ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 146 ถกปัญหากระบี่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่ว่าถังซานสือลิ่วจะพูดอย่างไร ซูม่ออวี๋ก็ตัดสินใจทำการเลือกของตนเอง เป็นตัวแทนของนักเรียนสำนักจวนราชวังหลี เขาไม่อาจยอมแพ้โดยตรงได้ ซ้ำยังหัวรั้นและตัดสินใจด้วยท่าทางสุขุม ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าที่ลึกลับและแกร่งกล้าผู้ใด เขาก็จะไม่สูญเสียความเชื่อมั่นเด็ดขาด

เขาทำความเคารพผู้ควบคุมการต่อสู้ จากนั้นเดินไปบนบันไดหินด้านนอกหอชำระธุลี

กลุ่มผู้คนกระจายออก เจ๋อซิ่วเดินออกมา ย่างก้าวของเขามิได้หยุดชะงัก เดินเข้ามาในหอชำระธุลีอย่างต่อเนื่อง

พวกผู้เข้าสอบเห็นภาพด้านหลังผอมแห้งของหนุ่มน้อย ท่าทางแปลกประหลาด ตั้งแต่ยามเช้าตรู่จนกระทั่งถึงตอนนี้ นอกจากคุยกับผู้คุมสอบประโยคนั้น ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงคนผู้นี้อีกเลย ผู้คนต่างประหลาดใจ หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าที่มีสายเลือดลึกลับเยือกเย็นแท้จริงแล้วมีพลังจนถึงระดับไหน เป็นคนเช่นไร สำหรับผลการต่อสู้ของสนามนี้ ในทางกลับกันไม่มีคนสนใจมากนัก เพราะว่าจากที่ทุกคนคิดไว้ ผลลัพธ์ของการต่อสู้สนามนี้ได้กำหนดไว้แล้ว ซูม่ออวี๋ที่อยู่อันดับสามสิบสามของประกาศชิงอวิ๋นแน่นอนว่ามิได้อ่อนด้อย แต่คู่ต่อสู้ของเขาระดับวิทยายุทธ์แข็งแกร่งเกินไป

เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองลั่วลั่วที่คล้ายกับว่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คิดไปถึงก่อนหน้านี้ที่เข้ามายังตำหนักฝึกฝน หนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าหันหน้ามาใช้จิตวิญญาณโจมตีตน ในใจครุ่นคิดอีกชั่วครู่ลั่วลั่วพ่ายแพ้ให้กับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย หรืออาจจะกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องแข่งกับหนุ่มน้อยผู้นี้ จะมิได้มีอันตรายใดๆ

ประตูไม้ของหอชำระธุลีค่อยๆ ปิดลง

เวลาผ่านไปไม่นาน จากนั้นจึงเปิดอีกครา

พวกผู้เข้าสอบงงงัน ถึงแม้จะทราบดีว่าการต่อสู้สนามนี้จะไม่เกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายใดๆ เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้จะสิ้นสุดรวดเร็วเพียงนี้ ยังคงทำให้คนตกตะลึงเหมือนเดิม

เดินออกมาจากหอชำระธุลีก่อน คงจะเป็นผู้ชนะ ก็คือเจ๋อซิ่วหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่า

เขายืนอยู่บนบันไดหิน มองไปทิศทางของสำนักฝึกหลวงข้างชายป่า

ในการสอบใหญ่ หนุ่มน้อยผู้นี้ตั้งแต่ต้นก็ยืนอยู่รอบนอกของฝูงชน หรือว่าเดินไปข้างหน้าสุด ทิ้งให้ผู้คนเห็นเพียงภาพด้านหลังเขา เวลานี้ สุดท้ายแล้วเป็นครั้งแรกที่คนได้เห็นด้านหน้าเขา

เขาสวมเสื้อผ้าบางชุดเดียว บริเวณเอวรัดสายรัดผ้า เท้าทั้งคู่เปลือยเปล่า ชายกางเกงอยู่เหนือตาตุ่มไปสามนิ้ว กระชับรัดกับตัวอย่างยิ่ง

