ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 145 การจับฉลาก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ตน หลังจากลั่วลั่วมายังพระราชวังหลี เป็นเวลายาวนานที่เขาไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ แต่เมื่อวันหนึ่งได้หวนกลับคืนมาเป็นดังเช่นวันเวลาเก่าๆ เหล่านั้น เขาก็ปรับตัวและเคยชินได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเขากำลังครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง จึงเหม่อลอย

คะแนนสอบความรู้เขามั่นใจว่าอย่างน้อยตนจะต้องอยู่สามอันดับแรก ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าโก่วหานสือก็คงจะเข้าสามอันดับแรกเช่นกัน ถึงแม้เป็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยคะแนนการสอบความรู้ก็คงจะไม่แย่เกินไป หากนับเช่นนี้ เขาต้องการเอาประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่ อย่างน้อยจะต้องเข้าไปอยู่รอบสุดท้ายของการต่อสู้ เช่นนั้นจะต้องชนะห้ารอบต่อเนื่องกัน แน่นอนว่า ถ้าหากโก่วหานสือ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ย รวมถึงหนอนหนังสือทั้งสี่ของสำนักต้นไหว ทั้งหมดถูกคัดออกอย่างรวดเร็ว เช่นนั้นความกดดันที่เขาต้องเผชิญก็จะลดลงไปมาก ปัญหาอยู่ตรงที่ ไม่ว่าจะมองอย่างไร นี่ล้วนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

กวนเฟยไป๋ เหลียงปั้นหู ชีเจียนก็เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง และยังมีจวงห้วนอวี่ที่วันนี้คล้ายกับว่านิ่งเงียบเป็นพิเศษ คนที่ทำให้เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่สงบหรือจะกล่าวว่าไม่ปลอดภัย ยังคงเป็นหนุ่มน้อยชุดเดียวที่อยู่ห่างจากกลุ่มฝูงชนผู้นั้น

หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าผู้นี้ไม่มีคะแนนสอบความรู้ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าคะแนนการต่อสู้จะเป็นอย่างไร ก็ไม่สามารถเอาประกาศแรกอันดับแรกได้ จึงไม่เกี่ยวข้องในการแข่งขันกับเขาโดยตรง แต่ถ้าหากการต่อสู้รอบหน้าเขาอาจจะพบเจอหนุ่มน้อยผู้นั้นแล้วควรทำอย่างไรดี ไม่มีใครอยากจะพบเจอหนุ่มน้อยผู้นี้ก่อน เชื่อว่าแม้จะเป็นโก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็คิดเช่นนี้

เวลาพักผ่อนเพียงชั่วครู่ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว นางกำนัลหลี่นำสาวใช้เก็บกล่องอาหาร แล้วออกไปจากสนามแข่งขัน การต่อสู้รอบที่สองของการสอบใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น ด้านนอกหอชำระธุลีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงียบสนิท เทียบกับบรรยากาศการสอบรอบแรกแล้ว ยิ่งเพิ่มความกดดันและความตึงเครียด เพราะว่าผู้เข้าสอบสิบห้าคนก่อนก็เข้าร่วมการต่อสู้ในรอบนี้ด้วย

ในการประลองยุทธ์ผู้เข้าสอบที่ข้ามผ่านคลองฉวี่เจียงสิบห้าอันดับแรกล้วนแต่แข็งแกร่งทั้งสิ้น พรรคกระบี่หลีซานมีสี่คน สำนักเด็ดดารามีสองคน ศิษย์หญิงของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์หนึ่งคน เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยท่าทางเมินเฉยยืนอยู่ด้านหน้าสุด จวงห้วนอวี่ยืนสงบนิ่งอยู่อีกทางหนึ่งกับสหายร่วมสำนัก หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าที่นามว่าเจ๋อซิ่วยังคงยืนอยู่บริเวณด้านนอกลำพัง เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีคนรู้จัก

การต่อสู้รอบแรกกับรอบที่สองเมื่อเทียบกันแล้ว กฎระเบียบพื้นฐานยังคงเหมือนกัน มีเพียงแค่สองจุดใหญ่ที่แตกต่างกันออกไป สิ่งแรกก็คือผู้ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายมิได้ถูกกำหนดโดยลำดับก่อนหลังอีกต่อไป และก็มิได้เกี่ยวข้องกับผู้คุมสอบ แต่ใช้วิธีการจับฉลาก อีกทั้งการต่อสู้ในรอบถัดไปก็ยังคงใช้การจับฉลากใหม่เรื่อยๆ ผู้เข้าสอบจะพานพบกับคู่ต่อสู้อย่างไรนั้น ทั้งหมดทั้งมวลมอบให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนด

