเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง พลังลมปราณที่ยิ่งใหญ่แผ่ออกมาจากตัวเขา เตือนทุกคนให้รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเขาและคนอื่นๆ

เขาให้ความสนใจกับ ‘อันตรายที่ซ้อนเร้น’ ในตัวเจียงหลีเป็นอย่างมาก ถึงขนาดมากกว่าพลังในตัวเขา

ทันใดนั้น ในตัวของเขาก็ส่งเสียงประหลาดออกมา

เขาก้มหน้า แล้วแบมือออก ในลายมือที่เส้นเล็กละเอียดของเขา กลายเป็นเหมือนกับแผนผังดวงดาว มือทั้งมือเปล่งแสงสีทองเป็นประกาย

พลังยังไม่ได้ฝึกฝนจนสำเร็จ ก็มีแนวโน้มที่จะฟื้นขึ้น ดูแล้วเรื่องการเกิดใหม่ จะชักช้าไม่ได้แล้วเซ่าตี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดในใจ

ค่อยๆ กำมือแน่น เกิดความโกรธขึ้น

ทันใดนั้น ด่านล่างบัลลังก์อันสูงส่งของเขา ปรากฏวงแหวนสีทองสองวงขึ้นมา ตามมาด้วยร่างของคนสองคนที่ตกลงมาจากวงแหวน พลังลมปราณของพวกเขามีความอ่อนแรงและเลื่อนลอย แค่ปรากฏตัวก็นำมาซึ่งความเยือกเย็น

เสินอวี่และอวี้ฉีทั้งสองยืนมั่น หลังจากที่ได้สติกลับมาว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นก็รีบคุกเข่าลงต่อหน้าเซ่าตี้

“คารวะฝ่าบาท!”

“คารวะฝ่าบาท!”

“ข้าจะกลับไปเกิดใหม่” เซ่าตี้พูดอย่างเย็นชา

ทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ในขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นมา ในแววตาเต็มไปด้วยความตกใจ ที่พวกเขาตกใจไม่ใช่เซ่าตี้จะเกิดใหม่ แต่เป็นเพราะพลังนั้นระงับไว้ไม่อยู่อีกแล้วใช่หรือไม่

“มหาเทพ พระองค์ไม่เป็นไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” อวี้ฉีถามด้วยความกังวล

“ตอนนี้ยังไม่เป็นไร” เซ่าตี้ตอบกลับ

มหาเทพไม่มีทางพูดเหลวไหล อวี้ฉีโล่งใจ

“มหาเทพ เดี๋ยวข้าน้อยจะไปเตรียมการเรื่องเกิดใหม่ให้นะขอรับ” เสินอวี่พูดทันที

“ช้าก่อน” เซ่าตี้กลับเรียกเขาไว้

เสินอวี่และอวี้ฉีมองเขาพร้อมๆ กัน รอคำสั่งจากเขา

“ทำอย่างไรถึงจะเกิดใหม่แล้วยังจำได้” หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เซ่าตี้พูดอย่างช้าๆ

เกิดใหม่แล้วยังจำได้หรือ

อวี้ฉีและเสินอวี่ล้วนแต่แปลกใจ

“เพียงแต่ว่าการเกิดใหม่ ล้วนแต่ต้องเข้าพิธีล้างความทรงจำในอดีต” อวี้ฉีพูด

“บอกสิ่งที่ข้าไม่รู้มาสิ” เซ่าตี้พูดอย่างเย็นชา

อวี้ฉีหายใจเข้าลึกๆ ไม่พูดอะไร คิดอยู่ในหัวอย่างหนัก

เสินอวี่ขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วถึงพูดด้วยความลังเลว่า “ก็มีอยู่วิธีหนึ่ง เพียงแต่”

“ว่ามา” เซ่าตี้พูด

เสินอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงตัดสินใจพูดว่า “เว้นแต่จะไม่เกิดเป็นคน”

“ไม่เกิดเป็นคนหรือ” อวี้ฉีส่งเสียงตกใจ

เซ่าตี้เม้มปากแน่น รอฟังคำพูดต่อจากนั้นของเขา

เสินอวี่พูดอย่างละเอียด ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาของทั้งสองคน “เกิดใหม่เป็นคน จำเป็นต้องเข้าพิธีลบความทรงจำ นี่คือกฎเหล็ก กฎแห่งสวรรค์ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่าถ้าหากเกิดใหม่เป็นอย่างอื่น ก็จะไม่มีกฎเหล็กข้อนี้ เพียงแต่การเกิดใหม่ ล้วนแต่ต้องผ่านพิธีลบความทรงจำ แต่ถ้าหากไม่เกิดเป็นคน ไม่ผ่านพิธีนี้ก็ไม่ถือว่าฝ่าฝืนกฎแห่งสวรรค์”

“เสินอวี่ เจ้าพูดอะไรอยู่ มหาเทพตี้จวินไม่เกิดเป็นคน จะให้เกิดเป็นหมาเป็นแมวหรือ” อวี้ฉีพูดด้วยความโกรธ

เสินอวี่อธิบายอย่างจนปัญญา “ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น เพียงแค่ตอบคำถามของมหาเทพ”

“ไม่ได้! มหาเทพมีฐานะที่สูงศักดิ์ เป็นคนก็ลำบากมากแล้ว จะไปเกิดเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร” อวี้ฉีไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

“หยุด” เซ่าตี้พูดห้ามทั้งสองคนที่โต้เถียงกันด้วยความไร้สาระ

เซ่าตี้ลูบหัวสัตว์ที่อยู่บนที่วางแขน นิ้วชี้เคาะอยู่ข้างบนสองที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่อาจขัดขืนได้ว่า “เช่นนั้นก็ไม่เกิดเป็นคนแล้วกัน”

…………………………