บนร่างกายของเขาไม่มีศาสตราวิเศษ แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ปลอดภัย ก็เหมือนกับความคมของมีด ไม่ เขาเป็นปลายมีด ใช่แล้ว ความอันตรายของเขามิได้อยู่ที่รูปร่างลักษณะ แต่อยู่ที่ความรู้สึก คล้ายกับว่าหากจ้องมองเขาไปนานๆ นัยน์ตาล้วนจะรู้สึกแสบร้อน

ผู้เข้าสอบจำนวนมากชักสายตากลับตามจิตสำนึก หรือไม่ก็มองไปทางอื่น

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ประตูไม้ของหอชำระธุลีค่อยๆ ปิดลง ซูม่ออวี๋มิได้ออกมา

พวกผู้เข้าสอบแปลกใจ มีคนอดรนทนไม่ได้จึงเอ่ยถามออกมา “มิใช่ว่าผู้พ่ายแพ้ก็ยังอยู่ต่อหรอกหรือ”

นักบวชสำนักพระราชวังหลีผู้นั้นปรายตามองเจ๋อซิ่ว ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยกับพวกผู้เข้าสอบ “ซูม่ออวี๋อาการบาดเจ็บสาหัส ส่งไปรักษาที่ตำหนักฝึกฝนแล้ว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ด้านนอกหอชำระธุลีตกอยู่ในความเงียบสนิท พวกผู้เข้าสอบยากที่จะสะกดความรู้สึกสลับซับซ้อนได้ จึงนำสายตามองไปยังหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าอีกครา

สายตาของผู้เข้าสอบมีความตกตะลึง ที่มากกว่านั้นก็คือความหวาดกลัว

ซูม่ออวี๋เป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสำนักจวนราชวังหลี เป็นหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์อยู่อันดับที่สามสิบสามของประกาศชิงอวิ๋น ถึงแม้จะมิใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ เพราะเหตุใดเวลาในการต่อสู้ถึงสั้นถึงเพียงนี้ ซ้ำยังมีผู้คุมสอบมองอยู่ด้านข้าง ผลสุดท้ายคนผู้นี้ทำให้ซูม่ออวี๋ได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่อธิบายได้ว่าเขาแข็งแกร่งถึงระดับไหนกัน

ด้านในตำหนักประจักษ์อักษร เจ้าสำนักจวนราชวังหลีจ้องเขม็งภาพบนกระจก สีหน้าเคร่งขรึมถึงขีดสุด

เวลานี้การต่อสู้ในหอชำระธุลีได้สิ้นสุดลงแล้ว บนกระจกใสมีเพียงแค่ทรายสีเหลือง นั่นเป็นพื้นดิน ข้างใต้มีภาพพิมพ์ใบไม้สีเขียวอยู่หลายใบ และยังมีโลหิตสาดกระเซ็นหลายแห่ง

ซูม่ออวี๋ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่ออยู่ในพระราชวังหลีก็คงจะไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าจะกระทบถึงการฝึกบำเพ็ญเพียรในภายภาคหน้าหรือไม่

เขาเป็นเจ้าสำนักจวนราชวังหลี มีเหตุผลเพียงพอที่จะโกรธแค้น กลับไม่รู้ว่าควรจะระบายความโกรธแค้นอย่างไรดี

การต่อสู้ระหว่างเจ๋อซิ่วกับซูม่ออวี๋ เริ่มได้รวดเร็วยิ่ง แต่สิ้นสุดยิ่งเร็วกว่า ไม่ต้องกล่าวถึงนักบวชพระราชวังหลีที่คอยควบคุมสถานการณ์อยู่บนชั้นสอง ถึงแม้เป็นเขาที่อยู่ในสนาม ก็ไม่อาจยับยั้งภาพที่เกิดขึ้นดุเดือดก่อนหน้านี้ นอกเสียจากว่าเขาจะมาถึงล่วงหน้าก่อนแล้ว

ผู้เข้าสอบทั้งสี่ของสำนักฝึกหลวงต่างจับฉลากได้คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นเป็นเพราะเป็นการจงใจ เขาแจ่มแจ้งในสาเหตุนี้ดี อีกทั้งซูม่ออวี๋คือนักเรียนที่เป็นความหวังอันสูงส่งของสำนักจวนราชวังหลี การต่อสู้รอบสองมาพบกับคนประหลาดดังเช่นเจ๋อซิ่ว คงเอ่ยได้เพียงว่าโชคในการจับฉลากย่ำแย่เหลือเกิน