สิ่งที่สอง เริ่มจากการรอบที่สอง ผู้พ่ายแพ้จะไม่ถูกส่งกลับตำหนักฝึกฝน ซ้ำยังอยู่ในสนามต่อไป เพราะว่าได้เข้ามาอยู่หกสิบสี่คนแล้ว เพื่อความมั่นใจในการคัดเลือกคนที่อยู่สามอันดับแรกของการสอบใหญ่ การให้คะแนนของผู้คุมสอบก็ไม่อาจรับประกันความยุติธรรมได้อย่างสิ้นเชิง ผู้พ่ายแพ้จะต้องเข้าร่วมการแข่งขันเพิ่มเติม

ก่อนการต่อสู้เริ่มขึ้น อันดับแรกจะต้องจับฉลาก หากกล่าวตามความหมายแล้ว การจับฉลากถึงขนาดว่ายิ่งมีความสำคัญในตัวของมันเอง

ถ้าหากจับได้คู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่าก็เท่ากับว่าผ่านเข้าไปในรอบต่อไปได้ก่อน แต่ว่าหากโชคไม่ดีจับได้คู่ต่อสู้ดังเช่นโก่วหานสือ เช่นนั้นแล้วควรจะทำอย่างไรเล่า

สายตาหลายสิบคู่ เคลื่อนย้ายไปตามมือของนักบวชพระราชวังหลีที่เป็นผู้ควบคุมพิธีการจับฉลากเลื่อนออกจากกล่องรายชื่อ ร่วงบนกระดาษเขียนชื่อและแซ่ของผู้เข้าสอบแผ่นนั้นที่

“สำนักฝึกหลวง เซวียนหยวนผ้อ” นักบวชพระราชวังหลีได้จับกระดาษแผ่นที่สองออกมา มองแวบหนึ่งหลังจากนั้นกล่าวต่อ “แข่งกับพรรคกระบี่หลีซาน โก่วหานสือ”

ด้านหน้าหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบเชียบหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเงียบเป็นตาย ผ่านไปเป็นเวลายาวนาน พวกผู้เข้าสอบถึงจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ

สำหรับทุกคนแล้ว เรื่องที่ชิวซานจวินไม่มาเข้าร่วมการสอบใหญ่ยังคงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย เช่นนั้นแล้วผู้แข็งแกร่งที่สุดในการสอบใหญ่ปีนี้ก็คือโก่วหานสืออย่างไม่ต้องสงสัย เป็นธรรมดาที่จะคิดว่าชื่อของเขาต้องปรากฏออกมาล่าช้าอย่างยิ่ง ผู้ใดจะคาดคิด การจับฉลากครั้งแรก ผู้คุมสอบก็จับกระดาษที่เขียนออกมาเป็นชื่อของโก่วหานสืออยู่บนนั้น

ความรู้สึกตกตะลึงที่สลับซับซ้อนเหล่านั้น นอกจากตื่นตกใจ ยังมีความเบิกบานยินดีจำนวนมากปะปนอยู่ ในเสียงร้องตื่นตะลึงยังได้ยินเสียงดีอกดีใจแอบแฝงไว้เล็กน้อย

ไร้คนคิดจะต่อสู้กับหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าผู้นั้นเช่นใด ก็ไร้คนอยากจะแข่งกับโก่วหานสือเช่นนั้น

ผู้คนขณะนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะว่าคนที่แข่งกับโก่วหานสือเป็นเซวียนหยวนผ้อ…

เซวียนหยวนผ้อแห่งสำนักฝึกหลวง

ข้างชายป่าเงียบสนิทอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วจ้องมองเซวียนหยวนผ้อ ในดวงตามิได้มีความเห็นใจ มีเพียงแค่ความหมายของการเอ่ยถาม

เมื่อเวลานี้ ความเห็นใจมิได้มีความหมายใดๆ

ท่าทางของเซวียนหยวนผ้องุนงงพลางเอ่ยว่า “ทำอย่างไรดี”