ซูม่ออวี๋ได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงออกจากการแข่งขัน ถึงแม้ว่าคะแนนความรู้ของเขาจะโดดเด่นอย่างไร อย่างมากสุดก็คงเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรก อยากจะไปข้างหน้าอีกหน่อย เป็นไปไม่ได้แล้ว

การสอบใหญ่ล่วงมาถึงขณะนี้ นักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีถูกคัดออกหมดแล้ว ไม่ต้องเทียบกับพรรคกระบี่หลีซาน สำนักต้นไหว สำนักเด็ดดาราที่ต่างก็เหลือสี่คน นี่จะทำให้เขายอมรับความรู้สึกที่ถูกโจมตีเช่นนี้ได้อย่างไร

เจ้าสำนักจวนราชวังหลีที่มีสีหน้าเขียวก่ำพลันยันกายลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อออกจากตำหนักประจักษ์อักษร มิได้สนใจสถานการณ์การสอบใหญ่ที่จะดำเนินต่อไปอีก

เหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้า เป็นเพราะผู้ยิ่งใหญ่บางคนแอบกระทำสิ่งที่ส่งผลต่อการจับฉลาก บีบบังคับสำนักฝึกหลวงอยู่ในสถานการณ์จนตรอก เขาจึงออกไป

ในตำหนักประจักษ์อักษรเวลานี้ สำนักไม้เลื้อยทั้งหกเหลือเจ้าสำนักเพียงสามสำนัก

การต่อสู้รอบที่สองของการสอบใหญ่ดำเนินต่อเนื่อง มีหมัดและกระบี่ประหนึ่งสายลมสายฝนต่อเนื่อง พลังปราณแท้สั่นไหวไม่สงบนิ่ง เพียงแต่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นด้านในหอชำระธุลี ยากที่จะเล็ดลอดออกไปด้านนอกหอ การต่อสู้หลายสนามได้ดำเนินอย่างต่อเนื่อง จวงห้วนอวี่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างสบาย ชีเจียนกับกวนเฟยไป๋จากพรรคกระบี่หลีซาน ก็ใช้เวลาเพียงไม่นานที่เข้าสู่การต่อสู้รอบที่สาม คนที่จะต่อสู้ในสนามต่อไปก็คือหนุ่มน้อยหนอนหนังสือของสำนักต้นไหว

ปีนี้นักเรียนทั้งสี่ของสำนักต้นไหวที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ นักเรียนที่เยาว์วัยและแข็งแกร่งที่สุดก็คือจงฮุ่ย

ยืนอยู่บนบันไดหินด้านหน้าหอชำระล้างธุลี จ้องมองภาพในสนาม สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู ที่ผ่านมาเขาคงเป็นจุดรวมของสำนักต้นไหว ในเมื่อการสอบใหญ่เป็นการชุมนุมของผู้แข็งแกร่ง กล่าวตามเหตุผลแล้วนั้น เมื่อการต่อสู้มาถึงตาเขา ก็ควรจะดึงดูดสายตาของผู้เข้าสอบจำนวนมาก อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีคนจ้องมองเขา จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง

พวกผู้เข้าสอบมิใช่ว่าไม่ให้ความสำคัญเขา หนุ่มน้อยผู้แกร่งกล้าอยู่อันดับเก้าของประกาศชิงอวิ๋น มีคุณสมบัติเพียงพอที่ให้คนสนใจ เพียงแค่ว่าคู่ต่อสู้ของจงฮุ่ยมิได้มีชื่อเสียงอะไร พอดีว่าการต่อสู้สนามต่อไปเป็นจุดรวมที่ผู้คนให้ความสนใจ ด้วยเหตุนี้สายตาของผู้คนเวลานี้จึงมิได้อยู่บนตัวเขา แต่ร่วงหล่นบนสองแห่ง

คนของสำนักฝึกหลวงที่อยู่ข้างป่าไม้ รวมถึงลูกศิษย์ทั้งสี่ของหลีซานที่อยู่ริมแม่น้ำ

การต่อสู้สนามต่อไปเป็นคราวที่ถังซานสือลิ่วเข้าสู่สนาม เฉินฉางเซิงนั่งยองๆ อยู่บนพื้น เอ่ยอะไรบางอย่างไม่หยุด ในมียังถือกิ่งไม้ วาดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างบนพื้น ลั่วลั่วก็นั่งยองๆ อยู่ด้านข้าง ใช้มือยันขากรรไกรไว้ตั้งใจฟัง เซวียนหยวนผ้อยืนอยู่ด้านบน ใช้ร่างกายสูงใหญ่บดบังสายตาของฝูงชนที่สอดส่องเข้ามา

เฉินฉางเซิงกำลังอธิบายจุดสำคัญของเคล็ดลับวิชากระบี่หลีซาน เช่นนี้มิใช่การเตรียมการเมื่อจวนตัว แต่เป็นการชี้ให้เห็นจุดที่แข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม เพราะว่าเขานำเอาจุดสำคัญของเคล็ดวิชากระบี่หลีซานและกรณีการต่อสู้ของเหลียงปั้นหูมาอธิบายเปรียบเทียบ กิ่งไม้ที่วาดออกมาเป็นเส้นอยู่บนพื้นเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นพลังกระบี่

เหลียงปั้นหูเป็นคู่ต่อสู้ที่ถังซานสือลิ่วจะต้องเผชิญในไม่ช้านี้

“ระดับความบริสุทธิ์และพลังปราณแท้ของเจ้าแน่นอนว่าสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้”

เฉินฉางเซิงวางกิ่งไม้ลง มองถังซานสือลิ่วด้วยท่าทางที่มิได้สนใจนัก เอ่ยอย่างจริงจัง “ถึงแม้หลังจากมาถึงจิงตูเจ้ามิได้เกียจคร้านดังเช่นอยู่เวิ่นสุ่ย แต่ลูกศิษย์เขาหลีซานฝึกฝนกระบี่ด้วยความยากลำบากเจ้าก็ทราบดี ดังนั้นทางด้านนี้ไม่จำเป็นต้องถกเถียง เจ้าสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้”

ถังซานสือลิ่วปล่อยมือ เป็นความหมายว่าตนมิได้มีความคิดเห็นใดๆ

เฉินฉางเซิงเหลียวไปมองริมแม่น้ำ เอ่ยต่อ “ระดับขั้นของเจ้ากับเขาพอๆ กัน เพียงแค่ยังไม่ข้ามผ่านธรณีประตูนั้น ความแตกต่างระหว่างขั้นการถอดจิตสำหรับการต่อสู้แล้วนั้น ส่งผลกระทบไม่มาก ด้วยเหตุนี้ถ้าหากเจ้าอยากจะเอาชนะเขา จึงทำได้เพียงแค่ออกกระบวนท่ามวย ทำเป็นความหมายแฝงไว้”

ท่าทางของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา กล่าวถาม “แล้วจะลงมืออย่างไร”

เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ชิงโจมตี”

ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “เช่นนั้นไม่เหมือนกับการต่อสู้รอบแรกของเจ้ากับเซวียนหยวนผ้อหรือ”

เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ไม่เหมือน เพราะว่าการชิงโจมตีล้วนแต่เป็นการแกล้งโจมตี อย่างน้อยเจ้าจะต้องเตรียมตัวยี่สิบกระบวนท่ารวมถึงต้องต่อเนื่องกัน ไม่ให้โอกาสเหลียงปั้นหูครุ่นคิดใดๆ พยายามให้การตัดสินใจของเขาเกิดข้อผิดพลาด จากนั้นใช้พลังกระบี่ เขาจะต้องคิดว่าเจ้าใช้สามกระบวนท่าแห่งเวิ่นสุ่ย เวลานี้เองเป็นโอกาสของพวกเรา”

พูดถึงตรงนี้ เขาจะหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาใหม่ บนพื้นข้างป่าไม้เขียนตัวหนังสือหลายตัวอักษร