ถังซานสือลิ่ว กล่าวตอบ “เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเรากำลังรอการตัดสินใจของเจ้า”

เซวียนหยวนผ้อจ้องมองลั่วลั่ว เอ่ยถาม “อาจารย์ ข้าฟังท่าน”

ลั่วลั่วมองไปทางเฉินฉางเซิง เอ่ยถาม “อาจารย์ ท่านคิดเห็นอย่างไร”

เฉินฉางเซิงหันมองถังซานสือลิ่ว กล่าวว่า “เจ้าไม่แสดงความคิดเห็นหน่อยรึ”

ถังซานสือลิ่วไม่ได้คิดแม้แต่น้อย ยกมือขึ้น ตะโกนกับนักบวชพระราชวังหลีที่รับผิดชอบในการจับฉลาก “พวกเราสละสิทธิ์!”

ทั่วทั้งผืนเสียงดังอื้ออึงขึ้นมา ผู้ใดจะคาดคิด ทางด้านสำนักฝึกหลวงเมื่อผลการจับฉลากเพิ่งออกมาก็เลือกการสละสิทธิ์ดื้อๆ เช่นนี้อาจจะค่อนข้างง่ายดายตรงไปตรงมาเสียหน่อย หรืออาจจะกล่าวว่าไร้ยางอายไปเสียสักหน่อย ในฝูงชนมีเสียงหัวเราะเยาะดังออกมา เซวียนหยวนผ้อก้มหน้างุด ท่าทางหน้าม่อยคอตก

เฉินฉางเซิงเอ่ยปลอบโยน “เก็บรักษาแรงเอาไว้ อีกชั่วครู่เข้าร่วมการแข่งขันเพิ่มเติมก็จะได้เปรียบเล็กน้อย”

ถังซานสือลิ่วรับผิดชอบเรื่องด้านนอก มองไปยังผู้เข้าสอบที่หัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อนเหล่านั้น เอ่ยว่า “การสละสิทธิ์เป็นการยอมแพ้รึ หากมีความสามารถจริงๆ พวกข้าขอส่งฉลากให้กับพวกเจ้า พวกเจ้าจะไปต่อสู้กับโก่วหานสือไหม”

ส่งฉลากให้เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ทว่าประโยคของเขากลับเตือนสติของผู้เข้าสอบจำนวนมาก ถ้าหากเป้าหมายเป็นการเข้าสามอันดับแรกของการสอบใหญ่ เช่นนั้นแล้วในรอบที่สองถ้าหากพบเจอกับผู้แกร่งกล้าที่ยากจะเอาชนะได้ดังเช่นโก่วหานสือ การสละสิทธิ์นับว่าเป็นการเลือกที่ดีที่สุด เมื่อคิดได้ว่าอีกชั่วครู่ตนก็คงจะต้องสละสิทธิ์ พวกผู้เข้าสอบจึงได้เงียบสงบลง

การจับฉลากยังคงดำเนินต่อ ในสนามเงียบสนิท หลังจากนักบวชพระราชวังหลีจับรายชื่อของถังซานสือลิ่วกับเหลียงปั้นหู บรรยากาศที่เงียบสงบจึงถูกทำลายอีกครา

พวกผู้เข้าสอบมองไปยังข้างป่าไม้ ไร้ผู้คนหัวเราะเยาะสำนักฝึกหลวง แต่เริ่มเห็นใจสำนักฝึกหลวง

ท่าทางของถังซานสือลิ่วสงบนิ่งดังเช่นปกติ ความรู้สึกกลับย่ำแย่ยิ่งนัก ใช้เสียงที่มีเพียงแค่คนอยู่ข้างกายถึงจะได้ยิน “บ้าเอ๊ย! นี่เป็นโชคอะไรกัน”

เซวียนหยวนผ้อพบกับโก่วหานสือ โชคร้ายจนถึงขีดสุด เขาแข่งกับเหลียงปั้นหู โชคก็ไม่ได้ดีไปเสียเท่าไหร่ การจับฉลากดำเนินไปได้ไม่นาน คนของสำนักฝึกหลวงสองคนก็ได้คู่กับคนที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ็ดคำโคลงแดนเทพ ไม่ว่าจะมองอย่างไร วันนี้สำนักฝึกหลวงราวกับว่ากำลังมีเคราะห์