“ถังถังกับศิษย์น้องมีระดับขั้นการฝึกบำเพ็ญเพียรไม่ต่างกัน อยู่สำนักฝึกหลวงร่ำเรียนกับเฉินฉางเซิงเป็นเวลายาวนาน คิดแล้วระดับความล้ำเลิศของเพลงกระบี่ก็คงจะเพิ่มขึ้น ก็คงมิได้อ่อนด้อยกว่าเจ้าและข้า แต่ความบริสุทธิ์และจำนวนพลังปราณแท้ของเขาก็คงไม่เท่าเจ้า ความแน่วแน่ก็ไม่เท่าเจ้า”

โก่วหานสือยื่นมือไปวักน้ำใสในแม่น้ำมาล้างหน้า เหลือบมองทางด้านสำนักฝึกหลวงที่อยู่ข้างป่า จากนั้นกล่าวต่อ “ถังถังจุดที่โดดเด่นที่สุดก็คือนิสัย เขาชื่นชอบเดินในหนทางไม่ปกติธรรมดา ซ้ำยังบ้าคลั่ง ถ้าหากข้าเป็นเฉินฉางเซิง จะต้องนำโอกาสชนะมาวางไว้บนกระบวนท่า”

ชีเจียนที่นิ่งฟังอยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “ศิษย์พี่ ในเมื่อวิชากระบี่พอๆ กัน เหตุใดถึงอาศัยกระบวนท่าเพื่อเอาชนะด้วยเล่า”

“ลำดับกระบวนท่า จังหวะ การเลือกรวมถึงพลังของกระบวนท่ากระบี่” โก่วหานสืออธิบายแก่เขาอย่างอดทน

เมื่อได้ยินประโยคนี้ กวนเฟยไป๋คิดไปถึงการต่อสู้กระบวนท่ากระบี่ระหว่างตนกับองค์หญิงลั่วลั่วในการชุมนุมไม้เลื้อยคืนนั้น พยักหน้าเงียบนิ่ง

เหลียงปั้นหูจ้องมองไปทางข้างป่าไม้ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขุมมั่นใจ กล่าวว่า “เวลานี้เฉินฉางเซิงก็คงจะต้องเสนอความคิดเห็นแก่เขาเป็นแน่”

“ไม่ผิด”

โก่วหานสือมองเขา พลางกล่าวว่า “เฉินฉางเซิงจะต้องคิดหาวิธีที่จะให้ถังถังอาศัยกระบวนท่ากระบี่เพื่อรวมพลัง สุดท้ายแล้วจึงใช้วิธีที่คาดคิดไม่ถึง เพื่อเสาะหาจังหวะอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ได้เอ่ยไปแล้ว จุดยอดเยี่ยมที่สุดของถังถังก็คือความบ้าระห่ำ ด้วยเหตุนี้ข้าคิดว่า หลังจากที่รวมพลังได้แล้วก็คงจะไม่ใช้สามกระบวนท่าแห่งเวิ่นสุ่ย เพราะว่าสามท่านั้นถึงแม้จะแข็งแกร่ง แต่ยังคลุ้มคลั่งไม่พอ”

เหลียงปั้นหูกำลังคิดไตร่ตรอง เริ่มนึกไปถึงคัมภีร์กระบี่ที่เคยอ่านในห้องโถงกระบี่หลีซาน

กวนเฟ่ยไป๋ครุ่นคิด พบว่าถ้าหากเป็นดังที่ศิษย์พี่คาดคิดไว้ ก็คงจะไม่มีวิธีอะไรโต้ตอบได้ดีนัก ถ้าหากเปลี่ยนเป็นตนต่อสู้กับถังถัง ก็คงจะอาศัยพลังปราณแท้โจมตีไปโดยตรง

“ตีไปตรงๆ” โก่วหานสือมองเหลียงปั้นหูเอ่ยออกมา

เหลียงปั้นหูรู้สึกไม่เข้าใจ กวนเฟยไป๋ยิ่งตกตะลึง ในใจครุ่นคิดนี่มิใช่วิธีที่โง่เง่าที่สุดหรอกหรือ