โชคชะตาของสำนักฝึกหลวงยังไม่ได้สิ้นสุดเพียงเท่านี้

กระดาษที่เขียนรายชื่อของเฉินฉางเซิง ถูกนักบวชพระราชวังหลีจับขึ้นมา เวลาต่อมา นักบวชก็ได้จับคู่ต่อสู้ของเขา

ฮั่วกวงสำนักต้นไหว

ทั่วทั้งผืนส่งเสียงเกรียวกราว เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าสอบที่รู้สึกย่ำแย่ต่อสำนักฝึกหลวงอย่างไรก็ไม่มีกะจิตกะใจยินดีได้

เรื่องที่ตกตะลึงที่สุด เกิดขึ้นครั้งสุดท้าย

คู่ต่อสู้ของลั่วลั่วก็คือ…เทียนไห่เซิ่งเสวี่ย

ด้านหน้าหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ เสียงของนักบวชหยิบฉลากขึ้นมาชัดเจนเช่นนั้น

ผู้คนจ้องมองคนของสำนักฝึกหลวงที่ข้างชายป่า ตะลึงงันไร้วาจา

คนของสำนักฝึกหลวงเหล่านั้นก็ตกตะลึงจนไร้วาจาเอื้อนเอ่ย

มาถึงตอนนี้ ผู้คนก็เชื่อได้ว่า ผลการจับฉลากเช่นนี้จะต้องไม่เกี่ยวกับโชคชะตาอย่างแน่นอน แต่เป็นสำนักฝึกหลวงถูกโจมตี เพราะว่าสถิติเช่นนี้เกิดขึ้นได้น้อยอย่างยิ่ง

เซวียนหยวนผ้อพบกับโก่วหานสือ ทำได้เพียงแค่สละสิทธิ์ยอมแพ้ ถังซานสือลิ่วชื่อเสียงเลื่องลือ ถูกขนานนามว่าผู้มีพรสวรรค์หนุ่มน้อย แต่เมื่อเทียบระดับพลังกับเหลียงปั้นหูยังห่างไกลกันมาก คงจะไม่มีโอกาสชนะแต่อย่างใด สำหรับการต่อสู้รอบที่สาม…หนุ่มน้อยสำนักต้นไหวที่นามว่าฮั่วกวงถึงแม้จะไม่อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น แต่หากกล่าวตามฝีมือที่เขาแสดงออกมาในการประลองยุทธ์ ก็คงจะแข็งแกร่งเป็นอันดับที่สองของสำนักต้นไหว ยังจะแข็งแกร่งกว่าสหายร่วมสำนักที่อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นด้วยซ้ำไป เพียงแค่อยู่ข้างใต้จงฮุ่ยที่เป็นอันดับเก้าในประกาศชิงอวิ๋น เฉินฉางเซิงถึงแม้จะพานพบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์มาอย่างไร ก็ไม่อาจชนะฝ่ายตรงข้ามได้

สิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนก็คือผลการจับฉลากของลั่วลั่ว นางที่อยู่อันดับสองของประกาศชิงอวิ๋น การสอบใหญ่ในปีนี้ที่น่าเกรงกลัวก็มีเพียงแค่โก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่อยู่ขั้นทะลวงอเวจี นางจับฉลากได้คู่กับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ซ้ำยังสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ผู้เข้าสอบทุกคน มีเพียงแค่เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่มีพื้นหลังฐานะใกล้เคียงกับนาง อย่างน้อยในการต่อสู้ก็คงไม่ยั้งพลังของตนที่แท้จริงออกมา

ตำหนักประจักษ์อักษรก็เหมือนกับด้านหน้าหอชำระธุลี เงียบเป็นเป่าสาก

ใต้เท้ามุขนายกในที่สุดจึงลืมตาขึ้นมาเชื่องช้า สายตาพร่ามัวเล็กน้อย จ้องมองไปยังตารางการจับฉลากบนกระจก ท่าทางจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมา

นัยน์ตาม่ออวี่เลื่อนต่ำลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด

เฉินหลิวอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้ามีความโมโห

เซวียสิ่งชวนรู้สึกเหนือความคาดหมาย หันกายเหลือบตามองสวีซื่อจี

สวีซื่อจีใบหน้าไร้ความรู้สึก ยังคงรักษาอาการเงียบนิ่ง

ผู้ยิ่งใหญ่ในตำหนักที่เหลือก็รักษาอาการเงียบนิ่งไว้

บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ด้านในตำหนักประจักษ์อักษร มิได้โง่เขลาเบาปัญญา จะมองไม่ออกได้อย่างไร การจับฉลากครั้งนี้เป็นผลมาจากคนกระทำ ชัดเจนยิ่งนักว่า สำนักการศึกษากลางลำเอียงให้กับสำนักฝึกหลวง ท้ายที่สุดจุดชนวนความไม่พอใจให้กับกลุ่มอำนาจใหม่ หลังจากอดทนเป็นเวลานาน สุดท้ายแล้วในการต่อสู้ขั้นตอนสุดท้าย จึงเริ่มตอบโต้ เพียงแค่ไม่ทราบได้ว่าเรื่องราวเหล่านี้ได้รับความเห็นชอบจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หรือว่าใต้เท้าสังฆราชหรือไม่

“ใช้คนทิศใต้มาตีสำนักฝึกหลวง การกระทำเช่นนี้ไม่น่าดูจริงๆ”

เหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้า ยันกายลุกขึ้นเดินออกจากตำหนักประจักษ์อักษร

เมื่อได้ยินประโยคนี้ มีบางคนในตำหนัก ดังเช่นเจ้าสำนักจวนราชวังหลีและสังฆราชของนิกายหลวงท่าทางเปลี่ยนเป็นอึดอัด

ฐานะของเหมาชิวอวี่อยู่เหนือคติใดๆ ทั้งสิ้น เขาเอ่ยวาจาออกมาก็คือเอ่ยออกมา เดินออกไปก็คือเดินออกไป แต่กลับไม่อาจเปลี่ยนผลของการจับฉลาก

การสอบใหญ่จะต้องดำเนินต่อไป การจับฉลากก็จะต้องดำเนินต่อไป สิ่งที่ได้รับความสนใจมากที่สุดเป็นธรรมดาคือการแข่งขันทั้งสี่สนามที่เกี่ยวข้องกับสำนักฝึกหลวง กวนเฟยไป๋ จวงห้วนอวี่และยอดฝีมือหนุ่มน้อยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ต่างก็จับฉลากได้คู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างจะอ่อนด้อย มีเพียงโชคของซูม่ออวี๋ คล้ายกับว่ายังย่ำแย่กว่าเฉินฉางเซิงและพวก เพราะว่าคู่ต่อสู้ของเขาก็คือ…หนุ่มน้อยที่นามว่าเจ๋อซิ่วผู้นั้น

เมื่อได้ยินนักบวชพระราชวังหลีขานชื่อ ผู้เข้าสอบทั่วทั้งสนามเป็นครั้งแรกที่รู้ชื่อจริงของหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าผู้นั้น

หนุ่มน้อยผู้นั้นนามว่าวั่วฟูเจ๋อซิ่ว

แซ่วั่วฟูนี้น้อยอย่างยิ่งที่จะพบเห็น เพียงได้ยินก็รู้ว่ามิใช่คนที่อยู่ราบลุ่มภาคกลาง คงจะเป็นเผ่าพันธุ์เล็กๆ อยู่เขตทางด้านทิศเหนือด้านนอกเมือง

ถังซานสือลิ่วตบไหล่ซูม่ออวี๋ พลางเอ่ยว่า “ยอมแพ้เถิด เมื่อครู่ใครใช้ให้เจ้ามายืนอยู่กับพวกข้า โชคร้ายก็คงจะแพร่ไปกระมัง”

เป็นเรื่องโชคจริงหรือ แน่นอนว่าไม่ใช่ ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ด้านหน้าหอชำระธุลีต่างทราบดี อย่างไรก็ตามก็เหมือนกับการต่อสู้รอบแรก ในเมื่อหาหลักฐานมาพิสูจน์ไม่พบ เจ้าก็ไม่อาจตอบโต้ได้

เจ้าทำได้เพียงยอมแพ้ หรืออาจจะลองต่อสู้ในสนามที่ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะชนะ

ถังซานสือลิ่วแนะนำให้ซูม่ออวี๋เลือกคนข้างหน้า ตนกลับเตรียมเลือกคนข้างหลัง

ลั่วลั่วกับเฉินฉางเซิงก็คิดเช่นนี้